ลู่เซิ่งไม่เคยเข้าใจว่าระดับผู้ปกครองอนธการแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว
แค่สนามพลังทางธรรมชาติที่รั่วไหลออกมาตอนใช้ร่างจริง ก็ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้ตกสู่สภาพหยุดนิ่งได้แล้ว
เวลานี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนดวงดาว รวมถึงตัวดาวเคราะห์เอง มีความรู้สึกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือความหวาดกลัว
เวลาของที่นี่หยุดนิ่งเพราะเขาโดยสิ้นเชิง เป็นเพราะร่างหลักของเขากลืนกินพลังงานรอบข้างตลอดเวลา
การกลืนกินนี้เหมือนจะทำให้ยืดเวลาให้ยาวนานขึ้นได้อย่างไร้สิ้นสุด เวลาของที่นี่จึงใกล้เคียงกับการหยุดนิ่ง
ลู่เซิ่งเดินไปถึงด้านหน้าลำแสงสีทองขาวที่ชะงักอยู่กลางท้องฟ้า เอื้อมมือไปแตะเบาๆ ลำแสงก็พลันแตกสลายกลายเป็นจุดแสงกระจัดกระจาย
“นี่ออกจะบังคับกันเกินไปกระมัง” เขาสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรอบข้าง เริ่มโดนลูกหลงจากร่างหลักของตนเอง เหมือนคิดจะพุ่งเข้ามายังจุดที่ตัวเองอยู่
ราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
นี่ไม่ใช่เจตนาของเขา แสดงให้เห็นว่าเขาควบคุมพลังพลังที่แข็งแกร่งเกินไปนี้ได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ลู่เซิ่งนึกฉุกใจ รูปลักษณ์ประหลาดของร่างหลักกลับเป็นปกติด้วยความเร็วสูง ไม่นานก็กลับมาเป็นร่างมนุษย์ของลู่เซิ่งเช่นเดิม
พรึ่บ
ทุกสิ่งเคลื่อนไหวเหมือนเดิม
ก้อนหินกลางค่ายกลระเบิดออกอย่างฉับพลัน
หลี่ซุ่นซีกับทงเซิงยังคงแผดเสียง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่เหลือเหตุผลให้แผดเสียงแล้ว เสียงจึงเบาลง แทนที่ด้วยความตื่นเต้นแทน
“นายท่าน!”
“นายท่านลู่!”
ทงเซิงเห็นลู่เซิ่งเดินออกมาจากค่ายกล น้ำตาพลันคลอเบ้าอย่างควบคุมไม่ได้
ในช่วงเวลานี้ พวกเขาผจญความทรมานมามากมาย พวกเขาต้องเปลืองสมองทุกวินาทีเพื่อหลบหนีการไล่ล่า ทั้งต้องหลบหนีและค้นหาวีธีที่ทำให้ลู่เซิ่งกลับมาได้ไปด้วย
แม้ในอดีตพวกเขาจะเคยพบเจอกับวิบากรรมแบบนี้มาก่อน แต่คู่ต่อสู้ในเวลานั้นอยู่คนละระดับกับศัตรูที่น่า สะพรึงในตอนนี้โดยสิ้นเชิง
ถึงแม้ตอนนี้ทั้งสี่อยากจะเข้าไปรวมตัวกับลู่เซิ่ง แต่สภาพแวดล้อมกับเสียงรบกวนรอบๆ ได้เตือนพวกเขาว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
อ๊าก!
