บทที่ 1463 ปรับทุกข์
บทที่ 1463 ปรับทุกข์
“จับตาดูหมิงอ๋องไว้ ถ้าหากมีการเคลื่อนไหวให้ปกป้องแม่ทัพถานต้าให้ดี”
หลังจากกล่าวคำพูดนี้จบ ชายชุดดำด้านหลังก็ส่งเสียงรับคำ จากนั้นร่างนั้นก็หายวับไป
บนโต๊ะไม้จันทร์แดงขนาดใหญ่เต็มไปด้วยสาส์นรายงาน และยังมีกองรายงานที่ยังไม่ได้เปิดอ่านและก็ไม่ได้แก้ไข คืนนี้ถูกกำหนดให้เป็นคืนที่ไม่ได้หลับตานอนอีกคืนหนึ่ง
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ไม่ได้เห็นแมวน้อย ฉินเย่จือถือรายงานในมือ เดินไปห้องด้านในเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เรียบง่ายและเดินไปที่หน้าชั้นไม้ หลังจากที่กดลงบนปุ่มหนึ่งในนั้นแล้ว ชั้นไม้นั้นก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ ปรากฏเป็นช่องว่างที่ให้ผ่านไปได้เพียงแค่คนเดียว ฉินเย่จือยกชายเสื้อก้าวเข้าไป ชั้นไม้ที่อยู่ด้านหลังก็ปิดลง ในห้องก็เงียบสงัดอีกครั้ง
กู้เสี่ยวหวานกำลังจัดตารางอาหารและตารางการออกกำลังกายใหม่ให้ฟางเพ่ยหยา ตอนที่ฉินเย่จือเข้ามานั้น กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้สังเกตเห็น
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะด้วยท่าทางที่ใช้สมองอย่างหนัก ฉินเย่จือก็ยิ้มอย่างจนใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร่
ตอนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อครู่นี้ อาจั่วที่รออยู่ข้างนอกนั้นก็บอกเขาแล้วว่าแมวน้อยกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้พอเห็นนางกำลังคิดเพื่อคนอื่นด้วยความใส่ใจ ฉินเย่จือยังไม่รู้เลยว่าควรจะพูดกับนางเช่นไรดี
“กำลังคิดอะไรอยู่” ฉินเย่จือเดินมาที่ด้านหลังนาง ก็เห็นนางจับพู่กันด้วยมือขวา ข้าง ๆ นั้นยังมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง ด้านบนนั้นขีดเขียนอย่างลวก ๆ เหมือนกับกำลังนับอะไรไว้
“พี่เย่จือ”
กู้เสี่ยวหวานถูกดึงความคิดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เมื่อหันกลับไปเห็นฉินเย่จือ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่สามารถยับยั้งได้ นางลุกขึ้นยืน โยนพู่กันทิ้ง แล้วหันหลังกลับไปสวมกอดฉินเย่จือ พลางเงยหน้าถามเขาอย่างว่องไวว่า “เจ้ากลับมาแล้ว จัดการธุระที่ยุ่งหมดแล้วหรือ”
ฉินเย่จือพยักหน้าแล้วกอดกู้เสี่ยวหวานที่อยู่ในอ้อมแขน เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่นางนั่งเมื่อครู่นี้ ในอ้อมแขนก็สวมกอดนาง ทั้งสองกอดกันอย่างสนิทสนมในห้องที่สว่างไสวไปด้วยแสงจากไข่มุกราตรี
กู้เสี่ยวหวานจ้องมองฉินเย่จืออย่างไม่กะพริบตา หลายวันที่ไม่ได้พบหน้าเขา นางรู้สึกว่าเขาผอมลงไปมาก ร้านอาหารต้องคิดวางแผนจัดการ ต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ
“พี่เย่จือ เจ้าดูสิ เจ้าผอมลงแล้ว ไม่ได้ทานข้าวและพักผ่อนให้ตรงเวลาใช่หรือไม่” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างปวดใจ ใช้มือสัมผัสที่คิ้วของของฉินเย่จือราวกับต้องการให้รอยระหว่างคิ้วของเขานั้นเรียบหายไป
“ไม่เป็นไร” ฉินเย่จือไม่อยากให้กู้เสี่ยวหวานกังวลใจ จึงจับมือของนางไว้ในฝ่ามือของตัวเอง สัมผัสปลายจมูกของแมวน้อยอย่างรักใคร่ และพูดอย่างปวดใจว่า “หวานเอ๋อร์ ข้าไม่ได้เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”
ฉินเย่จือพูดจบ คนที่อยู่ในอ้อมแขนก็ไม่พูดและไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อยู่นานจนเกิดความเงียบ
เมื่อรู้สึกถึงความเงียบที่ผิดปกติของคนในอ้อมแขน ฉินเย่จือก็เริ่มกังวล เขารีบก้มหน้าลงไปมองแมวน้อย และถามอย่างปวดใจว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
“พี่เย่จือ ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก เจ้ายุ่งมากขนาดนี้ แต่กลับไม่ดูแลตัวเองให้ดี ๆ หากเป็นเพราะเจ้า เจ้าทำร้ายสุขภาพเพราะหาเงิน ข้าเพียงแค่อยากให้เจ้าสบายดีมีความสุขเท่านั้น” กู้เสี่ยวหวานยังพูดไม่ทันจบ น้ำตาหยดลงมาราวกับลูกปัดที่สายร้อยขาด ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพี่ฉินเย่จือ นางเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว
“หวานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร เป็นอะไรไป ข้าจะมีเรื่องอะไรได้อย่างไรกัน ไม่มีทางหรอก ไม่มีทางหรอกข้าสัญญา ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี ๆ จะไม่ปล่อยให้ตัวเองมีปัญหาแน่นอน” ฉินเย่จือไม่ค่อยได้เห็นน้ำตาของกู้เสี่ยวหวาน ตอนนี้นางร้องไห้ หยดน้ำตานั้นกระแทกหัวใจของเขาจนเจ็บปวด
“จริงหรือ”
“จริงสิ” ฉินเย่จือพยักหน้าอย่างหนักแน่นพลางเอ่ยว่า “ข้าจะยอมให้ตัวเองมีปัญหาได้อย่างไรกัน ข้ายังไม่ได้แต่งงานกับเจ้าเลย อนาคตที่ข้าคิดไว้ทั้งหมดนั้นยังไม่เป็นจริง ข้าจะยอมให้ตัวเองมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”
ช่วงนี้เพื่อที่จะเข้าไปรายงานเรื่องของหมิงอ๋อง ฉินเย่จือก็มีความพะวักพะวงอยู่เล็กน้อยจริง ๆ แม้กระทั่งหลายวันมานี้ก็นอนหลับตาไม่สนิท ดวงตาที่ดำคล้ำเช่นนี้ แมวน้อยจะมองไม่ออกได้อย่างไร
โชคดีที่ร้านฝูจิ่นและร้านจิ่นฝูทางด้านนั้นยังมีหลี่ฝานคอยปกปิดให้ตัวเอง แมวน้อยจึงยังคิดว่าเขานั้นกำลังยุ่งอยู่กับธุระเรื่องร้านอาหาร
ฉินเย่จือโทษตัวเองทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ควรจะมาในวันนี้ ท่าทางที่ซีดเซียวของเขาในตอนนี้ทำให้แมวน้อยต้องกังวลใจแล้ว
เพียงแต่ว่าถ้าหากตัวเองนั้นไม่มาแล้วจะเห็นแมวน้อยหลั่งน้ำตาร้องไห้เพื่อตัวเองได้อย่างไรกัน
นอกจากความเศร้าเสียใจแล้วยังมีความสุขใจอีกด้วย เมื่อมองไปที่หยดน้ำตาของแมวน้อย ฉินเย่จือก็จับใบหน้าของนางเบา ๆ และจูบลงซับหยดน้ำตานั้นให้สะอาด เพียงแค่ปลายลิ้นพาดผ่านก็ทำให้เขาจิตใจล่องลอยสั่นไหวเป็นพัก ๆ แล้ว
ริมฝีปากค่อย ๆ เลื่อนลงมาจากปลายจมูก ลงมาเรื่อย ๆ จนสัมผัสริมฝีปากที่หวานราวกับน้ำผึ้ง เขาเปิดริมฝีปากออกและละเลียดดูดกลืนน้ำผึ้งนั้นที่หวานจากในปากจนไปสู่หัวใจ
บางส่วนของร่างกายนั้นส่งเสียงร้องตะโกนจนทำให้เขาขมวดคิ้วเป็นปมแน่นในทันที และอดไม่ได้ที่จะโอบกอดหญิงสาวในอ้อมแขนไว้แน่นราวกับอยากจะบดขยี้ให้นางกับตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกัน
“หวานเอ๋อร์ ปีหน้าดอกกุ้ยฮวาบานสะพรั่ง ข้าคงจะได้แต่งงานกับเจ้าพอดี”
ยังเหลืออีกหนึ่งปี หากไม่ใช่ว่านึกถึงอายุที่ยังน้อยของหวานเอ๋อร์ เขาอยากจะรีบจัดงานมงคลที่ยิ่งใหญ่อลังการ เข้าประตูแต่งงานกับแมวน้อยสุดที่รักในทันที
“ได้สิ” เสียงที่นุ่มนิ่มของกู้เสี่ยวหวานดังขึ้น เจือด้วยเสียงสะอื้นที่ขึ้นจมูกแต่กลับเหมือนเป็นอุ้งเท้าเล็ก ๆ ที่สะกิดเกาหัวใจของฉินเย่จือในทันที
ริมฝีปากที่อ่อนโยน ปลายลิ้นที่หอมหวาน เร่งเร้าให้เขาถลำลึกลงไปทีละนิด ๆ
ลิ้นเขาสอดแทรกเข้ามาเกี่ยวปลายลิ้นเล็ก ๆ ที่หอมหวานของแมวน้อย ม้วนเกี่ยวกระหวัดอย่างอาลัยอาวรณ์ราวกับได้ลิ้มรสชาติอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก จนทำให้คนลุ่มหลงมั่วเมา
ยามค่ำคืนค่อย ๆ คืบคลานมาอย่างเงียบ ๆ แสงจันทร์ที่สว่างไสวส่องลอดลงมาทางหน้าต่างกระทบร่างของทั้งสองที่โอบกอดกัน ความอ่อนโยนนี้ยากจะปล่อยวาง ทำให้มีความสุขมากในความอ่อนโยนนี้จนไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมาอีก
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานหลับไปแล้ว ฉินเย่จือก็กลับไปที่พักของตัวเองผ่านทางลับ
เมื่อเดินออกจากชั้นไม้ แล้วมองดูบนโต๊ะนั้นยังมีรายงานอีกปึกใหญ่ที่ยังไม่ได้อ่าน เขายกเท้ากำลังจะก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของลูกแมวขึ้นมา ฝีเท้าจึงหยุดชะงักลง
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็หมุนตัวกลับมา ไม่ได้เดินไปที่โต๊ะในห้องด้านนอก แต่เดินเข้าไปที่ห้องด้านใน เมื่อถึงห้องด้านในแล้ว หลังจากนั้นก็ถอดชุดออกและโบกมือ แสงของไข่มุกยามค่ำคืนก็ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ผ้าสีดำผืนหนึ่ง หลังจากที่แสงนั้นถูกปกคลุม ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิด