บทที่ 1464 ตระกูลฟางเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
บทที่ 1464 ตระกูลฟางเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
เห็นเพียงว่าฉินเย่จือไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลย แต่เดินตรงไปข้างหน้าเพื่อเลิกผ้าม่านขึ้น พลิกตัวขึ้นบนเตียงพลางมองม่านเหนือศีรษะ นึกถึงคำพูดของกู้เสี่ยวหวานที่เตือนตัวเอง มุมปากของฉินเย่จือก็มีรอยยิ้มที่อ่อนโยน แม้แต่คิ้วและดวงตาก็ยังสว่างไสวราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน “แมวน้อย”
กล่าวพึมพำเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ในใจรู้สึกอิ่มเอมใจ
ในห้องที่มืดสนิท แสงจากภายนอกไม่สามารถส่องผ่านม่านหนาทึบเข้ามาได้ ฉินเย่จือเอื้อมมือปิดที่ริมฝีปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่มาจากริมฝีปากนั้นยังทำเขาให้ใจสั่นไหว แท้ที่จริงแล้วการรักใครสักคนนั้นคือการที่เขาอยากจะอยู่ด้วยกันกับนางตลอดเวลา
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฉินเย่จือก็ถอนหายใจเบา ๆ ตอนนี้เป็นเพราะว่าสถานะของเขา จึงไม่กล้าที่จะติดต่อกับกู้เสี่ยวหวานอย่างเปิดเผยในโลกภายนอกแม้แต่น้อย แต่ว่าในเมืองหลิวเจีย เขาสามารถจับมือแมวน้อยได้อย่างเปิดเผย อยากไปที่ไหนก็ได้ไป สามารถประกาศให้คนทั้งหมดได้รับรู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นของข้า
มิฉะนั้นดูเหมือนว่าจะต้องรีบบอกตัวตนของตัวเองให้แมวน้อยรู้ให้เร็วที่สุด
ฉินเย่จือตัดสินใจแล้ว จากนั้นจึงหลับตาลงและผล็อยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่กู้เสี่ยวหวานกับฟางเพ่ยหยานัดหมายกันไว้หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ถานอวี้ซูเองก็มาถึงสวนชิงแล้วตั้งแต่เช้า แต่ว่ารอมาตั้งนานกลับไม่เห็นฟางเพ่ยหยามาที่นี่เสียที
มองดูพระอาทิตย์ที่ใกล้จะขึ้นก็ยังไม่เห็นวี่แววของฟางเพ่ยหยา กู้เสี่ยวหวานเริ่มแปลกใจแล้ว
“ท่านพี่ เพ่ยหยาไม่ใช่คนเช่นนี้ พูดไว้แล้วว่าเจ็ดวัน นางจะต้องมาแน่ และยังเป็นเรื่องของนางเองด้วย สิ่งเดียวที่เป็นไปได้ว่านางจะผิดสัญญาคือมีเรื่องบางอย่างที่ถ่วงรั้งนางไว้ ทำให้นางมาถึงที่นี่ล่าช้า” ถานอวี้ซูรู้จักนิสัยของฟางเพ่ยหยา ย่อมรู้ว่าฟางเพ่ยหยาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และเชื่อถือได้ เมื่อรับปากเรื่องใดแล้วก็จะทำในสิ่งที่ได้สัญญาไว้ และนี่ยังเป็นเรื่องของตัวนางเองอีกด้วย เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่มาตามที่นัดหมาย
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว “หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ วิธีที่ข้าให้นางจะไม่ได้ผล”
พูดตามตรงแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็มีความกังวลเล็กน้อย ถ้าหากฟางเพ่ยหยาเกิดมามีรูปร่างอ้วน วิธีของนางนั้นก็กลัวว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ถานอวี้ซูเห็นกู้เสี่ยวหวานเป็นกังวลก็รีบพูดว่า “ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งเป็นห่วงเลย ข้าจะส่งคนไปถามดู”
เป็นเพราะว่าตระกูลฟางมีหลิวซื่อดูแลอยู่ ถานอวี้ซูจึงแทบจะไม่เคยไปที่จวนตระกูลฟางเลย
ดังนั้นเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ ฟางเพ่ยหยาฝึกฝนเป็นอย่างไรนั้น ถานอวี้ซูเองก็ไม่รู้
ในตอนนี้ฟางเพ่ยหยายังไม่มา กู้เสี่ยวหวานเองก็เป็นกังวล ถานอวี้ซูจึงส่งอาอวี้ไปที่จวนตระกูลฟางเพื่อสืบหาความจริง
ระหว่างที่ทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อนั้น อาอวี้ก็กลับมาด้วยสีหน้าที่กังวลใจ “คุณหนู เสี้ยนจู่ ที่จวนตระกูลฟางเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูดีดตัวขึ้นมาจากม้านั่งและมองอาอวี้ด้วยสีหน้าตกใจ
“ฮูหยินฟางป่วยหนัก ใกล้ไม่ไหวแล้ว”
อาอวี้ไปถึงจวนตระกูลฟางแล้วส่งเทียบเชิญของถานอวี้ซูก่อนเข้าไป บอกว่าต้องการพบคุณหนูใหญ่ฟางเพ่ยหยา หลังจากที่คนเฝ้าประตูรับบัตรเชิญ เพียงไม่นานก็มีคนมาเชิญอาอวี้เข้าไป
