บทที่ 388 ท่าเรือแห่งยมโลก
วันที่สามมือของนายกองก็งอกออกมาสมบูรณ์เหมือนเดิม มองความแตกต่างไม่ออกแม้แต่น้อย
หลังจากสวี่ชิงสนใจ ก็รู้สึกเข้าใจความรวดเร็วแตกหน่อเนื้อของนายกองมากยิ่งขึ้น
‘ชิ้นส่วนแขนขาที่ขาดไปต้องใช้เวลาสามวัน ช่วงเอวลงมาต้องใช้เวลาครึ่งเดือน ถ้าด้านล่างศีรษะหายไปทั้งหมดต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน’
สวี่ชิงกระจ่างแจ้งในใจ คิดว่าหลังจากนี้มุ่งเฉพาะที่จุดนี้ เมื่อออกไปทำการใหญ่กับนายกอง ก็วางกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนนายกองเมื่อผ่านเรื่องนี้ไป ก็เหมือนจะสนใจต่างเผ่าอย่างมาก หลายวันหลังจากนั้น เขาจึงเป็นเช่นเดียวกับสวี่ชิง ชอบมองลงไปด้านล่างเรือเหาะ
เมื่ออู๋เจี้ยนอูเห็นภาพนี้ หลังจากครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ไม่รู้เพราะอยากจะยกระดับบทกวีของตนเองขึ้นมาหรือไม่ จึงมาร่วมด้วย
เวลาจึงค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากผ่านค่ายกลส่งข้ามมาสองแห่ง พวกเขาก็ออกจากมณฑลบังคับจำนน
ตลอดทางสวี่ชิงได้เห็นสภาพแวดล้อมอีกหลากหลายรูปแบบ นายกองก็ได้ความรู้เรื่องต่างเผ่ายิ่งขึ้นเช่นกัน ส่วนอู๋เจี้ยนอูก็ได้รับประโยชน์มามากมายด้วย
ในที่สุดกลอนของเขาก็กลับมาอยู่ในระดับสูงสุดอีกครั้ง กระทั่งดีขึ้นกว่าเก่า
“ดวงตาเห็นแจ้งการผันแปรสรรพชีวิต ฝึกจิตกระบี่เพียงลำพังในใต้หล้า!”
ท่ามกลางสายลมโหมกระหน่ำ อู๋เจี้ยนอูยืนปะทะสายลม หัวเราะลั่น เสียงดังก้องออกไปทั้งฟ้าดินลอย
“ไอ้โง่” นายกองเบ้ปาก
สวี่ชิงไม่ได้สนใจความวิปลาสของอู๋เจี้ยนอู ตอนนี้เขาก้มหน้ามองเบื้องล่าง ลมพายุกำลังพัดกวาดแผ่นดินใหญ่ของที่นี่ ต้นไม้นับไม่ถ้วนลำต้นเอนเอียงท่ามกลางสายลม ราวกับจะหักโค่นได้ตลอดเวลา
นี่คือสภาพอากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของมณฑลพระพายเมฆินทร์
ต่างกับมณฑลรับเสด็จราชันกับมณฑลบังคับจำนน มณฑลพระพายเมฆินทร์อยู่ท่ามกลางกระแสลมคลั่งแทบจะตลอดทั้งปี ขั้วอำนาจต่างๆ ในนี้จึงถนัดด้านความเร็วอย่างยิ่งด้วยสาเหตุนี้ และมีการฝึกกายาเฉพาะตัวอีกด้วย
นอกจากสายลม ช่วงกลางวันและกลางคืนของที่นี่ก็แตกต่างกันเช่นกัน
สายลมคลั่งในช่วงกลางวัน สายลมหนาวเยือกเย็นมืดมนในตอนกลางคืน ซ้ำยังมีสิ่งประหลาดมากมายปรากฏขึ้นด้วย
แม้จะมีต่างเผ่าอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอสูรกลายพันธุ์
อย่างเช่นในครรลองสายตาของสวี่ชิงตอนนี้ มียักษ์ที่ร่างกายสูงนับร้อยจั้งอยู่นับร้อยคนอยู่ท่ามกลางลมพายุคลั่งที่โหมกระหน่ำบนแผ่นดินใหญ่
ยักษ์เหล่านี้เปลือยเปล่า กลิ่นเหม็นแผ่นกำจายออกมา สายลมก็มิอาจพัดให้จางหายได้
พวกมันมีผิวหนังสีเทา ดวงตาแดงก่ำ ฟันดำเหลือง และเหมือนจะไม่ค่อยมีสติปัญญา
ตอนนี้บ้างก็กำลังวิ่ง บ้างก็นั่ง บ้างก็กำลังดึงทึ้งกันอยู่บนแผ่นดินใหญ่ ราวกับเป็นสัตว์ป่า
และยังเห็นได้ว่ายักษ์จำนวนไม่น้อยกำลังหิ้วกรงที่ทำจากเปลือกไม้เอาไว้
และในกรงเหล่านั้น ก็มีสิ่งมีชีวิตเผ่าต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกขังเอาไว้ ส่วนใหญ่หายใจรวยริน
พวกนี้คืออาหารของยักษ์ กำลังถูกพวกยักษ์เทลงไปบนแท่นหินเรียบๆ จากนั้นใช้สากขนาดยักษ์ทุบจนเละแล้วดื่ม
“นี่คืออสูรเมฆาแห่งมณฑลพระพายเมฆินทร์ ไม่ค่อยจะมีสติปัญญาเหมือนสัตว์ป่า ฆ่าล้างบางพวกมันไปไม่หมดเสียที มักจะกำเนิดขึ้นเองในฟ้าดิน กินสรรพชีวิตเป็นอาหาร” เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนดังเข้ามาในหู
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ร่างของนางปรากฏอยู่ข้างกายสวี่ชิง
กลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอดเข้ามาในจมูก สวี่ชิงไม่ได้หลบเลี่ยง เขาชินแล้ว
ตลอดทางนี้จอมเซียนจื่อเสวียนส่วนใหญ่ปิดด่านอยู่แต่ในห้องเรือไม่ค่อยออกมา เวลานี้มายืนอยู่ข้างสวี่ชิง นางไม่ได้มีท่าทีบีบคั้นสวี่ชิงเหมือนตอนอยู่กันตามลำพังอีกแล้ว แต่ดูเป็นทางการขึ้นพอสมควร
สวี่ชิงรีบคารวะ นายกองกับอู๋เจี้ยนกังเองก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
ทว่าความคิดในใจของทั้งสองคนไม่เหมือนเดิมแล้ว
ในใจอู๋เจี้ยนเปี่ยมความเคารพศรัทธา
แต่นางกองกลับแอบล้อเลียนจอมเซียนจื่อเสวียน ประเดี๋ยวก็ฉอเลาะ ประเดี๋ยวก็เย้าแหย่ ประเดี๋ยวก็เคร่งขรึม ผู้ใดจะไปทนไหวกัน
อาชิงน้อย เจ้าต้องสู้ๆ นะ!
คิดถึงจุดนี้ เขาก็ส่งสายตาให้กำลังใจสวี่ชิง
“เลือดเนื้อบนตัวอสูรเมฆาเหล่านี้ มีมีประโยชน์อยู่อย่างหนึ่ง คือการถูกกำหนดให้เป็นตั๋วเรือ พวกเจ้าสองคนลงไปสังหารมาสักตัวหนึ่งเถิด” จื่อเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า ร่างไหววูบทะยานจากเรือเหาะลงไปที่พื้นดิน
นายกองกะพริบตาปริบๆ ทะยานลงไปทันทีเช่นกัน หลังจากเข้าใกล้สวี่ชิงก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา ส่งสื่อเสียงพูดว่า
“อาชิงน้อย ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะต้องพิจารณาคำแนะนำของข้าในตอนนั้นดีๆ เสียแล้ว!”
