ตอนที่ 454 ข่าวดีของอิ๋นชิง
เมื่อจี้หยวนกลับถึงบ้าน แน่นอนว่าหูอวิ๋นยังไม่ตื่น คาดว่าจิ้งจอกตัวนี้คงไม่ตื่นในเวลาอันสั้น จี้หยวนวางพู่กันหมึกเขียนอักษรอนุมานวิชาอัศจรรย์ตรงที่ว่างบนโต๊ะหิน
ยามอยู่เรือนสันตินอกจากการฝึกปราณตามความจำเป็นแล้ว โดยปกติจี้หยวนชอบใช้ชีวิตทำงานพักผ่อนเหมือนคนทั่วไป ฟ้ามืดเข้าเรือนฟ้าสว่างออกข้างนอก
วันที่สองยังไม่รอจี้หยวนหลับจนตะวันโด่ง เขาได้ยินการเคลื่อนไหวยามหูอวิ๋นตื่นขึ้นมาแล้ว ถือว่าเร็วกว่าที่เขาคาดอยู่บ้าง ดูท่าว่าคงยึดติดกับกระดาษซึ่งตนตัดตลอด
เมื่อจี้หยวนเปิดประตูออกไป เขาเห็นหูอวิ๋นกวาดลานพอดี แม้ว่าจิตวิญญาณน่าจะยังไม่ฟื้นคืน แต่กระปรี้กระเปร่าพอตัว
หูอวิ๋นรู้ว่าตนคงไม่มีแรงเพิ่มจำนวนยันต์กระดาษมาซ้อนทับกันอีก เขาจึงไม่ตัดกระดาษต่อ ทั้งไม่รีบร้อนรวมยันต์เช่นกัน ด้วยหูอวิ๋นรู้ดีว่ามรรควิถีตนยังไม่ถึงขั้นเหนือกว่าคำชี้แนะท่านจี้ หากรวมยันต์มั่วซั่วคงทำให้ความพยายามก่อนหน้านี้เสียเปล่า
หูอวิ๋นไม่ได้ใช้ไม้กวาดอะไร แต่ใช้อุ้งเท้าจับหางเก็บกวาด ทำความสะอาดครู่หนึ่งแล้วหยัดร่างมองยันต์กระดาษเหลืองบนตะกร้าไผ่ตรงโต๊ะหิน บนหน้าเปี่ยมความรู้สึกดีใจ
ได้ยินเสียงเปิดประตู รู้ว่าจี้หยวนออกมาแล้ว มันพุ่งตัววิ่งแจ้นมาทันที
“ท่านจี้ วันนี้ข้าเริ่มรวมยันต์ได้หรือไม่”
จี้หยวนเห็นจิ้งจอกตัวนี้ท่าทางอดรนทนไม่ไหว เขาพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว
“ได้ แต่เจ้าตัดคนกระดาษอีกสองแผ่นมาลองฝึกก่อน แน่นอนว่าสองแผ่นรวมกันไม่มีประโชน์อะไร แต่กลับทำให้เจ้าคุ้นเคย การรวมยันต์ง่ายกว่าการตัดแต่งแปรวิชาหวนนิมิต ข้ากลัวว่าเจ้างีบหลับแล้วจะลืมความรู้สึกนั้น”
“ได้ๆๆ ข้าเชื่อฟังท่าน!”
หูอวิ๋นยิ้มระรื่นพลางเอ่ยตอบ เริ่มเรียนรู้การรวมยันต์ตามวิธีการสอนของจี้หยวน
เวลาล่วงเลยจวบจนช่วงบ่าย สุดท้ายหูอวิ๋นรู้สึกว่าไม่ต้องฝึกอีก แม้ว่ายังกระวนกระวายใจ แต่ถ้าฝึกต่อคงไม่ยกระดับอะไร มันจึงเลือกรวมยันต์ภายใต้การดูแลของจี้หยวน
กระบวนการนี้ราบรื่นกว่าที่หูอวิ๋นคิดไม่น้อย แทบรวมยันต์สำเร็จโดยไร้อุปสรรคใด สุดท้ายในมือเผยคนกระดาษแผ่นบาง หากมองแค่ภายนอกคือไม่ต่างกับยันต์จอมพลังในมือจี้หยวนนัก ส่วนความแตกต่างที่แท้จริงเจ้าของอย่างพวกเขาล้วนเข้าใจ
แต่ตอนนี้นอกจากตื่นเต้นยินดีแล้ว หลังจากหยดเลือดจิ้งจอกบนคนกระดาษตอนต้น หูอวิ๋นอยากทดสอบยันต์ซึ่งเพิ่งหลอมเสร็จในมือจนทนไม่ไหว มันยืนบนโต๊ะหินก่อนโยนไปข้างหน้า ปากส่งเสียงตะโกนอย่างจริงจัง
“จอมพลังจงมา!”
