ตอนที่ 723 น้ำใจหรือไม่ไม่สำคัญ เงินเยอะก็พอ
บุญคุณช่วยชีวิต ไม่อาจลืมเลือน เฉวียนจิ่งฟื้นขึ้นมา รักษาที่บ้านหนึ่งวัน วันที่สองก็ให้เฉวียนอันพาเขามาส่งที่ร้านเฟยฉางเต๋า
ฉินหลิวซีตรวจชีพจรให้เขา เอ่ย “ชีพจรแข็งแรงขึ้นมาก เพียงแต่ร่างกายของเจ้าสึกหรอไปไม่น้อยเพราะอัคคีเยือกแข็งก่อนหน้านี้ พลังชี่และเลือดเสียหาย ยังต้องบำรุงต่อไป ตอนถอนพิษนั้นเจ้าเองกระอักเลือดออกมาไม่น้อย นับว่าเกิดใหม่ ขอเพียงดูแลดีแล้วก็กลับมาแข็งแรงบึกบึนเช่นเดิม”
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย ต่อไปคุณชายของข้าแต่งงานมีลูกคงจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่” เฉวียนอันเอ่ยถามหนึ่งประโยค
ใบหน้าเฉวียนจิ่งแดงขึ้น ถลึงตามองเขา เอ่ยตำหนิออกเสียง “เอ่ยเหลวไหลอะไรต่อหน้าท่านเจ้าอาวาสน้อย”
เฉวียนอันหน้าเหยเก ไม่ใช่เพราะข้ากังวลว่าการสึกหรอนี้จะทำลายประสิทธิภาพที่ท่านควรมีหรอกหรือ ท่านเป็นถึงต้นกล้าเดียวของบ้านใหญ่ แบกรับความรับผิดชอบสำคัญในการสืบทอดเชื้อสายของครอบครัว
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ตราบใดที่มีกำลังเพียงพอ จะรับอนุภรรยาสิบแปดบ้านก็ไม่ใช่ปัญหา”
เฉวียนจิ่ง “!”
คิดว่าเขาเป็นม้าตัวผู้หรืออย่างไร
เขาถลึงตามองเฉวียนอันอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย เอ่ยถาม “บุญคุณที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยช่วยชีวิต เพียงเงินค่ารักษาไม่อาจเพียงพอ ข้าเฉวียนจิ่งติดหนี้บุญคุณท่านใหญ่หลวง ไม่รู้ว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยต้องการให้เฉวียนจิ่งข้าช่วยเหลือในเรื่องใดหรือไม่”
“น้ำใจหรือไม่ไม่สำคัญ เงินเพียงพอก็พอแล้ว เงินค่ารักษาเป็นการขอบคุณสองหมื่นตำลึง หกพันตำลึงให้แม่ทัพน้อยเฉวียนบริจาคให้กับครอบครัวทหารผู้สูญเสียและยากจนของกองทัพซีเป่ยในนามของข้าอารามชิงผิงและผู้ประเสริฐกู่ชิงเหนียง นอกจากนี้อีกหนึ่งหมื่นสี่พันตำลึงส่งมาที่ข้าก็พอ” ฉินหลิวซีเขียนชื่อจริงของแม่หมอกู่ยื่นไปให้
ชีวิตของเฉวียนจิ่งช่วยเอาไว้ได้ ไม่ใช่เพราะนางเพียงคนเดียว แม่หมอกู่ทำงานหนัก ดังนั้นนางจึงควรได้รับส่วนแบ่ง ดังนั้นค่ารักษานี้ควรมีส่วนของนางด้วย
หกพันตำลึงเป็นส่วนที่นางตัดสินใจทำบุญ นอกจากนี้ยังจะส่งไปให้อีกสี่พันตำลึง อย่างไรนางคนแก่ตัวคนเดียวยังต้องเลี้ยงเด็กน้อยตัวเล็ก คงไม่ง่ายเลย
เฉวียนจิ่งประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ย “ไม่จำเป็น ข้าจัดสรรเงินทำบุญอีกก้อนหนึ่งก็ได้”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “หนึ่งกินหนึ่งดื่ม[1] เป็นสิ่งที่ลัทธิเต๋าของเราเอาไว้ลดโทษจากห้าโทษสามวิบัติ ดังนั้นเราจึงต้องจัดการผลบุญนี้ด้วยตัวเราเอง เจ้าจัดการตามที่ข้าสั่งก็พอ”
เฉวียนจิ่งได้ยินก็ลุกขึ้นคารวะต่อฉินหลิวซี เอ่ย “ข้าขอเป็นตัวแทนขอบคุณความเมตตาจากท่านเจ้าอาวาสน้อยแทนครอบครัวของทหารผู้สูญเสีย”