สวี่ชิงสงสัย
“ตอบรับจอมเซียนจื่อเสวียนเสียสิ” พูดจบ นายกองพุ่งไปด้านหน้า เร่งความเร็วจากไป
สวี่ชิงเมองแผ่นหลังนายกองผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไร
ไม่นานทั้งสองคนก็ทยอยร่อนลงมาบนพื้นดิน
พลังต่อสู้ของยักษ์เหล่านั้นไม่ได้แข็งแกร่งนัก พึ่งพาแต่พลังกายเนื้ออย่างเดียว ในนี้ส่วนใหญ่ล้วนพลังอยู่ที่ไฟชีวิตสองหรือสามดวง มีแค่สี่ห้าตน ที่แผ่พลังเลือดลมคล้ายกับแก่นลมปราณออกมา
สำหรับสวี่ชิงกับนายกอง การล่าสังหารระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็น ดังนั้นไม่นานภายใต้ความเร็วที่น่าตกตะลึงของสวี่ชิง เขาก็ไปปรากฏเบื้องหน้ายักษ์ที่มีพลังระดับแก่นลมปราณตัวหนึ่ง
ยักษ์ตัวนี้กำลังก้มหน้าออกแรงทุบเนื้อบนแท่น หลังจากมันสัมผัสได้ถึงอันตรายก็เงยหน้าขึ้น อ้าปากคำรามใส่สวี่ชิง พริบตาที่กลิ่นเหม็นโถมมา มันก็ยกมือขวาขึ้น ตะปบไปทางสวี่ชิง
เทียบกับยักษ์ตนนี้ สวี่ชิงก็ราวกับเป็นแค่มดปลวก
แต่ในสายตาสวี่ชิง ยักษ์ที่ร่างกายใหญ่โตนี่ต่างหาก ที่เป็นมดปลวก
เขาไม่หลบเลย ใช้หัวกระแทกไปกลางฝ่ามือที่ยักษ์ตะปบลงมา และยักษ์ก็กรีดร้องทันที แขนขวาระเบิดแหลกเละ
ร่างของสวี่ชิงพุ่งทะลุออกมาจากด้านใน ระเบิดความเร็วพุ่งไปที่หน้าผากของยักษ์ หลังจากเข้าประชิดก็ยกมือขวาขึ้น แตะลงไปทันที
วิชาเวทที่น่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากด้านใน แผ่จากหน้าผากลามออกไปทั่วร่างยักษ์ และทรงพลังไร้เทียมทาน บดขยี้ทำลายพลังชีวิต
พริบตาต่อมา ยักษ์ตัวนี้ก็ร่างสั่นสะท้าน ล้มลงเสียงดังตึง ขณะที่เสียงอื้ออึงสะท้อนก้อง นายกองทางนั้นก็สังหารเสร็จสิ้น ยักษ์แก่นลมปราณตัวหนึ่งลมลงในเวลานี้ด้วยเช่นกัน
แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้เก็บศพยักษ์ทันที ทว่ากลับมองห่างออกไปไกลๆ ในเวลาเดียวกัน ดวงตาก็เผยประกายคมทันที
ทิศที่พวกเขามองไป ท่ามกลางสายลมคลั่งมีกระบี่ยาวสองเล่มกำลังหวีดหวิวเข้ามา
พลานุภาพน่าตกตะลึง แหวกสายลมคลั่งมาใกล้ แต่เป้าหมายไม่ใช่สวี่ชิงกับนายกอง ทว่าเป็นยักษ์ตัวอื่นๆ
เพียงพริบตา ก็มียักษ์สามตัวส่งเสียงร้องแหลม ร่างกายสั่นเทิ้มจากการที่กระบี่บินกวาดมา ถูกกระบี่บินแทงทะลุหน้าอก ทำลายพลังชีวิตด้านในจนย่อยยับ
ขณะเดียวกัน ร่างเงาสองร่างก็หวีดหวิวประชิดเข้ามาท่ามกลางสายลมคลั่ง
สองคนนี้เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง สวมชุดคลุมยาวสีขาวล้วน ด้านหลังมีผ้าคลุม บนชุดคลุมก็ดุจมีไฟอักขระเรืองแสงภายใต้แสงสลัว ดังนั้นการมาถึงของพวกเขาจึงราวกับเป็นดวงไฟสองดวง
