ตอนที่ 453 เจิ้นหนานอ๋องคนใหม่
เด็กสาวในบานกระจกโต๊ะเครื่องแป้งมีสีหน้าเฉยเมย น้ำเสียงสงบนิ่ง “กระจายข่าวเรื่องพระเมตตาที่ฝ่าบาทช่วยล้างมลทินความอยุติธรรมเพื่อจวนเจิ้นหนานอ๋องออกไป”
ในเมื่อจักรพรรดิหย่งอันไม่ทำ เช่นนั้นนางก็จะใช้ความเห็นของประชาชนบีบให้เขาทำ ให้เขาได้ลิ้มรสชาติของการไล่เป็ดให้ขึ้นคอน[1]
โค่วเอ๋อร์รับคำและครุ่นคิด พลางเอ่ยว่า “คุณหนู ข่าวลือเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่จะทราบเอานะเจ้าคะ…”
“ไม่เป็นไร ไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ”
โค่วเอ๋อร์ไม่กล่าวอันใดให้มากความอีก นางหวีเรือนไหมสีนิลให้ลั่วเซิงแผ่วเบา
มีข่าวลือหนึ่งแพร่ไปตามถนนสายหลักและตรอกเล็กซอยน้อยในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ฝ่าบาททรงสงสัยแต่แรกแล้วว่า จวนเจิ้นหนานอ๋องถูกจวนผิงหนานอ๋องใส่ไคล้ ดังนั้นหลังจากบุตรชายคนเล็กของ เจิ้นหนานอ๋องถูกหาตัวพบจึงไม่ได้ประหารชีวิต แต่ใช้การกักบริเวณมาคุ้มครองเอาไว้แทน ตอนนี้จวนผิงหนานอ๋องล้มแล้ว ในที่สุดจวนเจิ้นหนานอ๋องก็ล้างมลทินจากการถูกใส่ร้ายได้ มีชนรุ่นหลังสืบทอด…
ข่าวลอยไปเข้าหูแม่ทัพใหญ่ลั่ว แม่ทัพใหญ่ลั่วนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน
“ข่าวลือแพร่ไปเร็วมาก ท่านพ่อบุญธรรมโปรดวางใจ ลูกกำลังไล่สืบแหล่งที่มาขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วได้สติคืนมา มองอวิ๋นต้งอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วตบบ่าเขา พลางเอ่ยว่า “สืบเถอะ ทว่าข่าวลือนั้นเหมือนจอกแหนที่ไร้ราก ไหนเลยจะตรวจสอบแหล่งที่มาได้ง่ายขนาดนั้น ทำตามกำลังของตนก็พอแล้ว”
อวิ๋นต้งรู้สึกว่าวาจานี้ของพ่อบุญธรรมมีความหมายลึกซึ้งอยู่บ้างจึงไม่อาจเข้าใจชั่วคราว
มือที่วางบนไหล่เขาออกแรงเพิ่ม “ไปเถอะ เจ้าเป็นคนที่พ่อบุญธรรมไว้วางใจมากที่สุด”
“ลูกขอตัวขอรับ” อวิ๋นต้งประสานหมัดถอยออกจากห้องหนังสือไป เดินไปเดินมา พลันชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปมองประตูห้องหนังสือที่ปิดสนิทอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
ความหมายของพ่อบุญธรรม…คือให้เขาไม่จำเป็นต้องสืบสวนเชิงลึกหรือ
นี่มันเพราะเหตุใดกัน
ความประหลาดใจแวบผ่านไป อวิ๋นต้งเดินตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ไม่ว่าจะหมายความว่าอะไร กล่าวโดยสรุป เขาปฏิบัติตามคำกำชับของพ่อบุญธรรมก็ได้แล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วยืนครุ่นคิดอยู่ข้างหน้าต่างสักพักหนึ่ง ก่อนจะผลักประตูออกไป
“ฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่ลั่วขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันเพิ่งกลับจากตำหนักเซียวกุ้ยเฟยมาถึงตำหนักหย่างซินก็ได้ยินรายงานการขอเข้าเฝ้าของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
“เรียกตัวเข้ามา”
ไม่นานนักแม่ทัพใหญ่ลั่วก็เข้ามา ค้อมกายถวายความเคารพ “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องอะไร” เมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางใกล้ชิด จักรพรรดิหย่งอันก็ถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“ด้านนอกล้วนลือเรื่องจวนเจิ้นหนานอ๋องล้างมลทินและกู้คืนชื่อเสียงได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ…” แม่ทัพใหญ่ลั่วเล่าข่าวลือที่ได้ยินมา ก็เห็นจักรพรรดิหย่งอันมีสีพระพักตร์บึ้งตึงอย่างชัดเจน
ครู่หนึ่ง จักรพรรดิหย่งอันถึงได้ตรัสถามเรียบๆ ว่า “ข่าวลือมาได้อย่างไร”
“กระหม่อมกำลังตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันขมวดพระขนง ไม่คาดหวังว่าจะสามารถสืบพบคนที่ปล่อยข่าวลือเป็นคนแรกได้
ข่าวลือก็เป็นเช่นนี้ เมื่อหนึ่งคนบอกเล่าให้กับสิบคน สิบคนนั้นก็ไปบอกต่ออีกร้อย[2] คิดจะย้อนรอยแหล่งที่มานั้นยากเกินไปแล้ว และเมื่อแพร่ออกไปแล้วก็เหมือนกับเปลวไฟลามทุ่ง ทำให้ผู้คนปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด
เมื่อส่งแม่ทัพใหญ่ลั่วออกไปแล้ว จักรพรรดิหย่งอันก็เดินกลับไปกลับมา พิจารณาเรื่องจวนเจิ้นหนานอ๋อง
โจวซานยืนอยู่อีกด้าน ไม่กล้ารบกวน
“โจวซาน เจ้าว่าเพราะเหตุใดจึงมีข่าวลือเช่นนี้ขึ้นมา” จักรพรรดิหย่งอันตรัสถามขึ้นกะทันหัน
โจวซานก้มศีรษะเอ่ย “กระหม่อมรู้สึกว่าประชาชนโง่งมมาก ได้ยินเรื่องใดมา ก็พยายามเอ่ยสำทับจนเกินจริง อาศัยความคิดเห็นส่วนตัวของตนเองในการตัดสินใจเป็นที่สุด เมื่อจวนผิงหนานอ๋องถูกจัดการก็นึกถึงเรื่องพลิกฟื้นจวนเจิ้นหนานอ๋องขึ้นมา…”
จักรพรรดิหย่งอันแววพระเนตรไหววูบเล็กน้อย มองดูแล้วลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในความผิดของจวนผิงหนานอ๋องก็คือ ใส่ร้ายจวนเจิ้นหนานอ๋อง ตอนนี้ข่าวคราวการฟื้นคืนจวนเจิ้นหนานอ๋องแพร่ออกไปจนวุ่นวาย ประชาราษฎร์เชื่อสนิทใจจึงไม่ใช่ว่าแสร้งเป็นไม่รู้ก็สามารถหลอกผ่านไปได้อีกแล้ว
จักรพรรดิหย่งอันพิโรธเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พิโรธจนเสียสติ
การอยู่ในตำแหน่งนี้หลายปี เขาเข้าใจนานแล้วว่า ไม่ใช่ว่านั่งตำแหน่งนี้แล้วจะสามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้ หลายๆ เรื่องล้วนต้องรักษาสมดุล ต้องประนีประนอม
แน่นอนว่า ก่อนที่จะรักษาความสมดุล จะต้องไม่เป็นอันตรายต่ออำนาจของฮ่องเต้