ยามสิ้นเสียงคนกระดาษกลายเป็นแสงแดงละเอียดหลายสาย สุดท้ายจึงปรากฏออกมาเป็นเงาคนสีเทาดำตรงหน้าหูอวิ๋น หากมองโดยละเอียดสามารถเห็นภาพตรงข้ามผ่านเงาร่างมันได้รางๆ นอกจากสีเทาดำรอบตัวแล้ว ใบหน้ายังเจือแสงแดงรางๆ
แน่นอนว่าไม่สวมเกราะทองอะไร หูอวิ๋นไม่มีพลังนิมิตเชื่อมจิต ทั้งไม่ได้ควบรวมพลังเช่นนั้น เงาคนผู้นี้จึงเหมือนปกคลุมด้วยเสื้อผ้าหนาสีเทาดำชั้นหนึ่ง
เมื่อปรากฏตัวเงาคนผู้นี้ทำท่าประสานมือไปทางหูอวิ๋น แต่กลับพูดไม่ได้ ด้วยยามตัดกระดาษหูอวิ๋นไม่มีแรงเชื่อมจิตกับพลังมานึกถึงอวัยวะภายในซึ่งจำเป็นในเงาร่างนี้เช่นกัน
“ฮ่าๆๆๆ… สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว! ท่านจี้ ยันต์จอมพลังของข้าเสร็จแล้ว!”
จี้หยวนแย้มยิ้มเล็กน้อย มองเงาคนสีเทาดำนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าเหลือบแสงแดงถึงขั้นเห็นเครื่องหน้าทั้งห้าไม่ถนัด บอกว่าเป็นจอมพลัง แต่กลับเหมือนภูตยิ่งกว่า
แม้เทียบกับผู้เหนือกว่าไม่ได้ แต่เทียบผู้ด้อยกว่าแล้วเหลือเฟือ สิ่งที่หูอวิ๋นหลอมแข็งแกร่งกว่าของปรมาจารย์ตู้เมื่อตอนนั้นไม่รู้ว่ากี่เท่า อย่างน้อยจี้หยวนรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังใช้ประโยชน์ได้ ด้วยแฝงนิมิตพิเศษจากความสามารถหูอวิ๋นไม่น้อย
“สิ่งนี้ไม่เหมาะจะเรียกว่าจอมพลังแล้ว”
แน่นอนว่าหูอวิ๋นเข้าใจจุดบกพร่องของตัวเอง ไม่คิดว่าท่านจี้กล่าวผิดแม้แต่น้อย เขาพยักหน้าพลางกล่าว
“จริงด้วย อานุภาพไม่เหมือนจอมพลังเกราะทอง แต่อย่างไรก็เป็นสิ่งที่ข้าหลอมสำเร็จ จริงสิ ท่านจี้ สิ่งนี้ควรเรียกว่าอะไร”
หูอวิ๋นพูดพลางยื่นกรงเล็บออกมาชี้ เงาคนตรงหน้าพลันกลายเป็นเงาแสงเทาดำสายหนึ่ง ล่องลอยกลางลานเหมือนภูตผี วนรอบต้นพุทราสองสามรอบก่อนอ้อมห้องครัว จากนั้นค่อยกลับมาหน้าโต๊ะ
จี้หยวนเห็นชัดเจน ด้วยรวมแล้วมีสามสิบหกกระบวนท่า ดังนั้นเดิมเจ้าหมอนี่ยืนนิ่งไม่ขยับ แต่เมื่อหูอวิ๋นนึกถึงวิชาภูตผี การเคลื่อนไหวจึงรวดเร็ว
“หึๆ เจ้าเป็นคนหลอม เจ้าตั้งชื่อเองเถอะ”
…
จี้หยวนอยู่เรือนสันติ แน่นอนว่าหูอวิ๋นย่อมมาบ่อยๆ ใช่ว่าเขาอยู่เรือนเล็กตลอด โดยส่วนใหญ่คือเว้นช่วงค่อยมาคราหนึ่ง เวลาที่เหลือย่อมอยู่กลางป่าเขา
จี้หยวนที่อยู่เรือนสันติไม่เดียวดาย นอกจากภูตสิ่งของข้างกาย สิ่งสำคัญคือมีเด็กหญิงวิ่งมาเรือนเล็กบ่อยครั้งเพิ่มมาอีกคน นั่นคือซุนหย่าหย่าหลานสาวสุดที่รักของซุนฝู
เด็กหญิงเตรียมพู่กันหมึกกระดาษจานฝนมาเอง ทุกครั้งยามมาเรือนสันติของจี้หยวนล้วนลิงโลด ด้วยอักษรจี้หยวนงามยิ่ง นางอยากเรียนรู้มากจริงๆ
สองสามครั้งแรกยามมาเรือนสันติ คนตระกูลมาส่งและมารับ ภายหลังนางมาด้วยตัวเอง ค่ำหน่อยคนตระกูลซุนค่อยมารับ ต่อมาภายหลังกลายเป็นซุนหย่าหย่ามาเอง คัดอักษรเสร็จค่อยกลับบ้านเอง
ด้วยการมาเยือนของซุนหย่าหย่า ความมีชีวิตชีวาของเรือนสันติเพิ่มขึ้นทันที บรรยากาศร่าเริงสดใสออกมาจากเรือนเล็ก ขอแค่เข้าสู่ตรอกเทียนหนิว ทุกครั้งยามเจอชาวบ้านระหว่างทาง ซุนหย่าหย่าซึ่งส่วนใหญ่สวมชุดศิษย์สีขาวพอดีตัวย่อมทักทาย
ชาวบ้านตรอกเทียนหนิวไม่น้อยล้วนรู้จักเด็กหญิงตัวน้อยร่าเริงน่ารักคนนี้ ทั้งยังรู้ว่ากำลังเรียนเขียนอักษรกับท่านจี้ด้วย กระทั่งบางคนที่ไม่รู้จักจี้หยวนยังทราบชื่อเสียงของจี้หยวนผ่านซุนหย่าหย่า
แม้ว่าหูอวิ๋นกับอักษรจิ๋วรวมถึงนกกระดาษอยากรู้จักซุนหย่าหย่า ถึงขั้นชอบนางมาก แต่ทั้งหมดกลับต้องหลบซุนหย่าหย่า หรือคิดหาวิธีไม่ให้นางมองเห็น
เวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบเช่นนี้เกือบปี ซุนหย่าหย่าเล่าเรื่องสำนักศึกษาให้จี้หยวนฟัง เริ่มจากการบ่นระบายความในใจ ถึงตอนท้ายกลายเป็นเสียงหัวเราะชื่นมื่นทีละน้อย หลังจากผ่านมาเกือบปี ซุนหย่าหย่ายิ่งกลายเป็นดาวเด่นของสำนักศึกษา แม้แต่อาจารย์ยังบอกว่าตัวอักษรของซุนหย่าหย่ายังแรกรุ่น แต่กลับมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นผู้เหมาะแก่การปลูกฝัง
วันนี้เด็กสาวมาคัดอักษรที่เรือนสันติอีกครั้ง นางเขียนอักษรซึ่งพอใจมากที่สุดจนถึงตอนนี้ตามความคิด
“ท่านจี้ ท่านรีบมาดูอักษร ‘หย่า’ ตัวนี้ที่ข้าเขียนสิ ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
ซุนหย่าหย่าถือพู่กันกำกระดาษพุ่งตัวถึงห้องครัว นำมาให้จี้หยวนซึ่งกำลังหั่นผักดูอย่างอดรนทนไม่ไหว จี้หยวนกวาดมองแค่พอเป็นพิธี พยักหน้าพลางกล่าวชม
“ไม่เลว เปล่งประกายกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง แต่ยังไม่พอ ตัวอักษรเผยนัย ยามเขียนนึกถึงท่วงทำนองของมันมากหน่อย”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!”
ซุนหย่าหย่ารีบวิ่งกลับมากลางลานก่อนเริ่มคัดอักษรอีกครั้ง ทุกครั้งท่านจี้เหมือนเอ่ยชมลวกๆ วันต่อมาเมื่อนำไปให้อาจารย์สำนักศึกษาดู หลายครั้งอีกฝ่ายย่อมชมไม่หยุดปาก ถึงขั้นว่าอาจประหลาดใจเล็กน้อย ช่วงเวลาเช่นนี้สนุกเป็นพิเศษ ซุนหย่าหย่าเริ่มเฝ้ารอแล้ว
ก๊อกๆๆ…
“ท่านจี้อยู่หรือไม่”
ซุนหย่าหย่าวางพู่กันลง มองห้องครัวก่อนกล่าว
“ท่านจี้ ข้าไปเปิดประตูนะเจ้าคะ”
“ไปเถอะๆ”
ดังนั้นเด็กสาวพุ่งตัวไปหน้าประตูเรือน เปิดประตูเห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก ยามซุนหย่าหย่าสำรวจมองอีกฝ่าย ฝ่ายหลังมองนางเช่นกัน
“ท่านเป็นใคร มาหาท่านจี้ด้วยเรื่องใด”
เจ้าหน้าที่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงค่อนข้างดัง
“ข้าเป็นเจ้าหน้าที่จากที่ว่าการอำเภอ ตอนนี้รับผิดชอบส่งจดหมายตรอกเทียนหนิวกับสองตรอกที่ติดกัน วันนี้รับจดหมายประทับครั่งแดงของท่านจี้ นำมาส่งให้โดยเฉพาะ!”