เฉวียนอันเองก็คารวะฉินหลิวซีอยู่ด้านหลังเฉวียนจิ่งด้วยใบหน้าจริงจัง เขาต้องบอกกับคนเหล่านั้น เคารพแผ่นจารึกของคนผู้นี้ไม่เสียเปล่า นางมีความสามารถอีกทั้งยังมีคุณธรรมสูงส่ง
ฉินหลิวซีโบกมือ
เฉวียนจิ่งนึกถึงสิ่งที่หวังอวี้เชียนเอ่ย บ้านเดิมของฉินหลิวซีเดิมแซ่ฉิน ถูกเนรเทศอยู่ที่เมืองอู่ในซีเป่ย ทว่านับตั้งแต่ฉินหลิวซีรับปากรักษาให้เขา นางไม่เคยเอ่ยถึงบิดาพี่ชาย น้องชาย และปู่ที่อยู่ซีเป่ยเลย และนึกถึงว่านางเข้าสู่เต๋าตั้งแต่ยังเด็ก ความสัมพันธ์กับคนในตระกูลฉินไม่นับว่าใกล้ชิดนัก ไม่รู้ว่านางมีความคิดอย่างไรกับคนที่อยู่ในซีเป่ยเหล่านั้น
นึกถึงนิสัยของฉินหลิวซี เฉวียนจิ่งก็ไม่เซ้าซี้ เอ่ยถามออกมาตามตรง “ได้ยินอวี้เชียนบอกว่าใต้เท้าฉินพวกเขาอยู่ที่ค่ายเนรเทศเมืองอู่ แม้ซีเป่ยจะยากจนแห้งแล้ง แต่ไม่ใช่ทุกที่จะเต็มไปด้วยฝุ่นทราย ตระกูลเฉวียนของเราอยู่ที่เมืองชวน ค่อนข้างร่ำรวย ท่านว่าให้พวกเขาย้ายไปดีหรือไม่”
ฉินหลิวซียิ้ม เอ่ยถาม “นายหญิงผู้เฒ่าที่บ้านข้าขอร้องท่านให้ช่วยคนหรือ”
“มิใช่ เพียงได้ยินหวังอวี้เชียนเอ่ยถึงหนึ่งครั้ง เขาเพียงเป็นห่วงท่านผู้เฒ่าฉินเท่านั้น”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะพลางเอ่ย “น้ำใจของท่านข้ารับไว้ด้วยหัวใจแล้ว แต่ไม่ต้องหรอก ตระกูลเฉวียนมีกำลังทหารอยู่ในมือ พวกท่านเองก็ไม่ง่าย”
เฉวียนจิ่งชะงัก หันไปมองนางทันใด
ผู้คนมองตระกูลเฉวียนยิ่งใหญ่ในซีเป่ย แต่ไม่รู้ว่ามีอำนาจมาก ก็ยิ่งราวกับเหยียบย่ำบนแผ่นน้ำแข็งบาง ประชาชนในซีเป่ยรู้จักเพียงตระกูลเฉวียนไม่รู้จักฮ่องเต้ นี่ทำให้ตระกูลเฉวียนของพวกเขาราวกับเคี่ยวน้ำมันในไฟลุกโชน ไม่รู้ว่าดาบในมือของฮ่องเต้จะฟันลงมาโดยไม่คาดคิดเมื่อใด
ฉินหลิวซีกลับเอ่ยถึงสถานการณ์ของพวกเขาได้ในประโยคเดียว
เฉวียนจิ่งเองก็ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดี นางอายุเพียงสิบกว่า น้องสาวของตนอายุเท่านี้ แม้จะถือดาบจับหอก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังพูดคุยถึงเครื่องประดับการแต่งกายกระมัง
คนในลัทธิเต๋าล้วนมองปัญหาทะลุปรุโปร่งเช่นนี้หรือไม่
“ตระกูลเฉวียนปกป้องไม่กี่คนนั้นพอได้ ท่านไม่ต้องกังวลมากไปนัก”
“ยามนี้แม้พวกเขาไม่ได้สุขสบายเพียบพร้อมอย่างเมื่อก่อน กำลังลำบาก แต่ต่อให้ลำบาก มีหลังคาคลุมศีรษะมีข้าวกินมีเงินให้เก็บ ลำบากบ้างไม่เป็นไร ให้ฝ่าบาทได้เห็นว่าพวกเขาได้รับความลำบากนี้จริงๆ” ฉินหลิวซีเอ่ย “หากท่านมีเมตตา ให้คนดูแลลับๆ เล็กน้อยก็พอแล้ว แต่ข้าดูแล้วว่าอีกไม่นาน บางทีพวกเขาอาจจะได้ไปจากซีเป่ย”
เฉวียนจิ่งตกใจอีกครั้ง หมายความว่าตระกูลฉินจะพลิกคดีได้หรือ
ฉินหลิวซีไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เพียงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ตระกูลเฉวียนมีหญิงสาวในวัยที่เหมาะสมหรือไม่ ฝ่าบาทจะมีการเลือกหญิงงามแล้ว ไม่รู้ว่าตระกูลของท่านจะมีพระสนมคนโปรดเกิดขึ้นหรือไม่”
เฉวียนจิ่งตกใจหน้าถอดสี “ท่านเอ่ยความจริงหรือ”
