บทที่ 387 นวลนางนิ้วทั้งห้า [ภาคที่หก น้ำค้างขาว]
มณฑลรับเสด็จราชัน ไปตามเทือกเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย บนท้องฟ้าที่มุ่งหน้าไปทางเหนือ เมฆดำหนาแน่น
ท่ามกลางการโหมทะลักของเมฆดำและสายฟ้าแลบแปลบปลาบ เหมือนว่าฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้กลายเป็นสีเดียว ฉายความกดดันออกมา ประดุจกรงขังมหึมา
สรรพชีวิตในนั้น ไม่อาจหลุดพ้นจากกรงขังนี้ได้เลย ทำได้เพียงแค่ยอมรับอย่างเงียบงัน
เม็ดฝนเม็ดโตเทกระหน่ำลงมา หอบม้วนไปทั่วฟ้าดิน ซัดไอน้ำเป็นกลุ่มๆ เหมือนกลุ่มหมอกตลบอวลจากพื้นดินไปรอบๆ โจมตีทุกสรรพสิ่ง
ในพายุฝนนี้ เรือเหาะขนาดมหึมาที่มีขนาดถึงสามพันจั้งลำหนึ่งกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าในฟ้าดินอย่างรวดเร็ว
รวดเร็วอย่างยิ่งจนกระแทกเกิดเป็นคลื่นเสียงดังเป็นชุดและกลุ่มละอองน้ำ
มองไกลๆ เหมือนมังกรสวรรค์ทะยานแหวกผืนนภา
โดยเฉพาะรูปร่างของเรือเหาะลำนี้เดิมก็เป็นรูปมังกรอยู่แล้ว
ที่หัวเรือมีหนวดมังกรยาวสองเส้น ในยามทะยานไปอย่างรวดเร็วก็ปลิวสะบัด บนนั้นฉายประกายแวววาว สำรวจได้ทั่วทุกทิศ
ในเรือเหาะ สวี่ชิงสวมชุดนักพรตสีม่วงเหลือบทอง ผมใช้ผ้าผูกผมสีขาวไล่แดงผูกเอาไว้ ยืนอยู่บนกระดาน มือทั้งสองแตะอยู่บนรั้วเรือ กำลังทอดสายตามองไปที่ไกลผ่านม่านสายฝน
สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาเป็นความคลุมเครือไปทั่ว โลกทั้งใบในเสี้ยวขณะนี้เหมือนในยามยุคบุกเบิกโลก กว้างไกลสุดสายตา
ทอดสายตามองภาพนี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าฟ้าดินยิ่งใหญ่ไพศาล ตัวเล็กเล็กจ้อยไร้ค่าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นี่ทำให้สวี่ชิงนึกถึงประตูใหญ่โบราณสำริดในแดนต้องห้ามมรณะและตัวตนในฟ้าดินที่ไม่กล้าจ้องมองตรงๆ ที่ตนสำรวจเจอผ่านจากของวิเศษเวทต้องห้ามเหล่านั้น
พวกมันเหมือนกาฝากในโลกใบนี้ สรรพชีวิตทุกสิ่งคือสารอาหารของพวกมัน
ชวนให้คนรังเกียจชิงชังนัก
สวี่ชิงถอนหายใจเบาๆ เก็บความคิดลงไป
ออกจากพันธมิตรแปดสำนักได้ครึ่งเดือนแล้ว
ในครึ่งเดือนนี้ นอกจากฝึกบำเพ็ญแล้ว เวลาส่วนมากเขาล้วนยืนอยู่ตรงนี้ทอดสายตามองไปที่ไกล ในใจมีอารมณ์ความรู้สึกที่พิเศษมากอย่างหนึ่งต่อการเดินทางไกลครั้งนี้ไม่มากก็น้อย
มีความวาดหวัง มีความหมองหม่นใจ มีความซับซ้อน
วาดหวังว่าต่อจากนี้ เขาจะเปิดฉากชีวิตใหม่อีกฉากหนึ่งในดินแดนที่ไม่เคยคุ้น เขาเดินทางจากพื้นที่เล็กๆ กันดารห่างไกลในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ มาถึงยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต จนเดินมาถึงมณฑลรับเสด็จราชัน ตอนนี้สถานที่ที่จะไปก็เป็นสถานที่ที่ตลอดชั่วชีวิตคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางไปได้
