บทที่ 390 ตาของเผ่าแสงสายัณห์
นอกเรือผีมืดสนิทไปหมด ไม่มีแสงใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงความเย็นเยือกและหนาวเหน็บอันไม่สิ้นสุดเท่านั้นที่ตลบอวลไปทั่วทุกทิศในความมืดมิดแห่งนี้
สิ่งที่ได้เห็นและสัมผัสผ่านเจ้าเงา สวี่ชิงมองมิติราวยมโลกข้างนอกเรือผี เขาพลันนึกถึงในตอนที่เป็นระดับสร้างฐาน คำพูดเรื่องความน่ากลัวที่ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนหวาดเกรง
ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน ในเสี้ยวขณะที่สร้างฐานเหมือนว่าตัวเองจุดตะเกียงแห่งชีวิตติด จะดึงดูดตัวตนอีกโลกหนึ่งมา
เหมือนเจ้าใบ้น้อยในตอนนั้น ก็ได้ล้มเหลวที่ด่านนี้ ถูกชิงร่างไปครึ่งหนึ่ง
หากไม่ได้สวี่ชิง เกรงว่าคงแตกดับไปแล้วโดยสมบูรณ์
ตอนนี้ความมืดมิดนอกเรือผีทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่ามันคือโลกใบนั้น
ระหว่างที่สวี่ชิงครุ่นคิด เวลาที่นี่หมุนผ่านไปไม่ได้ชัดเจนนัก คล้ายว่าเป็นเพียงเสี้ยวพริบตา แต่ก็คล้ายว่าเนิ่นนานนัก จวบจนกระทั่งแสงเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในความมืด
แสงนี้มาพร้อมกับความร้อน แผ่ขยายไปหมื่นจั้ง ในขณะที่ฉีกความมืดมิด ก็ฉายทะเลทรายที่แสงเจิดจ้าผืนหนึ่งออกมาจากในยมโลกรอยแยกนั้น
เสี้ยวขณะต่อมา เรือผีก็พุ่งไปในทะเลทรายที่ก่อตัวจากยมโลกที่ฉีกสะบั้นผืนนี้ ในเสี้ยวพริบตาที่พุ่งเข้าไป เรือผี…ก็หายไปแล้ว
ทุกคนบนเรือต่างรู้สึกเหมือนร่วงหล่นลงมาทันที
‘ลืมตาได้แล้ว’
จากเสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนที่ดังมา ลูกศิษย์พันธมิตรแปดสำนักต่างลืมตาขึ้น สิ่งที่สะท้อนในสายตาของพวกเขาคือทะเลทรายที่ลุกไหม้ผืนหนึ่ง
ทะเลทรายกำลังเผาไหม้ ทะเลเพลิงสุดลูกหูลูกตาลุกท่วมไปทั่วทุกทิศ ท้องฟ้าบิดเบี้ยวไปด้วยเหตุนี้ มีเพียงดวงอาทิตย์ดวงนั้นที่แผ่อุณหภูมิสูงน่าตกใจออกมาจากกลางท้องฟ้า
ดวงอาทิตย์ของที่นี่ชัดเจนกว่า ใหญ่กว่าที่สวี่ชิงเห็นในมณฑลรับเสด็จราชัน
เหมือนว่าดวงอาทิตย์อยู่กลางท้องฟ้าของทะเลทรายแห่งนี้
หรือพูดได้ว่า ทะเลทรายแห่งนี้…เป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
เรือโลกวิญญาณไม่อาจดำรงอยู่ที่นี่ได้ จึงหายไป ดังนั้นคนทั้งหลายถึงร่วงหล่นลงมา
และจากการสะบัดมืออย่างรวดเร็วของจอมเซียนจื่อเสวียน เรือเหาะที่เหมือนมังกรฟ้าก็ปรากฏขึ้น ทำให้คนทั้งหลายร่วงลงบนนั้น
เสี้ยวขณะต่อมา เรือเหาะแล่นไปพร้อมดวงอาทิตย์แผดเผา ข้ามผ่านทะเลเพลิงในฟ้าดิน เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ส่วนผู้โดยสารคนอื่นๆ ในเรือผีก็ต่างมีวิธีของแต่ละคน ผู้ครองกระบี่สองคนนั้นหยิบเอาอาวุธเวทรูปร่างเหมือนหมวกใบหนึ่งออกมา มันไม่ได้ลอยขึ้นฟ้า แต่มุดลงไปในดิน หายลับไป