จดหมายครั่งแดงเช่นนี้ มีแค่ขุนนางราชสำนักที่ใช้ได้ เมื่อมาถึงที่ว่าการอำเภอ เจ้าหน้าที่ย่อมนำมาส่งโดยไม่กล้าล่าช้า
ตอนนี้จี้หยวนหยิบผ้าผืนหนึ่งมาเช็ดมือพลางเดินออกมา เมื่อถึงหน้าประตูเรือนแล้วประสานมือให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นค่อยรับจดหมาย กวาดมองเล็กน้อยแล้วเห็นชื่อของอิ๋นชิง
“ขอบคุณน้องชายที่มาส่ง เข้ามาดื่มชาหน่อยเถอะ”
จี้หยวนหลีกทางเล็กน้อย แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่กล้าเข้าไป กล่าวปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง
“ไม่ดีกว่า ข้ายังมีหน้าที่ติดตัว ไม่รบกวนแล้ว”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นขอเลี้ยงน้องชายดื่มชา โปรดรับไว้!”
จี้หยวนหยิบเหรียญห้าอีแปะออกมาอย่างรู้กฎเกณฑ์ เจ้าหน้าที่แสร้งปฏิเสธสองครั้งก่อนรับไว้ จากนั้นค่อยคารวะจากไป
ยามจี้หยวนปิดประตูเรือน ซุนหย่าหย่าเขย่งเท้ามองจดหมายฉบับนี้ครู่ใหญ่แล้ว
“ท่านจี้ นี่คือจดหมายของใครหรือ มีเนื้อหาว่าอย่างไร”
“หึๆ นี่คือจดหมายของบุคคลสำคัญ อิ๋นชิงรองเสนาบดีแห่งกรมพิธีการคนปัจจุบัน”
ซุนหย่าหย่าขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย
“อิ๋นชิง? อ้อ! แซ่อิ๋น? หรือว่าเป็นบุตรชายของดาวบุ๋นอิ๋น”
“ไม่ผิด”
จี้หยวนแตะจมูกซุนหย่าหย่าเล็กน้อย จากนั้นค่อยเปิดจดหมาย หยิบกระดาษออกมาสะบัด ปลายนิ้ววาดผ่านจดหมาย สัมผัสอักษรอ่านเนื้อหาบนนั้น
ในจดหมายอิ๋นชิงบอกว่าเขาหมั้นหมายแล้ว อีกฝ่ายคือองค์หญิงฉางผิงเมื่อตอนนั้น ช่วงเวลาแต่งงานคือหลังจากนี้หนึ่งปี ถามจี้หยวนล่วงหน้าว่าสะดวกไปหรือไม่ ทั้งพาองค์หญิงฉางผิงกลับมาอำเภอหนิงอันพร้อมกัน หากท่านจี้อยู่บ้านย่อมมาเชิญ
ถึงอย่างไรอิ๋นจ้าวเซียนก็ไม่ใช่ขุนนางรัฐหวั่นเหมือนก่อนแล้ว บุตรชายเขาแต่งงาน เครือญาติเชื้อพระวงศ์ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักย่อมไปแน่นอน สถานการณ์เช่นนั้นจี้หยวนไม่ชอบนัก แต่อิ๋นชิงแต่งงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไป
“เจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรเร็วจริง!”
“ท่านจี้ๆ เขียนว่าอย่างไร บอกหย่าหย่าได้หรือไม่”
จี้หยวนก้มมองซุนหย่าหย่า
“ไม่มีอะไร อิ๋นชิงจะแต่งงานแล้ว”
“อะไรนะ อิ๋นชิงจะแต่งงานแล้ว? เร็วขนาดนี้เชียว!”
เพิ่งสิ้นเสียงกลางลานพลันมีเสียงตกตะลึงแว่วมา ทำให้ซุนหย่าหย่าตกใจสะดุ้งโหยง หันมองรอบเรือนเล็ก ไม่พบว่าใครเป็นคนพูด นางรีบดึงแขนเสื้อของจี้หยวน
“ท่านจี้ เมื่อครู่เหมือนมีคนพูดด้วย!”
ซุนหย่าหย่ากวาดสายตามองไม่หยุด ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าข้างโต๊ะหินมีเงาสีแดงเพลิง นางจ้องมองตรงนั้นโดยละเอียด เงานี้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายค่อยเห็นเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น