เสื้อผ้าเช่นนี้ เมื่อสวี่ชิงเห็นก็จได้ว่าเป็นผู้ครองกระบี่
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญชาย สวี่ชิงเคยพบมาก่อน
นายกองเองก็จำได้เช่นกัน
อีกฝ่ายคือผู้ครองกระบี่ที่ได้พบขณะที่ไล่ตามมารเฒ่าแก่นลมปราณในช่วงที่พวกของสวี่ชิงออกลาดตระเวนแถวแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพคนนั้นนั่นเอง
อีกฝ่ายตอนนั้นรู้ว่ามารเฒ่าแก่นลมปราณยังไม่ตาย จึงจงใจให้พวกสวี่ชิงทั้งสองคนมีโอกาสได้ตรวจสอบศพศพหนึ่ง
เวลานี้ผู้ครองกระบี่ทั้งสองคนนี้พุ่งมาท่ามกลางสายลมคลั่ง พุ่งใส่เหล่ายักษ์ ต่างคนต่างลงมือ หลังจากเก็บศพของยักษ์ที่ถูกพวกเขาสังหารไปแล้ว ก็มองมาทางสวี่ชิงกับนายกอง
ไม่มีการพูดจาใดๆ ผู้ครองกระบี่ทั้งสองคนพยักหน้าให้กับสวี่ชิงและนายกอง หันหลังแล้วหายไปในสายลมคลั่งอีกครั้ง
สวี่ชิงไม่เคยเห็นผู้ครองกระบี่หญิงคนนั้น เขาสังเกตเห็นว่าด้านหลังของอีกฝ่ายมีเด็กผู้หญิงเจ็ดแปดขวบอยู่คนหนึ่ง
เด็กหญิงคนนี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ กลางหน้าผากมีรยางค์อยู่สองเส้น และยังมีผ้าสีดำพันดวงตาเอาไว้ ผูกปมมัดอยู่ที่ท้ายทอย
นางกำลังอิงแอบอยู่บนแผ่นหลังของหญิงสาว เหมือนจะหลับอยู่
เมื่อส่งผู้ครองกระบี่ทั้งสองคนด้วยสายตา สวี่ชิงก็มองนายกอง นายกองก็พยักหน้าเอ่ยเสียงเบา
จุดนี้สวี่ชิงก็มองออก ถึงอย่างไรการคัดเลือกผู้ครองกระบี่ ผู้ครองกระบี่ของมณฑลรับเสด็จราชันทั้งหมดล้วนอยู่กัน แม้ว่าจำนวนคนจะมากมาย แต่พวกเขาก็จดจำไว้หมดแล้ว
“น่าจะรับภารกิจอะไรมากระมัง” ระหว่างที่สวี่ชิงพูด ก็เก็บยักษ์ที่ตนสังหารไปขึ้นมา และยักษ์ตัวอื่นๆ ในที่นี้ก็กระเจิดกระเจิง หนีหายเข้าไปในสายลมไม่เห็นร่องรอย
สวี่ชิงมองผาดหนึ่ง ก็รีบเหินกลับไปในเรือเหาะท่ามกลางลมพายุภายใต้การเร่งรัดของนายกอง
เพียงไม่นานเรือเหาะก็เหินห่างออกไป ทะลวงผ่านลมพายุคลั่งกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดช่วงโพล้เพล้ของวันหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงจุดเปลี่ยนเส้นทางแห่งแรกในมณฑลพระพายเมฆินทร์
การเดินทางนี้สวี่ชิงรู้มาคร่าวๆ แล้วแต่ยังไม่รู้รายละเอียด ทั้งหมดล้วนเป็นแผนจอมเซียนจื่อเสวียนกับเจ้ายอดเขาลำดับห้าวางเอาไว้
เพื่อความปลอดภัยของทุกคน แผนนี้จึงเป็นความลับ นอกจากสวี่ชิงกับนายกอง แม้แต่ข้อมูลคร่าวๆ คนอื่นก็ยังไม่รู้
และเมื่อมองจุดเปลี่ยนเส้นทางจากกลางอากาศ ก็คล้ายกับย่านการค้าที่วุ่นวายแห่งหนึ่ง
ด้านในมีบ้านดินที่เอาไว้หลบลมพายุอยู่มากมาย ผู้บำเพ็ญไม่น้อย มีอยู่แทบทุกเผ่า