เมืองหลวงแห่งเขตปกครอง
หมองหม่นใจเป็นเพราะ…เขาประกายอรุณ
เขาปรารถนาอยากจะไปให้ถึงในทันทีทันใด แต่ก็กระวนกระวายที่จะเห็นหลุมฝังศพกับตาตัวเอง
อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ปนเปก็กลายเป็นความซับซ้อน
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
นานจากนั้นเขาก็ก้มมองดูตราประทับดวงเล็กในมือ ของชิ้นนี้มีขนาดเพียงแผ่นเล็บเท่านั้น เป็นสีดำทั้งอัน บนนั้นสลักภาพอสูรร้ายบางอย่างเอาไว้ งดงามปราณีตมาก
ตราประทับดวงนี้ที่บรรพจารย์มอบให้ ครึ่งเดือนนี้เขาศึกษาค้นคว้าจนถ่องแท้แล้ว
นี่เป็นอาวุธร้ายกาจเพื่อทำลายล้างสังหารเป็นหลัก เมื่อกระตุ้นก็จะมีพลังที่แข็งแกร่งทรงพลังเกินต้านทาน
เพียงแต่หากใช้พลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณกระตุ้นก็ยากที่จะสำเร็จ จำต้องหล่อเลี้ยงเป็นเวลานาน ถึงจะทำให้มันมีพลังปะทุขึ้นมาในครั้งเดียวได้
ตอนนี้ครึ่งเดือนผ่านไป การหล่อเลี้ยงของสวี่ชิงก็สำเร็จแล้ว ตอนนี้ในชั่วขณะที่ถือเล่นในมือแล้วเก็บลงไป ในห้องโดยสารเรือก็มีคนเดินออกมายังข้างกายเขา
“คารวะนายท่านห้า” สวี่ชิงประสานหมัดคารวะ
คนที่มาคือหญิงชรา เป็นเจ้ายอดเขาห้าแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนั่นเอง นางสวมชุดคลุมยาวสีเขียวคราม ใบหน้าแก่ชรา ผมสีดอกเลา แต่ดวงตากลับเป็นประกายนัก
ตอนนี้ยืนอยู่ที่หัวเรือ หญิงชรามองๆ สวี่ชิง ฉายรอยยิ้มออกมา
สำหรับลูกศิษย์ที่นำความรุ่งโรจน์มากมายมาให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตคนนี้ นางยอมรับจากใจ มองสวี่ชิงนางเหมือนเห็นอนาคตของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ดังนั้นนางพยายามทำให้ตัวเองดูอ่อนโยน
เพียงแต่ศึกษาค้นคว้าค่ายกลเล่นเล่ห์สกปรกมานานหลายปีทำให้นางแผ่ความเย็นยะเยือกออกมาจากในกระดูก จึงทำให้รอยยิ้มนี้แฝงด้วยความเยือกเย็นน่าขนลุกที่ไม่อาจจางหายไป
“ใจของเจ้าไม่สงบ”
หญิงชรามองดวงตาของสวี่ชิง นางสัมผัสได้ว่าลูกศิษย์ที่อยู่ข้างหน้าคนนี้เหมือนว่าในใจจะมีระลอกคลื่นซัดขึ้นลง
สวี่ชิงพยักหน้า
“ชีวิตคนมักจะมีการพลัดพราก มีการร้างห่างไกล มักจะมีอารมณ์ขึ้นลงที่ควบคุมไม่ได้ เรื่องนี้คนนอกไม่สามารถช่วยเจ้าได้ มีเพียงตัวเจ้าเองที่คิดกระจ่าง คิดถ่องแท้ถึงจะทะลุปรุโปร่ง เจ้าอายุยังน้อย ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการเดินทางดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนก็แล้วกัน