“นี่เป็นการเดินทางช่วงสุดท้าย หลังจากเหาะเหินในทะเลทรายแห่งนี้สามเดือน พวกเราก็จะถึงเขตแดนเมืองหลวงเขตปกครอง”
บนเรือเหาะ จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนประดุจน้ำพุกระจ่างท่ามกลางดวงอาทิตย์แผดเผา ทำให้จิตใจของทุกคนผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ดวงตาฉายประกายประหลาด การประสบพบเจอตลอดทางนี้แม้จะสั้น แต่ก็ทำให้เขาได้เห็นสิ่งประหลาดอัศจรรย์ของโลกใบนี้มากขึ้น
การเพิ่มพูนประสบการณ์แบบนี้ เป็นสิ่งที่มณฑลรับเสด็จราชันไม่มีทางมอบให้ได้
ความกว้างใหญ่ไพศาลในโลกเหมือนจะเปิดมุมหนึ่งให้กับเขา
และในทะเลทรายแห่งนี้มีต่างเผ่าอาศัยอยู่
หลังจากนั้นครึ่งเดือน จากการเคลื่อนหน้าไปของเรือเหาะ จากพื้นที่ที่ไฟบนพื้นมอดดับ หลังจากที่ไฟตรงนั้นหายไปก็มีควันออกมามากมาย
ควันเหล่านี้ลอยอ้อยอิ่งขึ้นฟ้า แล้วก่อเค้าร่างเป็นเงาร่างมนุษย์แต่ละร่างๆ
แม้จะยังรางเลือน แต่ก็สามารถเห็นเค้าร่างคร่าวๆ ได้ ในนั้นมีผู้ชายมีผู้หญิง มีเด็กมีคนแก่
คล้ายว่าเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งกำลังใช้ชีวิต อยู่อาศัยกันตามปกติ
โดยเฉพาะในบริเวณที่ควันหนาแน่น กระทั่งว่าก่อเค้าร่างเป็นเมืองเมืองหนึ่ง
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหลือเชื่อ คนอื่นๆ ส่วนมากก็ล้วนรู้สึกเช่นนั้น มีเพียงนายกองที่ท่าทางเหมือนว่าไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ
ในตอนที่พวกเขาจ้องมองเผ่าพันธุ์ที่ก่อตัวขึ้นจากเงาเหล่านั้น เงาร่างที่แปรเปลี่ยนมาจากเงาเหล่านี้ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เงยหน้ามองเรือเหาะที่อยู่บนฟ้า
ภาพนี้ทำให้จอมเซียนจื่อเสวียนสีหน้าเคร่งขรึม นางเหาะออกไปนอกเรือเหาะเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้พบต่างเผ่า อยู่กลางอากาศโค้งคารวะไปทางเมืองควันที่อยู่บนพื้น
“ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์มณฑลรับเสด็จราชัน คุ้มกันผู้ครองกระบี่สำนักข้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง ขอผ่านที่นี่ สหายเผ่าควันขจรโปรดอภัย”
หลังจากจอมเซียนจื่อเสวียนประสานหมัดคารวะ สวี่ชิงก็ประสานหมัดเช่นกัน จากนั้นลูกศิษย์ทุกคนก็โค้งคารวะไปทางพื้นดินอย่างเคร่งขรึม
จากนั้นควันข้างล่างก็เดือดพล่าน มีเงาร่างหมอกควันลอยปรากฏขึ้นจำนวนมาก
พวกมันมองเรือเหาะ คล้ายว่ากำลังครุ่นคิด ไม่นานนักก็ประสานหมัดทำความเคารพ ต่างฝ่ายต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
จนตอนนี้จอมเซียนจื่อเสวียนจึงถอนหายใจโล่งอก
“นี่คือเผ่าควันขจร เป็นเผ่าพันธุ์ที่จัดการยากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้แล้ว พวกมันไม่สนใจสำนักเผ่ามนุษย์ส่วนมาก แต่เคารพยำเกรงผู้ครองกระบี่
