บทที่ 268 ความรักต้องห้ามข้ามเผ่าพันธุ์
บทที่ 268 ความรักต้องห้ามข้ามเผ่าพันธุ์
ตึกตัก! ตึกตัก!
เมื่อเสียงฝีเท้าเปลี่ยนไป เสียงหัวใจของทุกคนแทบจะกระโดดออกมา พวกเขาเหงื่อท่วมตัว เหงื่อเข้าตา แสบจนทนไม่ไหว แต่ไม่มีใครกล้ากะพริบตา
ใกล้เข้ามาแล้ว…
สองหัวเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากผนังทั้งสองด้าน ดวงตาสีมรกตและสีอำพันเพิ่งโผล่ออกมา ทุกคนที่กำลังตึงเครียดก็รีบโจมตีพวกมันทันที
การโจมตีด้วยพลังวิญญาณหลากสีระเบิดออกมาเหมือนดอกไม้ไฟ ก่อนจะถูกกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว
“พวกมนุษย์ช่างดุร้ายจังเลยนะพี่ชาย”
สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ สามหัวกระโดดออกมา นางกะพริบตาสีมรกต แล้วเอียงหัว สองจุกเล็ก ๆ บนหัวแกว่งไปมา
อีกตัวหนึ่งที่ถูกเรียกว่าพี่ชายก็เดินออกมา ถึงแม้จะดูน่ารัก แต่กลับทำท่าทางจริงจังเหมือนหนุ่มน้อยวางมาด มือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกข้างลูบคางแล้วสังเกตคนตรงหน้า
“ทำไมครั้งนี้มีคนมาน้อยจัง วิหารเสินโม่มีของสืบทอดล่อใจมนุษย์โลภไม่ได้แล้วหรือ?”
มันดึงดูดผู้คนนับหมื่นจริง แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดถูกบูชาให้ปีศาจไปหมดแล้ว คนจะไม่น้อยได้ยังไง!
ผู้บำเพ็ญทั้งหลายบ่นอุบอิบในใจ แต่เห็นว่าเป็นลูกอ่อนสองตัวจึงผ่อนคลายได้บ้าง ถึงแม้ว่า… ดูเหมือนจะสู้พวกมันไม่ได้…
สองสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ชัดเจนว่าไม่ใช่มนุษย์ยืนเคียงข้างกันต่อหน้าทุกคน
“ชั้นไหนมีโอสถ?”
โม่จวินเจ๋อพยายามถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่คำพูดที่ออกมากลับเย็นชา
“การสืบทอดโอสถ ผู้มีวาสนาย่อมได้รับ!”
“เหตุใดจึงแบกศพมาด้วย?”
เจ้าตัวน้อยตาสีอำพันสังเกตเห็นหญิงสาวที่สลบไสลจนไร้สติ นอนหงายอยู่บนหลังของโม่จวินเจ๋อ
“เจ้าต่างหากที่เป็นศพ! ทั้งตระกูลของเจ้าล้วนตายหมด!”
ติงหลิวหลิ่วโกรธจัดจนเสียการควบคุม ศิษย์น้องของนางยังหายใจอยู่ชัด ๆ ถึงแม้จะไม่ชัดนัก แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นศพได้อย่างไร!
“ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านดูนางสิ…”
เจ้าตัวน้อยตาสีมรกตที่กำลังเงยหน้าขึ้นสังเกตหลิงเยว่อย่างตกใจ กระตุกตัวพี่ชายของตน เจ้าตัวน้อยตาสีอำพันมองตามนิ้วของน้องสาวไปยังใบหน้าซีดเซียวครึ่งหนึ่งของคนที่สลบไสล ก่อนจะสูดหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นตาก็แดงก่ำ น้ำตาไหลพรากออกมา พลางร้องเรียกด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
“ท่านแม่!”
ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างตกใจกับสองคำนี้ยิ่งนัก
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงต้องมาลำบากเช่นนี้!”
โม่จวินเจ๋อชะงักไป เขามองเด็กหญิงตัวน้อยที่กอดขาเขาร้องไห้อย่างงงงวย แล้วก็มองไปยังเด็กชายตัวน้อยที่มองหลิงเยว่ด้วยสายตาลึกซึ้งน้ำตานอง
หลิงเยว่มีลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“พวกเจ้าเป็นลูกของนางจริง ๆ เหรอ?” ติงหลิวหลิ่วชี้ไปที่หลิงเยว่อย่างยากจะยอมรับ หรือว่าทั้งสองเป็นลูกที่ศิษย์น้องแอบไปให้กำเนิดที่เมืองฝู่ซาง? ไม่น่าใช่…
โดยทั่วไปแล้วผู้บำเพ็ญจะตั้งครรภ์นานหนึ่งถึงสองปี แต่เจ้าเด็กน้อยสองตัวนี้…
หืม?!
“อายุกระดูกสามขวบ?!”
“ใช่แล้ว!”
“ศิษย์น้องกลับไปมีความรักต้องห้ามข้ามเผ่าพันธุ์กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรลับหลังพวกข้า…”
ติงหลิวหลิ่วรู้สึกว่าตนเองต้องการความสงบสักหน่อย
“แล้วท่านพ่อของพวกเจ้าเป็นใคร?” ผู่ตานถามด้วยความสนใจ
“ท่านพ่อ? ท่านพ่อคืออะไร? พวกข้าไม่มีท่านพ่อ” เจ้าตัวน้อยตาสีอำพันกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา เห็นได้ชัดว่าในความคิดของเขาไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าท่านพ่อ
“มนุษย์ รีบปล่อยท่านแม่ของข้าลงมา พวกข้าน่าจะยังช่วยนางได้ทัน!”
เด็กหญิงตาสีมรกตเร่งเร้าโม่จวินเจ๋อ
โม่จวินเจ๋อทำตามคำพูด บางทีเจ้าตัวน้อยทั้งสองตัวนี้อาจมีวิธีช่วยหลิงเยว่จริง ๆ?
“ทำไมท่านแม่ถึงกินขยะมากขนาดนี้นะ!”
“ดูเหมือนว่าอาหารในโลกมนุษย์จะขาดแคลน ทำให้ท่านแม่ต้องพึ่งพาการดูดซับขยะเพื่อเติบโต”
เด็กชายตัวน้อยตาสีอำพันถอนหายใจ
“พี่ชาย พาท่านแม่ไปกินของอร่อยที่ชั้นสามกันเถอะ!”
ดวงตาสีมรกตเปล่งประกาย พอนึกถึงชั้นสามแล้ว น้ำลายก็ไหลเป็นทางยาวโดยควบคุมไม่ได้เลย
สองตัวน้อยพูดคุยกันเจื้อยแจ้วด้วยคำพูดที่คนอื่นฟังไม่เข้าใจ พูดไปพูดมาอีกตัวยังน้ำลายไหลใส่หลิงเยว่ด้วย โม่จวินเจ๋อเห็นแล้วขนลุก จึงรีบแย่งตัวหลิงเยว่ไปทันที กลัวว่าเจ้าตัวน้อยจะทนไม่ไหวแล้วกัดหลิงเยว่เข้าให้
“นางเป็นท่านแม่ของพวกเจ้าจริงหรือ?”
อวี้เจินไม่เชื่อเลยสักนิด ศิษย์น้องที่เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง จะให้กำเนิดลูกที่ไม่ใช่มนุษย์ถึงสองคนได้อย่างไร?
แถมยังมีฝีมือถึงขั้นโยนลูกทิ้งไว้ที่วิหารเสินโม่ที่คร่าผู้บำเพ็ญไปหลายชีวิตกว่าจะเข้ามาได้อีกด้วย
ทุกคนไม่เชื่อว่าลูกทั้งสองที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นลูกของหลิงเยว่ รวมถึงโม่จวินเจ๋อด้วย
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด!
แต่ลูกทั้งสองก็เรียกหานางว่าท่านแม่ ๆ อย่างสนิทสนม ราวกับพวกเขาเป็นลูกที่หลิงเยว่ให้กำเนิดจริง ๆ ช่างน่าฉงนใจยิ่งนัก!
“แน่นอนว่าใช่!”
ลูกชายตาสีอำพันตอบอย่างจริงจัง
หน้าตาค่อนข้างเหมือนกัน แม้พลังชีวิตจะอ่อนแอ แต่ก็ตรงกัน ท่านแม่คงยังรวบรวมร่างกายไม่ครบ ถึงได้เป็นเช่นนี้!