“เขตปกครองผนึกสมุทรมีสิบสามมณฑล มณฑลรับเสด็จราชันอยู่ใต้สุด จากนี้พวกเราจะเดินทางผ่านสี่มณฑลก็จะถึงเมืองหบวงเขตปกครอง ศูนย์กลางของเขตปกครองผนึกสมุทรแล้ว
“และสภาพของแต่ละมณฑลก็แตกต่างกันไป แม้จะมีเผ่ามนุษย์เป็นหลัก แต่กลุ่มเผ่าพันธุ์ต่างเผ่าก็มีไม่น้อย” หญิงชรายิ้มพลางเอ่ย ความเยือกเย็นน่าขนลุกก็ยังหนักหน่วงอยู่เช่นเดิม
“นายท่านห้า การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาแปดเดือนเชียวหรือขอรับ” สวี่ชิงหลังจากที่ประสานหมัดขอบคุณคำปลอบประโลมจากหญิงชรา ก็เอ่ยถามเสียงเบา
“ใช่แล้ว ข้ามาหาเจ้าก็คือจะมาบอกเจ้าเรื่องนี้ด้วย
“ครั้งนี้พวกเราอาศัยจุดส่งข้ามสาธารณะเจ็ดจุด และขอทางสิ่งอัศจรรย์สามครั้ง และยังมีเหาะเหินผ่านทะเลทรายสามเดือน สุดท้ายจึงจะไปถึง นับเวลาดูแล้วก็เป็นเวลาแปดเดือนพอดี เพื่อความปลอดภัยเส้นทางจึงเป็นความลับ เจ้ารู้เอาไว้ก็พอแล้ว”
พูดจบ หญิงชราก็ตบไหล่สวี่ชิง
“สวี่ชิง ก่อนมาท่านบรรพจารย์กับอาจารย์ของเจ้าได้ฝากฝังไว้กับข้า หลังจากที่ถึงเมืองหลวงเขตปกครองแล้ว เจ้ามีอะไรที่ต้องการให้ข้าคนนี้ทำก็บอกมาได้เลย ข้าไม่เชี่ยวชาญวิชาการต่อสู้ ข้าเชี่ยวชาญค่ายกลสังหาร”
ความเยือกเย็นน่าขนลุกที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มของนายท่านห้าตอนนี้ยิ่งชัดเจน ทั้งยังแฝงด้วยกลิ่นคาวเลือดกลุ่มหนึ่ง
สวี่ชิงไม่แปลกใจ รูปแบบของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เป็นเช่นนี้มาตลอด อีกทั้งวิถีค่ายกลผดุงธรรมกับเล่นเล่ห์ทั้งสองขั้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าวิถีค่ายกลที่นายท่านห้าถนัดคือค่ายกลเล่นเล่ห์สกปรก ใช้วิธีการวางแผนเล่นเล่ห์ลอบฆ่าเป็นหลัก
“ขอบคุณนายท่านมากขอรับ” สวี่ชิงประสานหมัดคารวะ
ในขณะเดียวกัน ในยามที่พายุฝนในฟ้าดินแห่งนี้ซัดสาดลงไปในโลกมนุษย์ ในเทือกเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย ข้างๆ สุสานเดียวดายแห่งหนึ่ง มีคนสวมชุดฟางคนหนึ่งยืนอยู่
เขายืนอยู่กลางพายุฝนเงียบๆ ปล่อยให้ฝนสาดใส่ตัว เกิดเป็นเสียงซ่าๆ
ท่ามกลางหยดฝนที่เชื่อมฟ้าดินด้วยสายวารี เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ทอดสายตามองไปยังเรือเหาะบนท้องฟ้าที่ตอนนี้จากไปไกล
ดวงตาทั้งสองใต้หมวกสานฉายประกายแสงสีทองจางๆ
นั่นคือลักษณะของคุณสมบัติเทพ
จิตสังหารรุนแรงกลุ่มหนึ่งกระหน่ำซัดในใจของคนคนนี้ แต่ทว่ากลับเหมือนกลิ่นอายของเขาที่ไม่แผ่ออกมาให้เห็นชัดภายนอกเลยแม้แต่น้อย ทั่วทั้งร่างยิ่งไม่มีระลอกคลื่นใดๆ