“เผ่านี้กำเนิดภายใต้อาทิตย์ร้อนระอุ เป็นผู้ลอบสังหารโดยธรรมชาติ เงาร่างของพวกมันสามารถผสานไปกลับกลิ่นอายทุกอย่าง แปลกประหลาดเหลือคณา วันหลังพวกเจ้าพบเจอจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มาก อย่าได้ไปหาเรื่อง พยายามผูกมิตรไว้”
จอมเซียนจื่อเสวียนกำชับ
สวี่ชิงพยักหน้า มองเมืองหมอกควันที่อยู่บนพื้นข้างหลัง จำเอกลักษณ์ของเผ่านี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ
เส้นทางหลังจากนั้นพวกสวี่ชิงก็ได้เห็นเผ่าพันธุ์แปลกประหลาดอัศจรรย์ต่างๆ ในทะเลทรายแห่งนี้ไม่น้อยเลย
จวบจนหลังจากนั้นหนึ่งเดือน สีของทะเลทรายก็เปลี่ยนแปลง ไม่เป็นสีส้มแดงอีกต่อไป แต่ค่อยๆ เกาะเป็นผลึก…
เช่นนี้แล้วก็เหมือนก่อเป็นแสงสะท้อน แสงสีต่างๆ สอดประสาน แม้จะพราวพร่างแต่ก็เจิดจ้าบาดตา หากพลังบำเพ็ญไม่เพียงพอจ้องมองนานไป ตาก็จะบอดได้
และเรือเหาะที่ขับเคลื่อนอยู่ในฟ้าดินก็เหมือนทะลุผ่านไปในทะเลแสง
ในเสี้ยวขณะนี้เอง สวี่ชิงก็เห็นผู้ครองกระบี่สองคนนั้นอีกครั้ง
เห็นได้ว่าทะเลทรายผืนนี้คือจุดหมายปลายทางของผู้ครองกระบี่ทั้งสองคนนี้ ตอนนี้พวกเขาอยู่บนพื้นดินที่เกาะผลึก อยู่ในทะเลแสงนั่น กำลังต่อสู้กับตัวตนที่มองไม่เห็นรอบๆ
แสงกระบี่ทอประกายวูบวาบ เสียงดังสะท้านน่าครั่นคร้าม ระลอกคลื่นวิชาเวทแผ่มาเป็นระลอกๆ
ข้างกายของพวกเขาเป็นเด็กผู้หญิงต่างเผ่าที่เกาะบนหลังของผู้ครองกระบี่หญิงคนนั้น ตอนนี้ผ้าคาดตาสีดำของเด็กหญิงปลดออกแล้ว นางกำลังเงยหน้า จ้องมองตรงไปยังดวงอาทิตย์ที่สามารถเผาไหม้ทุกอย่างดวงนี้
ดวงตาของนางมีประกายแสง ยิ่งเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด คล้ายว่าสามารถดูดซับแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ดวงตาทั้งสองสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ
รยางค์สองอันที่หน้าผากกำลังไหวโบก ถักทออักขระตัวแล้วตัวเล่าออกมาหลอมผสานไปในดวงตาทั้งสอง
แต่เห็นได้ชัดว่าขั้นตอนนี้จะถูกขัดจังหวะไม่ได้ ดังนั้นผู้ครองกระบี่สองคนนั้นจึงกำลังคุ้มกันให้นาง
สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้นางดูดซับแสงอาทิตย์เป็นตัวตนที่มองไม่เห็นประเภทหนึ่ง
พวกมันเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแสง มองเห็นเพียงแสงรอบๆ มันไหลวน รุนแรงแผดเผากว่าบริเวณอื่น อีกทั้งยังบิดเบี้ยวอยู่เรื่อยๆ
“นั่นคือปีศาจแสง!” บนเรือเหาะ จอมเซียนจื่อเสวียนมองภาพนี้เอ่ยขึ้นช้าเนิบ
“แสงมีสติปัญญาก็จะกลายเป็นปีศาจแสง พวกมันส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่แสงอาทิตย์เข้มข้น ตัวมันไม่มีร่องรอย ความจริงแล้วก็คือแสง จึงจัดการยาก และฆ่ายากเช่นกัน มีเพียงรอเมื่อกลางคืนมาถึง พวกมันจึงจะสลายไป”
ในยามที่คำพูดของจอมเซียนจื่อเสวียนดังออกมา ผู้ครองกระบี่ที่อยู่บนพื้นสองคนนั้นเห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้ เหมือนว่าพวกเขาประเมินความยากของภารกิจนี้ต่ำไป ตอนนี้ต่างได้รับบาดเจ็บ