ในนี้มีคนชุดดำที่มีรอยสักรูปผีบนใบหน้า ใส่ต่างหูมากมายเอาไว้ที่หู
คนเหล่านี้เดินอยู่ในย่านการค้า ทุกที่เหล่าผู้บำเพ็ญที่มาจากภายนอกที่เดินผ่านหวาดกลัวพวกเขามาก
“ที่นี่คือดินแดนของสำนักรอยสักผี สำนักรอยสักผีเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจใหญ่ของมณฑลพระพายเมฆินทร์ พวกเขาชุบเลี้ยงผีร้าย วิชาเวทก็แปลกประหลาดชั่วร้ายมาก”
เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนดังก้องในสมองของสวี่ชิง นี่เป็นสื่อเสียงที่พูดกับเขาเพียงคนเดียว
สวี่ชิงได้ยิน ก็สังเกตคนชุดดำเหล่านั้นอีกนิด
จากรอยสักบนใบหน้าของพวกเขา เขาสัมผัสได้รางๆ ถึงระลอกคลื่นบางอย่างเลาๆ ดูคล้ายกับเหล่าภูตประหลาดในอุโมงค์ภูต
และการมาถึงของพวกเขา ดึงดูดความสนใจผู้บำเพ็ญที่นี่
แต่เมื่อจอมเซียนจื่อเสวียนเดินลงมาจากเรือเหาะ คนทั้งหมดทั่วทั้งย่านการค้าก็เงียบ พลานุภาพระดับหวนสู่อนัตตา ทำให้พวกคนชุดดำหน้าเปลี่ยนสีกันหมดเช่นกัน
มีคนชุดดำหลายคนตรงเข้ามาทางนี้ คารวะต้อนรับอย่างนอบน้อม พาพวกเขาไปส่งที่โรงเตี๊ยมของย่านการค้า
“พักผ่อนสักคืน พรุ่งนี้ตอนที่ฟ้าราตรีกับฟ้าสว่างสับเปลี่ยน ช่วงเวลารุ่งสาง จะมีเรือผีเข้ามายังท่าเรือยมโลกแห่งนี้ พวกเราจะเดินทางกันต่อด้วยเรือผี
“และย่านการค้านี้ ตอนกลางคืนจะกลายเป็นย่านการค้าผี ถ้าพวกเจ้าไม่มีธุระ ก็อย่าออกไปข้างนอกส่งเดช”
จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยเสียงเรียบในโรงเตี๊ยม พูดจบก็เดินเข้าไปในห้อง คนอื่นๆ เองก็สะกดความอยากรู้อยากเห็นย่านการค้าผีและเรือผีที่จื่อเสวียนพูดถึง เดินกลับไปห้องของตน
“ท่าเรือยมโลก? เรือผีคืออะไรหรือ” นายกองยืนอยู่ข้างๆ สวี่ชิง ถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
สวี่ชิงส่ายหน้า เขาไม่ได้อยากรู้อยากเห็นถึงเพียงนั้น แต่สำหรับย่านการค้าผีที่จอมเซียนจื่อเสวียนพูดน่าสนใจกว่า
มันทำให้เขานึกถึงย่านการค้าที่ตนเคยไปในแดนต้องห้ามปักษาราชัน
และกลางดึกก็มาถึงอย่างรวดเร็ว จากเสียงลมพัดอื้ออึ้งด้านนอกที่ดังก้องต่อเนื่อง สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่ในห้องก็สีหน้าเปลี่ยนไป
เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายด้านนอกเมื่อครู่ เหมือนกับหยินหยางสลับกันในพริบตา ความเป็นความตายสลับกัน ภาพนี้เขาเคยเจอมาก่อน ไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยอะไร
สวี่ชิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากครุ่นคิดก็เดินมาที่หน้าต่าง