เด็กคนหนึ่งที่เหลือเพียงองครักษ์หนึ่งนาย ทั้งยังถูกเลี้ยงไว้ใต้จมูกตนเอง จะยังสามารถสร้างคลื่นลมอันใดได้อีกหรือ
“เรียกตัวเจ้ากรมทั้งหก และเก้าเสนาบดีเข้าวังมาประชุม”
ประชุมกันไปสองวัน พระราชโองการฟื้นคืนจวนเจิ้นหนานอ๋องก็ประกาศลงมา แต่งตั้งบุตรกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋องเป็นเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่ ส่งคืนทรัพย์สินที่เข้าคลังหลวงในปีนั้นตามสมุดบัญชี
สิ่งที่น่าแคลงใจที่สุดก็คือ จวนที่พระราชทานให้คือจวนผิงหนานอ๋องเดิมที่เพิ่งจะจัดการให้โล่งว่าง
วันที่จวนผิงหนานอ๋องเดิมเริ่มต้นปรับปรุง ด้านนอกก็ล้อมไปด้วยผู้คนที่มามุงดู ลั่วเซิงยืนอยู่ในนั้น มองป้ายทองซึ่งแขวนอยู่เหนือประตูที่เขียนเอาไว้ว่า “จวนผิงหนานอ๋อง” ถูกปลดลงมา แล้วเปลี่ยนเป็นป้ายใหม่เอี่ยม
นับตั้งแต่นี้ไป จวนกระเบื้องเคลือบสีเขียว บานประตูสีแดงแห่งนี้ก็คือจวนเจิ้นหนานอ๋อง
รอถึงตอนที่ดอกล่าเหมย[3] ผลิบานในเดือนสิบเอ็ด จวนอ๋องก็ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย เจิ้นหนานอ๋องคนใหม่เลือกวันที่เป็นมงคลในการเข้าพักอาศัย
พิธีการแสดงความยินดีในการโยกย้ายบ้านใหม่ของเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่ ขุนนางชนชั้นสูงล้วนมีการแสดงท่าที บ้างก็มาเยือนด้วยตนเอง บ้างก็ส่งของขวัญอวยพรไปให้
ตอนที่แม่ทัพใหญ่ลั่วเตรียมพาลั่วเฉินไปร่วมงานเลี้ยงก็ถูกลั่วเซิงขวางเอาไว้
“เซิงเอ๋อร์มีเรื่องอันใดหรือ”
ลั่วเซิงเอ่ยอย่างหนักแน่น “ท่านพ่อ ลูกก็อยากไปเช่นกันเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วอึ้ง “ไป…จวนเจิ้นหนานอ๋องหรือ”
ลั่วเซิงพยักหน้า กวาดตามองลั่วเฉินแวบหนึ่ง “เรื่องสนุกเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงพาไปแค่น้องชายล่ะเจ้าคะ”
ลั่วเฉินมุมปากกระตุก
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มแห้งๆ “เจิ้นหนานอ๋องอายุยังน้อย หากเซิงเอ๋อร์ไปแล้ว เกรงว่าจวนอ๋องจะไม่มีสมาชิกในครอบครัวซึ่งเป็นสตรีที่เหมาะสมมาต้อนรับ”
“ได้เจอเจิ้นหนานอ๋องก็พอแล้วเจ้าค่ะ ลูกได้ยินมาว่า เจิ้นหนานอ๋องอายุเท่ากับน้องชาย จึงอยากรู้มากว่าเขาหน้าตาเป็นเช่นไร ถึงกับได้เป็นท่านอ๋องตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้”
ลั่วเฉินเอ่ยอย่างเหลืออด “นี่เกี่ยวข้องอันใดกับอายุด้วยหรือ”
คิดว่าเป็นการสอบขุนนางหรือ
เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วนิ่งเงียบ ลั่วเซิงก็เอ่ยเสียงอ่อน “ท่านพ่อ…”
“ก็ได้” แม่ทัพใหญ่ลั่วพลั้งปากตอบรับ
ลั่วเฉินกลอกตามองบนเงียบๆ
ระหว่างทางไป ลั่วเซิงนั่งรถม้า บิดาและบุตรชายสองคนขี่ม้า