ไม่อย่างนั้นขยะเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ จะทำให้นางทรมานได้ถึงเพียงนี้หรือ?
ที่ท่านแม่ปรากฏตัวที่นี่ น่าจะเป็นเพราะ… ที่นี่ซ่อนส่วนหนึ่งของร่างกายนางไว้!
เจ้าตัวน้อยตบมือด้วยความประหลาดใจ เพียงแค่หาส่วนนั้นของร่างกายท่านแม่ให้เจอ พลังปีศาจที่คลุ้มคลั่งในร่างกายจะนับว่าเป็นอะไรได้!
แต่ส่วนนั้นซ่อนอยู่ที่ใดกัน?
“น้องสาว ไปช่วยท่านแม่หาร่างกายกันเถิด!”
เด็กชายตัวน้อยลากน้องสาวที่ยังคงน้ำลายไหลอยู่ไป ทั้งสองแสดงวิชาหายตัวต่อหน้าทุกคน
“แล้ว… จากไปแบบนี้เลยหรือ?”
ลู่เป่ยเหยียนงงไปครึ่งวัน เดิมทีคิดว่าจะได้ใช้สองตัวน้อยนั่นไปหาโอสถที่จะช่วยหลิงเยว่ได้ แต่ตอนนี้… คงต้องล้มเลิกไป
“พวกมันพูดภาษาอะไรกันแน่ มีใครฟังออกบ้างไหม?”
ว่านอวี้เฟิงรู้สึกว่าการจากไปอย่างกะทันหันของทั้งสองอาจเกี่ยวข้องกับหลิงเยว่ แต่น่าเสียดายที่ฟังไม่รู้เรื่องสักคำ จึงไม่สามารถวิเคราะห์อะไรได้
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างส่ายหน้า
“พวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่ บางทีที่สองตัวนั้นจากไปกะทันหันอาจเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างกำลังจะมา!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงเริ่มขยับตัว แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าควรเลือกหนีไปทางไหนดี
ทางซ้ายและขวาของห้องโถงใหญ่มีทางเดินยาว มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ข่าวดีคือ บนกำแพงไม่มีการแกะสลักสัตว์อสูรใด ๆ ดังนั้นไม่น่าจะเจอสัตว์อสูรฝูงใหญ่ แต่ก็อาจมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าฝูงสัตว์อสูรซ่อนอยู่ตรงปลายทางเดินก็เป็นได้
พวกผู้บำเพ็ญที่ถูกทรมานจนร่างกายและจิตใจบอบช้ำ ตอนนี้ไม่ว่าเจออะไรจะคิดไปในทางที่แย่ที่สุด สิ่งที่เรียกว่ามรดก สมบัติวิเศษ หรือจุดสูงสุดของชีวิต พวกเขาแม้แต่จะคิดก็ไม่กล้าแล้ว ความปรารถนาเดียวคือออกไปจากที่นี่ให้ได้!
“แยกเป็นสองทางกันเถอะ”
โม่จวินเจ๋อแบกหลิงเยว่เดินไปทางซ้าย ติงหลิวหลิ่วรีบตามไป ส่วนผู่ตานก็พาว่านอวี้เฟิงและคนอื่น ๆ เดินไปทางขวา
ผู้บำเพ็ญที่เหลือมองหน้ากัน แล้วพากันไปทางซ้ายหมด
ทุกคนในโลกผู้บำเพ็ญเซียนรู้ดีว่าผู่ตานเป็นตัวซวย ตามเขาไปไม่มีทางได้ดีแน่!
ลู่เป่ยเหยียน ว่านอวี้เฟิงและอวี้เจินที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าทางเดินด้านขวามองไปที่ผู่ตานอย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้ไปทางซ้ายยังทันอยู่หรือไม่?
แน่นอนว่าไม่ทันแล้ว!
ผู่ตานมือข้างหนึ่งจับอวี้เจิน ส่วนอีกข้างใช้แส้เพลิงลากอีกคนไปอย่างแรง
ตั้งแต่ผู่ตานเข้ามาในสนามรบโบราณเฉียนซี เขาไม่ใช่ผู้โชคร้ายอีกต่อไป แต่กลายเป็นบุตรแห่งโชคชะตา!
พวกเขาพลาดบุตรแห่งโชคชะตาไปแล้ว!