ยืนอยู่ตรงนั้น เขาแง้มหน้าต่างเป็นช่องเล็กๆ มองออกไปด้านนอก
สิ่งที่เห็น รูปแบบของย่านการค้าด้านนอกเปลี่ยนไปมาก
บนถนนมีภูตผีนับไม่ถ้วนลอยไปมา หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ราวกับขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล
ขณะเดียวกันก็มีร้านรวงปรากฏขึ้นมากมาย เปิดขายสิ่งของที่เหล่าคนตายต้องการ
ไกลออกไป ศูนย์กลางของย่านการค้าแห่งนี้มีโซ่เหล็กจำนวนมาก ผูกเท้าใหญ่โตเท้าหนึ่งเอาไว้กับตรวน
เท้ามหึมาสีเขียวทั้งเท้านี้ลอยอยู่กลางอากาศ ขณะที่ดูเต็มไปด้วยความมืดมน ม่านตาสวี่ชิงก็หดเล็กลง
เขาสัมผัสได้รางๆ ว่าเท้ามหึมาสีเขียวข้างนี้ เหมือนจะมีที่มาเดียวกับหัวพระที่เขาเคยเห็นในย่านการค้าผีแดนต้องห้ามปักษาราชันเมื่อครั้งนั้น
‘ถูกแยกชิ้นส่วน แล้วกระจัดกระจายอยู่ตามย่านการค้าเมืองผีต่างๆ เช่นนั้นหรือ’ สวี่ชิงครุ่นคิด จากนั้นก็เปิดหน้าต่างกระโจนออกไป
ครั้งที่แล้วเขาพบกับของดีมากมายในย่านการค้าผี แต่กลับซื้อไม่ไหว ตลอดทางที่มายังมณฑลรับเสด็จราชัน เขาก็สังหารไปไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้เก็บเลือดจากหัวใจมามากเท่าไร ทว่ามีวิญญาณอยู่ไม่น้อยเลย น่าจะมาใช้เป็นเหรียญผีได้
สวี่ชิงรู้สึกว่าน่าออกไปเดินดูเสียหน่อย
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นจากเจ้าเงาแบบครั้งที่แล้ว ครั้งนี้สวี่ชิงจึงไม่ได้ให้เจ้าเงามาอำพรางตนเอง แต่กระตุ้นวังสวรรค์วังที่สาม ทำให้ร่างกายทั้งหมดคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของลูกกลอนพิษต้องห้าม
จากนั้นถึงเดินเข้าไปในย่านการค้าผี เนียนเข้าไปในกลุ่มภูตผีประหลาด
เวลาผ่านไป สวี่ชิงเดินอยู่ในย่านการค้าผีอย่างราบรื่นมาก ซื้อของจำพวกพิษผีมาได้ไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าใกล้รุ่งสางที่จอมเซียนจื่อเสวียนพูดถึง สวี่ชิงที่กำลังเดินกลับ แต่เดินได้ไม่นาน ตอนที่ผ่านกับร้านแห่งหนึ่ง เสียงร้องงิ้วเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนก็ดังออกมาจากในร้านนั้น
ปกติย่านการค้าผีจะเงียบไม่มีเสียง มีเพียงเสียงร้องงิ้วนี้ที่แว่วออกมา
และเสียงร้องงิ้วที่ปรากฏขึ้น ก็ไม่ได้มีความรู้สึกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด กลมกลืนไปกับย่านการค้าเมืองผีรอบๆ นี้
“ชาติก่อนไม่มา วนหาเกิดใหม่เสมอ ผู้ใดตัดขาดความเพ้อคะนึงวาดละอองฝุ่นของผู้ใด…”
พริบตาที่เสียงร้องงิ้วนี้ดังเข้ามาในโสตประสาท สวี่ชิงก็ชะงักฝีเท้า หันหน้ามองไปทันที