คนของพันธมิตรเจ็ดวิถีจำนวนมากบนพื้นดินพากันร้องโหยหวน ร่างกายของพวกเขาปรากฏรอยช้ำสีขาวซีดของศพขึ้นมากมายเมื่ออยู่บนพรมเนื้อสีแดงเข้ม
รากสีแดงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากพรมเนื้อ แทงเข้าไปในตัวพวกเขา แล้วดูดซับสารอาหารทั้งหมดบนร่าง
เสียงร้องโหยหวนดำเนินอยู่สองวินาที ก่อนจะเงียบสงัดลงโดยดุษณี
คนจากพันธมิตรเจ็ดวิถีที่ยังตะโกนโหวกเหวกทั้งหมดถูกทำให้กลายเป็นเสาไม้ตั้งตระหง่าน รากไม้จากใต้เท้าพุ่งแทงทะลุร่าง ชีวิตและวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่าง โดนดูดซับเข้าไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของลู่เซิ่งทั้งสิ้น
เวลานี้ลู่เซิ่งไม่ใส่ใจการเปลี่ยนแปลงบนพื้น แต่เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า
ทุกสิ่งทุกอย่างกลางท้องฟ้าถูกสีแดงเข้มเข้ายึดครอง พันธมิตรเจ็ดวิถีกับหัวหน้าเผ่าวิทูรธารต่างหยุดมือแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรเจ็ดวิถีหรือเผ่าวิทูรธาร เวลานี้ต่างตัวสั่นสะท้าน จับจ้องลู่เซิ่งที่ยืนอยู่บนพื้นด้วยความแตกตื่นหวาดกลัว
ในพริบตาที่อีกฝ่ายปรากฏตัวเมื่อครู่ การหยุดนิ่งอันน่าสะพรึงและไร้เทียมทาน ไม่เพียงทำให้คนของพันธมิตรหวาดกลัวเท่านั้น แม้แต่คนเผ่าวิทูรธารก็โดนสะกดนิ่งเช่นกัน
“เมื่อทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์” ลู่เซิ่งเหลือบตามองพวกเจ้าอารามทองอร่ามที่อยู่บนฟ้า สองคนนี้กล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนที่เข้มแข็งที่สุดของทั้งพันธมิตรเจ็ดวิถี
“หนี!” เจ้าอารามทองอร่ามเห็นท่าไม่ดี หมุนตัวกลายเป็นแสงสีทอง หายไปทันที
ราชากู่หลันที่อยู่อีกด้านรู้ว่าไม่รอดแล้ว เขาไม่มีความสามารถหลบหนีที่ลี้ลับแข็งแกร่ง สิ่งที่ทำได้เพียงหนึ่งเดียวคือทุ่มเทชีวิตสู้!
“สังหาร!”
เขายกหอกยาวขึ้น พุ่งลงจากฟ้า เมฆดำลุกไหม้กลุ่มใหญ่ห่อหุ้มทั้งร่าง
ลู่เซิ่งเคลื่อนสายตาไปจับจ้องบนร่างของเขา
พลังยิ่งใหญ่ที่บิดเบี้ยวจนยากเกินกว่าจะจินตนาการสายหนึ่งหยุดราชากู่หลันที่พุ่งลงมาไว้กลางทาง
การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาหยุดชะงักลงอย่างสมบูรณ์ ความเร็วในการเหาะเหินกลายเป็นหยุดนิ่งในพริบตา
จากนั้น…
เปรี้ยง!
หมอกเลือดกลุ่มหนึ่งระเบิดกลางท้องฟ้าอีกครั้ง
ถัดจากนั้นท้องฟ้าไกลออกไปก็กะพริบแสงสีทองแวบหนึ่ง หมอกเลือดกลุ่มที่สองระเบิดตามมา
นั่นคือเจ้าอารามทองอร่ามที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้
“ความแค้น...จำเป็นต้องชำระ…” ลู่เซิ่งมองทัพพันธมิตรกลางท้องฟ้าที่กำลังปั่นป่วน
เขากางแขนออก
สีแดงเข้มบนท้องฟ้าเริ่มบิดเบี้ยว
ไม่ใช่เมฆ และไม่ใช่วัตถุใด หากแต่เป็นแสงสีที่กำลังบิดเบี้ยวราวกับโดนพัดให้หมุนวน
เวลานี้กองทัพพันธมิตรหลายหมื่นรอดอยู่เพียงไม่กี่คน แต่คนส่วนนี้กลับมายังที่เดิมด้วยแรงดึงดูดอันยิ่งใหญ่สายนี้
โผละๆๆๆ…
ท่ามกลางเสียงระเบิดนับไม่ถ้วน
ฝนเลือดตกลงมาจากท้องฟ้า
ทุกคนตัวระเบิดออกเหมือนกับลูกโป่งถูกเจาะลม
หยาดฝนสีแดงก่ำกระทบใส่ใบหน้าทุกคน เยวี่ยกวงมองท้องฟ้าอย่างมึนงง ส่วนบันไซลากนางขึ้นมาจากซากบ้านเห็ด
ทั้งสองมองท้องฟ้าอย่างสั่นสะท้าน บันไซไม่ใช่ไม่เคยเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก่อน แต่เหตุการณ์แบบนี้กระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไปจริงๆ
“กลับมาแล้ว…นายท่านกลับมาแล้ว ทุกอย่างควรจบสิ้นสักที” เขาพึมพำขณะมองฝนเลือดบนท้องฟ้า ปล่อยให้เลือดตกใส่ร่าง ท่าทางผ่อนคลายอย่างอธิบายไม่ถูก
“เขา…คือนายท่านของพวกเจ้าหรือ?!” เยวี่ยกวงหันไปมองบันไซด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ตอนนี้นางยังมึนงงสับสน ก่อนหน้านี้เกือบจบสิ้นแล้ว อยู่ๆ เหตุการณ์ก็กลับตาลปัตร ทำให้ประสบการณ์อันตื้นเขินของนางปรับตัวไม่ทัน
หลี่ซุ่นซียื่นมือไปรับฝนที่ตกลงมา
“โหดเหี้ยมเกินไปหรือไม่…ความจริงกองทัพพันธมิตรพวกนี้ไม่ได้ลงมือทั้งหมด”
ทงเซิงตบไหล่ของเขา
“อาจจะโหดเหี้ยมจริงๆ แต่ประธานสมาคมไม่มีเวลาว่างมาแยกแยะหรอก นี่คือสงคราม”
หลี่ซุ่นซีนิ่งไป
ตูม!
ในเวลานี้เอง ท้องฟ้าเกิดอาเพศอีกครั้ง
แสงสีแดงกลุ่มใหม่ ปรากฏกลางท้องฟ้าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะรวมตัวเป็นวังวนยักษ์ใต้ชั้นเมฆ
เมฆสีแดงพร่ามัวกลุ่มหนึ่งไหลทะลักออกมาจากใจกลางวังวน
ครืน!
เมฆแดงตกลงมาอยางสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกใส่พื้นที่อยู่ห่างจากลู่เซิ่งไม่ไกล
เมฆแดงสลายไป เผยให้เห็นเงาร่างประหลาดสูงชะลูดสายหนึ่งด้านใน เป็นบุรุษน่ากลัวที่แก้มซีกข้างหนึ่งประกอบขึ้นจากสายฟ้าคนหนึ่ง
เขาเพิ่งจะพุ่งลงพื้น ด้านหลังก็ค่อยๆ ปรากฏวงแสงทรงพัดกลุ่มหนึ่งอย่างช้าๆ บนวงแสงปรากฏสัญลักษณ์ลี้ลับหลายสาย
“สำนักวิญญาณไตรอริยะมาถึงแล้ว สำนักแปลงวายุเล่า” บุรุษกวาดตามองความเสียหายรอบๆ ไม่กล่าววาจาไร้สาระ หากแต่เมื่อเหลียวมองซ้ายขวา หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา
“ในเมื่อรองเจ้าสำนักลัวชิวมาถึงก่อนแล้ว พวกเราย่อมไม่ผิดนัด” ท้องฟ้าอีกแห่งปรากฏการบิดเบี้ยวอย่างฉับพลัน เงาคนสายหนึ่งก้าวออกมาจากในความบิดเบี้ยวทรงกลม
บุรุษประหลาดผู้ที่มีคิ้วสีดำยาวกว่าหนึ่งหมี่ในเสื้อคลุมสีน้ำเงินกล่าวเสียงกังวาน
บุรุษคิ้วยาวก้าวออกมาก้าวหนึ่ง พลันหายวับไป แล้วไปโผล่ขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง
“ตามกำหนดเดิม” บุรุษมองพรมเนื้อบนพื้น ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ยื่นมือตะปบออก พลังยิ่งใหญ่ทั่วร่างพลันกระจายออกมาจากฝ่ามือ
การกัดกร่อนของดาวเคราะห์ค่อยๆ ถูกพลังยิ่งใหญ่อีกสายสะกดไว้ แล้วหยุดลงอย่างเชื่องช้า
“มายาพิศวง?!” เวลานี้เยวี่ยกวง หัวหน้าเผ่าผมสีม่วง รวมถึงคนในเผ่าที่รอดชีวิตเดินเกาะกลุ่มกันออกมา พอเห็นภาพนี้ ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไป
ทุกคนที่เดิมทีโล่งใจ ตอนนี้สายตาพาจ้องมองทั้งสองคนที่ปรากฏตัวออกมาใหม่
ลัวชิวกับรองเจ้าสำนักแปลงวายุ ลู่เซิ่งถูกทั้งสองขนาบไว้ทั้งหน้าหลัง
ลัวชิวสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนใบหน้าของรองเจ้าสำนักแปลงวายุปรากฏแววยิ้มเยาะรางๆ
ฟ้าว!