แม่ทัพใหญ่ลั่วนั่งอยู่บนหลังม้า ทอดสายตามองไกลไปยังจวนเจิ้นหนานอ๋องที่เปลี่ยนโฉมใหม่ด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
ลั่วเซิงเลิกมุมผ้าม่านขึ้น ก็เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของแม่ทัพใหญ่ลั่วทั้งหมดอยู่ในสายตาจึงหลุบตายิ้มๆ
นางพอจะเข้าใจสภาพจิตใจในตอนนี้ของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วนำทหารไปตรวจค้นและยึดทรัพย์จวนเจิ้นหนานอ๋อง ทั้งยังตรวจค้นและยึดทรัพย์จวนผิงหนานอ๋อง จวนผิงหนานอ๋องในเมืองหลวงเปลี่ยนเป็นจวนเจิ้นหนานอ๋อง เขาก็นำบุตรชายและบุตรสาวคู่หนึ่งมาแสดงความยินดีอีก
และบุตรชายข้างกายเขาต่างหากที่เป็นเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่ที่แท้จริง…
หากว่าความรู้สึกไม่ซับซ้อนก็แปลกแล้ว
ลั่วเซิงเองก็มีความรู้สึกซับซ้อนเช่นกัน
หนุนคลื่นลมสูงให้จวนเจิ้นหนานอ๋องฟื้นชื่อเสียงที่พึงมี นับว่าเป็นการก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว แต่ตอนนี้ผู้ที่ครอบครองฐานะและนามของเจิ้นหนานอ๋องไม่ใช่เป่าเอ๋อร์ การให้เป่าเอ๋อร์ได้กลับคืนสู่ฐานะที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย
ลั่วเซิงจ้องเด็กหนุ่มน่ามองที่ขี่ม้าเดินอยู่เนิ่นนาน
ลั่วเฉินจ้องไปข้างหน้าโดยไม่วอกแวก แต่ทว่าสายตานั้นยังคงหยุดอยู่ที่ร่างของเขา
เด็กหนุ่มอดขมวดคิ้วไม่ได้
ลั่วเซิงจ้องเขาตลอดทำไมกัน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องแท้ๆ การจ้องมองเขาไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน
หรือว่าจะผมยุ่ง หรือล้างหน้าไม่สะอาด
ลั่วเฉินพยายามข่มความหุนหันพลันแล่นที่จะลูบเรือนผมและใบหน้าเอาไว้ พลางหันไปถามลั่วเซิงหน้าบึ้งว่า “พี่สาวมีเรื่องอันใดหรือ”
ลั่วเซิงได้สติคืนมาแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
เอ่ยจบก็ปล่อยม่านหน้าต่างรถลงอย่างฉับไว
ลั่วเฉินจ้องม่านหน้าต่างรถที่แกว่งไกวแล้วแอบสูดลมหายใจ
เขาไม่โกรธ ใครให้เขาพบเจอกับพี่สาวแบบนี้กันล่ะ!
เดินทางกันอีกระยะหนึ่ง รถม้าก็จอดนิ่ง เสียงแม่ทัพใหญ่ลั่วลอยเข้ามาในห้องโดยสาร “เซิงเอ๋อร์ ถึงจวนเจิ้นหนานอ๋องแล้ว”
ภายในตัวรถนิ่งเงียบระยะหนึ่ง ม่านประตูรถถูกเลิกขึ้น ลั่วเซิงก้มหน้าเดินออกมา
[1] ไล่เป็ดให้ขึ้นคอน เปรียบเมื่อไม่อยากทำบางอย่างแต่ต้องทำ ฝืนทำบางอย่าง
[2] หนึ่งคนบอกเล่าให้กับสิบคน สิบคนนั้นก็ไปบอกต่ออีกร้อยคน หมายถึง ข่าวสารถูกแพร่ออกไป หรือถูกบอกต่อกันเป็นทอดๆ อย่างรวดเร็ว
[3] ดอกล่าเหมย หรือดอกเหมยขี้ผึ้ง มีสีเหลืองงาม จะเบ่งบานในช่วงที่หนาวจัดของประเทศจีน ซึ่งถือว่าเป็นการแจ้งกับผู้คนทั่วไปว่า ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึงแล้ว