สวี่ชิงมองไปทางนายกอง
นายกองก็มองมาทางสวี่ชิงเช่นกัน
“ผู้อาวุโส คนผู้นี้เคยให้การช่วยเหลือเราสองคน ศิษย์อยากลงไปช่วยขอรับ” สวี่ชิงโค้งคำนับจอมเซียนจื่อเสวียน
“ต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่” จื่อเสวียนถามเสียงอ่อนโยน
“ข้ากับศิษย์พี่ใหญ่รับมือได้ หากไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ค่อยรบกวนผู้อาวุโส” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง หลังจากจื่อเสวียนพยักหน้า ร่างของเขาเพียงไหววูบก็ออกไปจากเรือเหาะ
นายกองกระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง
“ความจริงผู้อาวุโสลงมือตอนนี้เลยก็ได้…”
จอมเซียนจื่อเสวียนถลึงตาใส่นายกอง นายกองทำคอย่น รีบเหาะออกไปทันที พุ่งดิ่งไปยังพื้นข้างล่างกับสวี่ชิง คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง
สังเกตเห็นการมาถึงของทั้งสองคน ผู้ครองกระบี่ที่ต่อสู้อยู่สองคนนั้นดวงตาฉายความซาบซึ้ง ผู้ครองกระบี่ผู้ชายที่เคยเจอกับพวกสวี่ชิงที่มณฑลรับเสด็จราชันคนนั้นพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณสหายทั้งสองมาก จำนวนของปีศาจแสงมากกว่าภารกิจคล้ายๆ กันนี้ที่พวกเราเคยเจอมาก ขอท่านทั้งสองช่วยพวกเราคุ้มกันเด็กน้อยเผ่าแสงสายัณห์คนนี้ด้วยเถิด”
สวี่ชิงพยักหน้า มาถึงอย่างรวดเร็วในพริบตา เพิ่งร่อนลงมาถึงเขาก็สัมผัสได้ว่าในทะเลแสงเบื้องหน้ามีจิตสังหารกลุ่มหนึ่งซัดโหมมาหาเขา ความเร็วน่าหวาดเกรงนัก
ประกายแสงในดวงตาสวี่ชิงฉายวาบ ลูกกลอนพิษในวังสวรรค์วังที่สามสั่นสะเทือน แผ่พิษต้องห้ามตลบอวลไปทั่วกาย
เสี้ยวขณะต่อมา เสียงร้องน่าสังเวทโหยหวนก็ดังออกมาจากทะเลแสงข้างหน้า จากนั้นก็เห็นเส้นแสงทางหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีดำมืด กำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว
ภาพนี้ทำให้ผู้ครองกระบี่ทั้งสองคนนั้นตาวาววาบ ขณะเดียวกันทางนายกองทางนั้นก็มีเรื่องที่ทำให้น่าตื่นตะลึงเช่นกัน ร่างของเขาฉายประกายแสงสีฟ้าวาบ ความเย็นเยียบลึกล้ำก็แผ่มาข้างนอกทันที
ความเย็นเยียบนี้น่ากลัวมา บริเวณรอบๆ ที่ปกคลุมเกิดเป็นพื้นที่ไร้แสง เกิดพื้นที่มืด คล้ายว่าความเย็นยะเยือกของเขาสามารถแช่แข็งแสงได้
แสงถูกแช่แข็งได้
หลังจากถูกแช่แข็งก็ไม่อาจไหลวน ไม่อาจเคลื่อนที่ เช่นนั้นก็ทำให้รอบๆ มันกลายเป็นความมืดมิดไปตามธรรมชาติ
ต้องพูดว่า ที่นี่ ความน่ากลัวของพลังเย็นยะเยือกของนายกองเหนือกว่าสวี่ชิง
การเข้าร่วมของทั้งสองคนลดภาระของผู้ครองกระบี่สองคนนั้นไปได้ ดังนั้นไม่นานนักวิกฤตอันตรายของพวกเขาก็ค่อยๆ คลี่คลาย ปีศาจแสงรอบๆ สัมผัสได้ว่าไม่จบง่ายๆ แน่ ก็ต่างแยกย้ายไป
“ขอบคุณสหายทั้งสองมาก!”