เพียงแต่ผู้ที่ไปพบนั้นไม่ใช่ฟางเพ่ยหยา แต่เป็นหลิวซื่อ อนุภรรยาของตระกูลฟางผู้นั้น
อาอวี้เล่าให้ถานอวี้ซูฟังอย่างไม่มีตกหล่นสักคำเรื่องที่ตัวเองไปถึงจวนตระกูลฟาง
“หลิวซื่อผู้นั้น พอเห็นข้าก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม พูดจาอ้อมค้อมว่าอยากผูกมิตรกับจวิ้นจู่ ให้ข้ากลับมารายงานจวิ้นจู่ และยังบอกอีกว่าคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลฟางเองก็เป็นคนคุ้นเคยและเป็นสหายกัน แต่จวิ้นจู่กลับไม่เคยมาที่จวนตระกูลฟางเลย นางบอกว่าถ้าหากได้รับความไว้วางใจจากจวิ้นจู่วันไหน ก็จะเชิญจวิ้นจู่มาที่จวน” ขณะที่อาอวี้กำลังพูดก็เห็นถานอวี้ซูหน้าดำมืดแล้ว
เรื่องฐานะนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ว่านิสัยของคนผู้นี้กลับเป็นปัญหาใหญ่เสียแล้ว
เช่นเดียวกับที่ถานอวี้ซูกับกู้เสี่ยวหวานรู้จักกันในปีนั้น ถานอวี้ซูเองก็ไม่ได้สนใจฐานะที่ต่ำต้อยของกู้เสี่ยวหวานเลย แต่ถูกดึงดูดด้วยนิสัยที่ตรงไปตรงมาและอ่อนโยนใจดีของกู้เสี่ยวหวาน รู้สึกว่าคนเช่นนี้ถึงจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีได้
แต่ว่าหลิวซื่อผู้นั้น แล้วก็ยังมีฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นนั่นอีก
“ไร้ยางอายจริง ๆ ไปเป็นสหายกับลูกอนุสองคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ถานอวี้ซูได้ฟัง สีหน้าก็ดำคล้ำทันทีและกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ตอนนั้นข้าอยากรู้เรื่องของคุณหนูฟาง จึงไม่ได้พูดคุยกับหลิวซื่อมากนัก หลิวซื่อเองก็ไม่กล้าทำอะไรข้า ไม่ว่าข้าจะพูดถึงเรื่องของคุณหนูฟางอย่างไร หลิวซื่อก็เอาเรื่องที่พูดคุยกันดึงมาเกี่ยวข้องกับบุตรสาวทั้งสองของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย” อาอวี้พูดอย่างชิงชัง
“ต่อมาข้าเห็นว่าไม่ได้รับข่าวอะไรจากปากของนางเลย จึงขอตัวลากลับ ระหว่างทางออก ข้าแอบยัดเงินให้คนเฝ้าประตูผู้นั้น คนเฝ้าประตูผู้นั้นจึงแอบบอกข้าว่าฮูหยินฟางอาเจียนเป็นเลือดเยอะมาก หมอบอกว่านางป่วยจนไร้หนทางรักษา ร่างกายของนางใกล้จะไม่ไหวแล้ว ตระกูลฟางกำลังจัดเตรียมงานศพ และยังบอกอีกว่าคุณหนูใหญ่นั้นถูกหลิวซื่อกักบริเวณไว้ พูดได้น่าฟังว่าดูแลฮูหยินฟาง แต่ทุกคนรู้ว่านี่เป็นการป้องกันไม่ให้คุณหนูฟางออกไปส่งข่าว ข้าได้ฟังแล้วก็รีบกลับมาทันที”
เกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยินฟางแล้ว
ครั้งก่อนตอนที่ฟางเพ่ยหยามาหา ก็ได้บอกว่าฮูหยินฟางนั้นป่วยติดเตียงจริง ๆ นี่เวลาเพิ่งผ่านมาเจ็ดวันก็ป่วยจนไร้หนทางรักษาเยียวยา
กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูสบตากัน ก็มองเห็นถึงความสงสัยจากในแววตาของอีกฝ่าย
“ท่านพี่ ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี” ถานอวี้ซูถามอย่างกระวนกระวายใจ
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานสงสัยในตอนแรก ตอนนี้ก็สงบลงแล้ว
ที่จวนตระกูลฟางเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น พวกนางนั้นไม่รู้เลย
“ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เห็นเพ่ยหยาเลยหรือ” กู้เสี่ยวหวานหันไปถามอาอวี้
“ไม่ว่าอย่างไรหลิวซื่อผู้นั้นก็ไม่ยอมให้ข้าพบคุณหนูฟาง และยังบอกอีกว่า ตอนนี้คุณหนูฟางอยู่ในเรือนนั้นดีมากและก็ยุ่งมาก รออีกสักสองสามวันค่อยว่ากัน”
“หลังจากรอให้ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ฮูหยินฟางก็เสียแล้วพี่สาว เห็นได้ชัดว่าหลิวซื่อผู้นี้ต้องการที่จะปกปิดข่าวอาการป่วยของฮูหยินฟาง” ถานอวี้ซูพูดอย่างเกลียดชัง
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า
ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดพบเห็นฟางเพ่ยหยาเลย นางจะต้องโศกเศร้ามากและไร้ความคิดอย่างแน่นอน
เรื่องภายในจวนถูกหลิวซื่อจัดการทั้งหมด ไม่ให้ผู้ใดพบเจอและไม่ให้คนออกไปส่งข่าว หรือว่าหลิวซื่อผู้นี้ต้องการรอให้ฮูหยินฟางตายแล้ว ถึงจะพอใจฟางเพ่ยหยาหรือ?