ตระกูลอื่นเข้าร่วมการคัดเลือกได้ แต่ตระกูลของเขานั้นไม่ต้องการแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ข่าวแม้เพียงเล็กน้อย เช่นนั้นท่านปู่เล่า
เฉวียนจิ่งนั่งไม่อยู่ ออกมาจากเฟยฉางเต๋า เปิดเส้นทางข่าวตระกูลเฉวียนทันที ส่งม้าเร็วนำข่าวกลับไป
“เตรียมตัวสักหน่อย หลังเดือนห้า พวกเรากลับซีเป่ย”
เฉวียนอันขมวดคิ้ว เอ่ย “นายน้อย ร่างกายของท่านเพิ่งถอนพิษ เดินทางไกลไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว รักษาตัวอีกสักนิดดีหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่บาดแผลคมดาบ ไม่เป็นไรมาก ท่านเจ้าอาวาสน้อยบอกแล้วเพียงต้องพักฟื้น อยู่ที่ใดก็พักฟื้นได้” เฉวียนจิ่งนึกถึงท่านปู่ที่แม้จะแข็งแกร่งแต่ก็อายุมากแล้ว อีกทั้งลงสนามรบมานานหลายปีมีบาดแผลบอบช้ำภายในไม่น้อย ไม่รู้ว่าที่ฉินหลิวซีจะมีผลหลิงกั่วขายเพื่อให้เขานำกลับไปหรือไม่ ต่อให้ไม่มี เขาก็อยากซื้อยาชั้นดีคุณภาพหายากเหล่านั้นจากท่านหวงซื่อนำกลับไปสักหน่อย
ได้ยินว่านางยังมีโสมพันปี
เฉวียนอันเอ่ยเตือนประโยคสองประโยค
เฉวียนจิ่งส่ายศีรษะ “หากราชโองการคัดเลือกหญิงงามมาถึงซีเป่ย ตระกูลของเราไม่ยินยอมเข้าร่วมการคัดเลือก แน่นอนว่าต้องยอมจ่ายอะไรบ้าง ท่านปู่อายุมากแล้ว ถอดชุดเกราะกลับเมืองหลวงสร้างความมั่นใจให้คนเหล่านั้นจะดีกว่า”
ยามเขาเอ่ยเรื่องนี้ ใบหน้ามีแววเสียดสี
นี่เป็นความน่าเศร้าของขุนพล ยามศึกต้องการพวกเขา ยามได้อำนาจยิ่งใหญ่แล้ว กลับหวาดกลัวพวกเขา
เฉวียนอันได้ยินวาจานี้ตกตะลึงยิ่งกว่าได้ยินว่ากลับเมืองเสียอีก “ถอดชุดเกราะกลับเมืองหลวงหรือขอรับ ไม่ต้องถึงขนาดนี้กระมัง”
“ก็ยังต้องเอ่ยคำนั้น ฝ่าบาทอายุมาก ความหวาดระแวงนับวันยิ่งมากขึ้น ตระกูลเฉวียนของเราอยากกุมกำลังทหารต่อไป ต้องมีคนอยู่ในเมืองหลวง ความจริงเรื่องนี้ท่านปู่เองก็เอ่ยเมื่อปีที่แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นข้าเป็นคนใกล้ตาย ไม่อาจเอ่ยได้ แต่ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว หากมีการคัดเลือกหญิงงาม ท่านปู่คงต้องกลับเมืองหลวงอย่างแน่นอน”
เฉวียนอันกังวลใจ เอ่ย “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมการขอรับ”
และเมื่อฉินหลิวซีได้ยินว่าเฉวียนจิ่งต้องการสมุนไพรล้ำค่า แนะนำท่านหวงซื่อให้เขาอย่างชื่นมื่นทันที เมื่อได้รับเงินค่ารักษาแล้ว นางก็รีบส่งไปให้แม่หมอกู่
เป็นเช่นนั้น ดังคำที่ฉินหลิวซีบอก หลังวันฉลองวันพระราชสมภพของฝ่าบาท เมื่อถึงต้นเดือนหก ข่าวการคัดเลือกหญิงงามก็มาถึงจวนต่างๆ กระทั่งมีทูตสวรรค์ของวังหลวงไปคัดเลือกด้วยตนเอง ทันใดนั้นใต้หล้าสั่นสะเทือน มีรถม้ามุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวงมากมาย และฮูหยิน สตรีผู้มีพรสวรรค์มุ่งหน้าไปวัดวาอารามก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย อย่างไรมีบางคนไม่อยากเข้าวังก็คงต้องหมั้นหมายแล้ว
[1]หนึ่งกินหนึ่งดื่ม ต่างคนต่างอยู่ ใช้ชีวิตไม่เกี่ยวข้องกัน