พลังบำเพ็ญของผู้ครองกระบี่สองคนนั้นก็เป็นระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์สามวังเช่นกัน ตอนนี้มองสวี่ชิงกับนายกอง แม้จะซาบซึ้งแต่ในใจก็ระแวงระวังป้องกันอย่างอดไม่ได้
นี่คือสัญชาตญาณ
ในโลกใบนี้ หากไม่มีสัญชาตญาณนี้จะต้องตายเร็วอย่างแน่นอน
คนที่เคยเจอสวี่ชิงที่มณฑลรับเสด็จราชันคนนั้นตอนนี้ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เขาเคยเห็นอัจฉริยะฟ้าประทาน เคยเห็นบุคคลโดดเด่นยอดเยี่ยม แต่สองคนที่อยู่ข้างหน้านี้เขาจำได้ว่าตอนนั้นเป็นเพียงแค่ระดับสร้างฐานเท่านั้น วันนี้กลับมีพลังในระดับที่เท่าเทียมกับตน อีกทั้งการลงมือของพวกเขาก็บ่งบอกชัดเจนกว่ากำลังรบยิ่งแข็งแกร่งกว่า
“บุญคุณที่มอบของวิเศษให้ในวันนั้นพวกเรายังไม่ได้เอ่ยขอบคุณเลย วันนี้ก็แค่สบโอกาสเท่านั้น” สวี่ชิงประสานหมัดทำความเคารพกลับ เอ่ยอย่างจริงจัง
“ใช่แล้ว อีกทั้งข้ากับศิษย์น้องก็เป็นผู้ครองกระบี่เช่นกัน เห็นย่อมต้องช่วยอยู่แล้ว” นายกองหัวเราะฮ่าๆ บอกฐานะของตนกับสวี่ชิง
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของผู้ครองกระบี่สองคนนั้นก็อึ้งตะลึง ต่างเอากระบี่อาญาสิทธิ์ออกมา
สวี่ชิงกับนายกองก็เอาออกมาเช่นกัน กระบี่อาญาสิทธิ์สี่เล่มทอประกายแสงพร่างพราย ผู้ครองกระบี่สองคนนั้นเห็นภาพนี้ ก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ความระแวงระวังลดไปมหาศาล
“ข้าน้อยเฉินถิงหาว นี่คือคนรักของข้าซุนลี่อิ๋ง ครั้งนี้ขอบคุณพวกท่านมาก พวกเราคู่ฝึกเต๋าสองคนประมาทต่อภารกิจที่รับมาครั้งนี้ไปบ้างจริงๆ”
เฉินถิงหาวทอดถอนใจ จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกออกมาชิ้นหนึ่ง ยื่นให้สวี่ชิง
“แต้มความชอบของภารกิจครั้งนี้แบ่งให้พวกท่านครึ่งหนึ่ง ขออย่าได้ปฏิเสธ นี่เป็นวิธีการผูกสัมพันธ์ของพวกเราผู้ครองกระบี่ ทุกคนล้วนเป็นสหายร่วมรบ และเป็นมิตรภาพแห่งสัตบุรุษ!”