เขายืนอยู่ตรงนั้นเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งไปกับรอบๆ ไม่มีทางถูกค้นพบได้
“เซิ่งเอ๋อร์ คนที่เจ้าอยากฆ่ามากที่สุดตอนมีชีวิต อีกไม่นานพ่อก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
คนในชุดฟางก้มหน้า มองไปยังป้ายสุสานเดียวดายข้างหน้า เอ่ยอย่างแผ่วเบา เสียงแหบแห้ง
ป้ายหลุมศพข้างหน้าเขาใต้สายฝนร่องรอยตัวอักษรรางเลือนเล็กน้อย แต่หากมองไปให้ละเอียดก็จะพอมองเห็นตัวอักษรแถวหนึ่ง
สุสานของเซิ่งอวิ๋นบุตรชายอันเป็นที่รัก
ในหลุมศพไม่มีโครงกระดูก นี่เป็นหลุมศพเสื้อผ้า
นานหลังจากนั้น ท่ามกลางลมฝน คนสวมชุดฟางคนนี้ก็ยกเท้ามุ่งไปทางเรือเหาะที่จากไปไกล ก้าวเดินไปข้างหน้า…
เวลาได้หมุนผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง
เรือเหาะที่พวกสวี่ชิงอยู่เหินผ่านแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียน ข้ามผ่านที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ ข้ามเขตมณฑลรับเสด็จราชัน ย่างก้าวเข้าในเขตมณฑลบังคับจำนน
ไม่เหมือนกับมณฑลรับเสด็จราชัน มณฑลบังคับจำนนไม่มีทะเล ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอากาศหรืออุณหภูมิล้วนไม่มีความชื้น ผู้บำเพ็ญที่อาศัยอยู่ในมณฑลรับเสด็จราชันมาโดยตลอด รู้สึกว่าที่นี่ค่อนข้างแห้ง
แต่ว่าหลังจากทำความเคยชินแบบง่ายๆ ความรู้สึกแบบนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
และในมณฑลบังคับจำนนมีภูเขามากมาย ในขณะเดียวกับที่ทอดตัวเรียงสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา ต่างเผ่าที่นี่ก็มีมากกว่ามณฑลรับเสด็จราชันอยู่โข
ตลอดทางก็เหมือนดั่งเช่นนายท่านห้าพูดไว้เมื่อก่อนหน้านี้ สวี่ชิงได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมากมาย เผ่าพันธุ์ที่แปลกประหลาดน่าอัศจรรย์เผ่าแล้วเผ่าเล่า ทำให้เขายิ่งมีความเข้าใจหมื่นเผ่าพันธุ์มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ เรือเหาะที่พวกเขาอยู่กำลังเหินอยู่เหนือที่ราบที่สีสันพราวพร่างแห่งหนึ่ง
ที่ราบข้างล่างเหมือนคุณสมบัติของดินจะพิเศษ ดังนั้นจึงมีสีสันมากมาย
ก้มหน้าลงไปดู ที่ราบเหมือนต่อขึ้นจากสีต่างๆ ในขณะที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ก็มีพื้นที่สีเขียวที่มีขนาดประมาณหลายหมื่นจั้งจู่ๆ ก็รางเลือนไป
สวี่ชิงสังเกตเห็นภาพฉากนี้ ดวงตาจ้องเพ่ง มองพิจารณาอย่างละเอียด
ไม่นานนักภาพที่ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้านก็ปรากฏขึ้น
พื้นที่สีเขียวรางเลือนผืนนั้นลุกขึ้นมานั่ง!
นี่ไม่ใช่ที่ราบ แต่เป็นชุดคลุมยาวสีเขียวตัวหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่มาก ปูกระจายอยู่บนพื้น
หากคนที่ไม่รู้ร่างที่แท้จริงของมันผ่านไป มองเผินๆ ก็จะคิดว่าพื้นที่สีเขียวผืนนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ราบ
แต่ความจริงแล้วมันเป็นเสื้อที่มีขนาดมโหฬารตัวหนึ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกับที่มันลุกขึ้นนั่ง สีอื่นๆ บนที่ราบก็ลุกขึ้นนั่งมาทีละตัวๆ ยิ่งมีบางตัวลอยขึ้นฟ้า เข้ามาใกล้เรือเหาะ
พวกมันเป็นเสื้อผ้าทั้งหมด มีเสื้อ มีกางเกง มีหมวก มีถุงมือ
มองไปโดยภาพรวมแล้ว เสื้อผ้าบนที่ราบผืนมหึมาเหล่านี้มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ จำนวนน่ากลัวว่ามีไม่ต่ำกว่าร้อย
ที่ลอยขึ้นมาตอนนี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น พวกมันล้อมรอบเรือเหาะ เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเรือเหาะ วนเวียนไม่หยุด
เสื้อพวกนี้มีแบ่งระดับ มีหรูหรา มีเป็นทางการ บางตัวเหมือนประชาชนทั่วไป บางตัวเหมือนองครักษ์ แต่กลับไม่มีร่างที่สวมใส่ปรากฏขึ้น
พวกมันเป็นแค่เสื้อผ้าเท่านั้น
ตอนนี้ในขณะที่วนล้อมนั้น สีหน้าของสวี่ชิงเคร่งขรึม นายกองวิ่งออกมาจากห้องโดยสารเรือ มาอยู่ข้างๆ เขา มองเสื้อผ้าพวกนั้น สีหน้าตื่นตะลึงอัศจรรย์
“หรือในนี้จะมีโยวจิงตนหนึ่งด้วยเหมือนกัน”
คนอื่นๆ บนเรือเหาะ เมื่อเห็นภาพนี้ก็ต่างระแวดระวัง เต็มไปด้วยการระวังภัย
ส่วนจอมเซียนจื่อเสวียนก็เดินออกมาจากห้องโดยสารเรืออย่างหาได้ยาก มองเสื้อผ้าเหล่านั้น มุมปากของนางยกยิ้มน้อยๆ ทักทายชุดกระโปรงองค์หญิงที่อยู่ข้างหน้าเรือเหาะ
แขนเสื้อทั้งสองข้างของชุดกระโปรงองค์หญิงตัวนั้นสะบัด เหมือนคนก้มตัวคารวะ จากนั้นก็เมินการป้องกันของเรือเหาะ ลอยเข้ามา
หลังจากที่มาอยู่ข้างหน้าจอมเซียนจื่อเสวียนแล้วก็กอดกับนาง
จากนั้นก็มีจิตเทพแผ่ออกมา คล้ายว่าทักทายกับจอมเซียนจื่อเสวียน พวกนางเหมือนรู้จักกัน
คนนอกฟังไม่ได้ยินรายละเอียด สวี่ชิงในใจก็เต็มไปด้วยความประหลาดอัศจรรย์เช่นกัน ในขณะที่ทำการจับตามองต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจอมเซียนจื่อเสวียนพูดอะไรกับชุดกระโปรงองค์หญิง ชุดกระโปรงองค์หญิงตัวนั้นหันมา คล้ายว่ามองมาทางสวี่ชิง
สวี่ชิงก้มศีรษะประสานหมัดคารวะ
ไม่นานนักก็มีเสื้อผ้าจำนวนมากกว่าเดิมเหินขึ้นมาจากข้างล่าง
ในนั้นมีชุดนางกำนัลบางคนยกผลไม้ศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่ง ลอยเข้ามาอย่างเมินซึ่งการป้องกันของเรือเหาะ หลังจากที่วางไว้คล้ายว่าทำการต้อนรับแขก เสื้อผ้าเหล่านี้ก็ไม่ได้จากไปทันที แต่กลับเหินไปมาข้างกายของคนทั้งหลายอย่างสงสัยใคร่รู้
การกระทำและกลิ่นอายของพวกมันก่อนหน้านี้สามารถสัมผัสได้ว่าพวกมันไม่ได้มีจิตคิดร้าย
ข้างหน้าสวี่ชิงเป็นถุงมือจำนวนหนึ่ง รูปแบบมากมาย ส่วนมาล้วนปราณีตงดงาม หลังจากที่วนล้อมรอบเขา พบว่าสวี่ชิงไม่สนใจจึงเหินไปทางนายกองทางนั้น
นายกองประเมินอย่างสงสัยใคร่รู้ ซ้ำยังยกมือจิ้มๆ
ไม่นานนัก หลังจากที่จอมเซียนจื่อเสวียนและชุดกระโปรงองค์หญิงทักทายกันเสร็จ แขนเสื้อชุดกระโปรงองค์หญิงเพียงสะบัด เสื้อผ้าบนเรือเหาะก็กระจายอยู่นอกเรือทันที ทำการเหินวนเวียนอีกครั้ง
เหมือนว่าทำการคุ้มกัน หลังจากที่คุ้มกันเรือเหาะจนใกล้ออกจากพื้นที่ราบแห่งนี้ พวกมันก็ทำท่าทางเหมือนประสานหมัดคารวะอำลา ต่างโค้งคำนับ แล้วจึงจากไป
จวบจนมองไม่เห็นร่องรอยแล้ว คนทั้งหลายบนเรือเหาะถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
“เผ่าอาภรณ์เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจใหญ่ในมณฑลบังคับจำนน คิดไม่ถึงว่าจอมเซียนท่านจะรู้จักกับพวกมันด้วย” นายท่านห้าเอ่ยอย่างตื่นตะลึง
จอมเซียนจื่อเสวียนยิ้มน้อยๆ
“ข้ากับองค์หญิงใหญ่ของเผ่าพวกมันเป็นสหายเก่ากัน ตอนอายุน้อยๆ เคยท่องพเนจรไปด้วยกัน ตอนนั้นนางอยากให้ข้าใส่นางอยู่เสมอ แต่ข้าปฏิเสธทุกครั้ง
“ผู้อาวุโส…เอ่อ…ใส่แล้วจะเป็นอย่างไรหรือขอรับ” นายกองที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็ใจหล่นวูบ มือขวาหลบไว้ข้างหลัง ถามอย่างอดไม่ได้
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ เขาเห็นบนมือขวาที่หลบไปข้างหลังของนายกองสวมถุงมือสีดำที่ทำจากผ้าโปร่งบาง
เป็นหนึ่งในถุงมือผ้าโปร่งบางที่วนล้อมรอบเขาเมื่อครู่นั่นเอง ไม่รู้ว่านายกองสวมมันไว้ที่มือตั้งแต่เมื่อไร
จอมเซียนจื่อเสวียนมองนายกองอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นราบเรียบ
“หลังจากที่สวมแล้วก็จะทำสัญญาโบราณกับพวกมันโดยทันที เลือดเนื้อที่ถูกปกคลุมจะเป็นของพวกมันนับแต่บัดนั้น”
นายกองได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก ยกมือขวาขึ้น มองๆ ถุงมือที่อยู่บนนั้น
“แบบนี้นี่เอง เช่นนั้นก็ไม่มีอะไร ในเมื่อเป็นเผ่าที่เป็นสหายสนิทของจอมเซียนจื่อเสวียน ศิษย์ถือว่ามอบเป็นของกำนัลให้ก็แล้วกัน” นายกองพูดแล้วก็กัดไปที่ข้อมือของตัวเอง
ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของทุกคนบนเรือเหาะ นายกองก็กัดดังกร๊อบ กัดข้อมือของตัวเองขาด
เหตุการณ์ทั้งหมดสีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าชินเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้หลังจากที่กัดขาด เขาก็ถือมือข้างที่ขาดที่สวมถุงมือขึ้นมาแล้วโยนไปนอกเรือเหาะ ทั้งยังยิ้มโบกมือซ้ายไปมาด้วย
“ลาก่อนนะ วันหลังถ้ามีเวลาข้าจะมาเล่นกับเจ้า”
มือข้างที่ขาดที่สวมถุงมือข้างนั้นลอยอยู่นอกเรือเหาะ มันโบกมืออำลากับนายกองด้วย ทั้งยังแฝงด้วยความอาลัยอาวรณ์ จากไปไกลอย่างช้าๆ
“เจ้าจินตนาการได้หรือไม่ว่า มือขวาของตัวข้ากำลังอำลากับข้า” นายกองมองสวี่ชิงด้วยใบหน้าสะท้อนใจ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง คนทั้งหลายรอบๆ ต่างไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
ภาพนี้ยิ่งทำให้อู๋เจี้ยนอูเห็นแล้วดวงตายิ่งเบิกกว้าง ฉายความแปลกประหลาดออกมา บทกวีพรั่งพรู
“โบราณมีอสรพิษใหญ่สลัดหาง เสาะหากินพุงกางแล้วกลับบ้าน
“กาลวันนี้เอ้อร์หนิวกัดมือขาดสะบั้น พลิกผันเป็นสหายกับนวลนางนิ้วทั้งห้า”