วงกลมที่หมุนวนด้านหลังมายาพิศวงทั้งสองอย่างช้าๆ ปลดปล่อยแสงออกมาเลือนราง นั่นคือฉากแสงโปร่งใสที่ไม่มีสีสัน แยกกันส่องสว่างท้องฟ้าสองผืนด้านหลังคนทั้งสอง
“พวกท่าน...” สายตาของลู่เซิ่งเยือกเย็นลง “มารับข้าหรือ”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” ลัวชิวค่อยๆ ชักกระบี่เรียวยาวที่ประกอบจากสายฟ้าเล่มหนึ่งออกมาจากด้านหลัง
“พวกเราหาตัวเจ้ามานานมากแล้ว…” สองมือของรองเจ้าสำนักแปลงวายุปรากฏถุงมือสีดำสนิทคู่หนึ่ง
“นายท่าน! พวกมันจะฆ่าท่าน! สามสำนักหักหลังพวกเราเพื่อหาสมบัติลับของท่าน! ชีวิตหลายพันล้านชีวิตบนดาวเงาพริบตา…ทุกคน...ทุกๆ คน...!” บันไซพูดไปมาก็เริ่มสะอื้น
“…” ลู่เซิ่งงุนงง สายตาเริ่มจับบนร่างลัวชิวที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“อย่างนี้นี่เอง…” เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “จะว่าไป…ข้าคอยข่มกลั้นและควบคุมตัวเองมาโดยตลอด ไม่พยายามหาเรื่อง ไม่สร้างความลำบากให้คนอื่น แต่ต่อให้เป็นแบบนี้แล้วเหตุใด…พวกท่านยังต้องบีบคั้นข้าอีก...”
“เจ้าอยากสื่ออะไร การขัดขืนสุดท้ายก่อนตายหรือ เจ้าในตอนนี้ไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว ไม่ว่าพวกเราจะเป็นสำนักนทีครามหรือไม่ สถานการณ์ได้ถูกกำหนดแล้ว ไม่อาจพลิกฟื้นได้อีก” ลัวชิวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้าก็แค่…” ด้านหลังลู่เซิ่งค่อยๆ ปรากฏวงกลมของมายาพิศวงเช่นกัน “ไม่คิดอดกลั้นอีกต่อไปแล้ว…”
“จงเชื่อฟังธาตุแท้ของข้า จงเชื่อฟังความปรารถนาของข้า ไม่ว่าท้องฟ้า ผืนดิน มหาสมุทร หรือห้วงเหว ไม่ว่าจะรัก โลภ โกรธ หลง หวาดกลัว สงสาร ดี เลว”
ที่ว่างด้านหลังลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วสูง เดิมทีควรเป็นจานกลมมายาพิศวง แต่สิ่งที่ลอยอยู่ในตอนนี้ กลับเป็นร่างมนุษย์ยักษ์โปร่งแสง
สายลมนับไม่ถ้วนเริ่มวนเวียน อากาศ พลังงาน ก้อนกรวด ทุกอย่างที่ไหลเวียนได้ ล้วนเริ่มหมุนรอบร่างมนุษย์ด้านหลังลู่เซิ่ง
มนุษย์จับตัวเป็นรูปเป็นร่างด้วยความเร็วสูง เพียงไม่กี่วินาทีก็เผยร่างเดิมออกมา
นั่นก็คือความสามารถของอวัยวะที่หกที่ลู่เซิ่งสร้างขึ้นในโลกเทพนอกรีต เทพปีศาจแห่งสายลม
ลู่เซิ่งยกมือขึ้น
“สายลม…”
“รอเดี๋ยว!”
“จงฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ!”
ลู่เซิ่งพลันกำหมัด
เสียงที่ดังอย่างกะทันหันเพิ่งจะลอยมา แต่ก็ไม่ทันกาลแล้ว
ลัวชิวกับรองเจ้าสำนักแปลงวายุรวมพลังยิ่งใหญ่โจมตีใส่ลู่เซิ่ง แต่ความต่างชั้นระหว่างมายาพิศวงด้วยกันนั้นมากจนยากจินตนาการ
ถ้าหากพวกเขาตั้งมั่นกับการหลบหนี อาจพอมีโอกาสรอด อย่างไรสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของมายาพิศวงก็คือความสามารถเอาตัวรอด ทว่าตอนนี้พวกเขากลับพุ่งเข้าไปคิดจะรุมสังหารลู่เซิ่ง
ครืน!
สายฟ้าวาดผ่านผิวดาวเคราะห์ ส่องสว่างทุกอย่างเป็นสีขาวซีด
ฉูด…
เสียงเลือดกระดูดดังมาจากด้านหน้าลู่เซิ่ง
รองเจ้าสำนักแปลงวายุที่อยู่ด้านหลังเขาก็เช่นเดียวกัน รูน่ากลัวอันตรายถึงชีวิตจำนวนทั้งหมดสิบสามรูบนร่าง เลือดไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ใช่แค่เลือด ขณะเดียวกันยังเป็นชีวิตของพวกเขาด้วย
ครืน!
สายฟ้าสีน้ำเงินวาดผ่านอีกครั้ง สาดส่องหน้าในตอนนี้ของลู่เซิ่ง
สีหน้าเขาเฉยเมย สองมือของปีศาจแห่งสายลมด้านหลังถือดาบไว้เล่มละข้าง หยดเลือดสองสีค่อยๆ หยดลงจากคมดาบ
……………………………………….