เห็นเป็นเช่นนี้สวี่ชิงและนายกองก็ไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากรับแผ่นหยกมา ในตอนที่ทั้งสี่รอเด็กหญิงเผ่าแสงสายัณห์คนนั้นดูดซับแสงอาทิตย์ ก็พูดคุยกัน
เฉินถิงหาวคู่ฝึกเต๋าทั้งสองคนก็ได้รู้ว่าพวกสวี่ชิงจะไปรายงานตัวที่เมืองหลวงเขตปกครอง ขณะเดียวกันพวกสวี่ชิงก็เข้าใจถึงภารกิจครั้งนี้ของอีกฝ่าย
เผ่าแสงสายัณห์เป็นหนึ่งในพันธมิตรของเผ่ามนุษย์ นับเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นมิตรที่มีให้เห็นไม่มากนัก
พรสวรรค์ของพวกเขาคือสามารถใช้ดวงตาดูดซับแสงอาทิตย์ได้ จากนั้นก็ไปในพื้นที่ที่ไม่มีดวงอาทิตย์ ขายดวงตาของพวกเขาที่นั่น
ครั้งนี้เฉินถิงหาวคู่ฝึกเต๋าทั้งสองได้รับภารกิจให้คุ้มกันเด็กหญิงคนนี้มาดูดซับแสงอาทิตย์ที่นี่ เพราะที่นี่แสงอาทิตย์เข้มข้นที่สุด
เวลาไม่นาน เด็กหญิงก็ดูดซับเสร็จ หลับตาลงอีกครั้ง หลังจากผูกผ้าคาดตา ทั้งคนก็เปลี่ยนมาอ่อนแรงเล็กน้อย เฉินถิงหาวคู่ฝึกเต๋าทั้งสองแบกนางไว้บนหลัง
เพราะพวกเขาก็ต้องกลับไปยังเมืองหลวงเขตปกครองเช่นกัน ดังนั้นจากการเชื้อเชิญของสวี่ชิงและนายกอง ทั้งสองคนก็เลือกที่จะก้าวขึ้นเรือไปกับพวกเขา
บนเรือเหาะ เฉินถิงหาวคู่ฝึกเต๋าทั้งสองก็เข้าพบจอมเซียนจื่อเสวียนก่อนเลยเป็นอันดับแรก พวกเขาทั้งสองเคารพนอบน้อมยิ่งนัก
สำหรับการมาเยือนของพวกเขา จอมเซียนจื่อเสวียนก็ต้อนรับอย่างยินดี นางหวังว่าสวี่ชิงจะคบค้ากับสหายผู้ครองกระบี่ให้มากหน่อยก่อนก่อนที่จะเข้าเมืองหลวงเขตปกครอง
แต่ว่าพลังบำเพ็ญของนางสูงเกินไป หากอยู่ที่นี่ต่อเฉิงถิงหาวคู่ฝึกเต๋าทั้งสองจะกดดันมากไป หลังจากนางให้การต้อนรับแล้วก็กลับเข้าไปในห้องโดยสารเรือ ก่อนจากยังยิ้มพลางให้สวี่ชิงพาไปรับรองในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านอีกด้วย
ต่างเป็นมิตรโอบอ้อมอารี ยามคบค้าพูดคุยย่อมเบิกบานมีความสุข
ดังนั้นในยามที่เรือเหาะลำนี้มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง เฉินถิงหาวก็ตอบแทนน้ำใจ แนะนำเรื่องในเมืองหลวงเขตปกครองให้สวี่ชิงและนายกองอย่างละเอียด
“เมืองหลวงเขตปกครอง ศูนย์กลางของเขตปกครองผนึกสมุทร โดยพื้นฐานแล้วขั้วอำนาจใหญ่ทุกมณฑลล้วนตั้งสาขาย่อยที่นี่ แต่พวกเขาจะเป็นระดับขั้นต่ำที่สุดในระบบเมืองหลวงเขตปกครองทั้งระบบ นับว่าเป็นกลุ่มขั้นที่หก กลุ่มขั้นที่ห้าที่อยู่เหนือพวกเขาคือศาลาว่าการต่างๆ ของระบบปกครองเขตปกครอง
“เหนือพวกเขาจะเป็นขั้วอำนาจสามสำนักใหญ่และตระกูลหนึ่งแห่งเขตปกครองผนึกสมุทร พวกเขาคือสำนักมายาจำแลงปีศาจ ชีพจรอัสนีบรรพกาล สำนักเหมันต์โลหิตและจวนเต๋าโหวเหยา!
“ในนั้นจวนเต๋าโหวเหยาพิเศษที่สุด บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลเป็นหนึ่งในสามสิบหกโหวนภาของเผ่ามนุษย์เรา จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวได้ประทานอักษรเต๋าให้ ด้วยเหตุนี้ในการดำรงอยู่ของตระกูลพวกเขาจึงสามารถใช้คำว่าจวนเต๋ามาเรียกได้”
เสียงของเฉินถิงหาวตามการพุ่งทะยานไปของเรือเหาะก็ค่อยๆ ดังก้อง
ใกล้เมืองหลวงเขตปกครองเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว