บทที่ 1465 ฮูหยินหลู
ฟางเจิ้งสิงผู้นั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนฟังหลิวซื่อทุกอย่าง ถ้าหากฮูหยินฟางตายจริง ๆ เขามีแต่จะมีความสุขที่ได้เห็นมันเกิดขึ้น อย่างไรเสียนางก็ตายเอง
เช่นนั้นหลิวซื่อล่ะ อยากได้ตำแหน่งภรรยาที่ถูกต้องมานานแล้ว การทำให้ตายเป็นวิธีที่ดีที่สุด
หลิวซื่อผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเสียจริง
“ท่านพี่ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดี กลัวว่าตอนนี้เพ่ยหยาจะต้องหวาดกลัวมากแน่เลย” ถานอวี้ซูพูดอย่างโกรธเคือง “ไม่อย่างนั้น พวกเราก็บุกเข้าไปเถอะ ดูว่าเพ่ยหยาเป็นอย่างไรกันแน่”
ถานอวี้ซูเป็นฮู้กั๋วจวิ้นจู่ ฟางเจิ้งสิงเป็นขุนนางระดับสอง ถ้าหากว่าบุกเข้าไปในจวนตระกูลฟางโดยพลการ เกรงว่าฟางเจิ้งสิงไม่มีทางที่จะปล่อยผ่านไปแน่
“ฟางเจิ้งสิงสามารถทำเรื่องที่หลงใหลอนุจนละเลยภรรยาออกมาได้ เกรงว่าคนผู้นี้จะรับมือได้ยาก ถ้าหากเจ้าบุกรุกเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะมีจุดอ่อนของเราอยู่ในมือของเขา” กู้เสี่ยวหวานกล่าวเตือน
“เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี จะปล่อยให้นางอยู่ในจวนตระกูลฟางคนเดียวเช่นนี้หรือ เพ่ยหยาเป็นคนขี้ขลาด ทั้งยังไม่มีความคิด ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับมารดาของนาง ข้ากลัวว่านางจะทำอะไรโง่ ๆ” ถานอวี้ซูยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อย ๆ ร้อนรนจนเหงื่อบนหน้าผากใกล้จะออกมาแล้ว
“บ้านเดิมของฮูหยินฟางยังมีคนของมารดาฮูหยินฟางอยู่หรือไม่” ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็นึกอะไรออก จึงเอ่ยถามขึ้นมา
ถานอวี้ซูพยักหน้า “มีอยู่ ใช่แล้ว พวกเราสามารถไปหาฮูหยินหลูได้ ถ้าหากว่านางอยากจะไปพบฮูหยินฟาง ใครจะขวางได้”
หลังจากพูดจบ ทั้งสองก็ไปที่ตระกูลหลู
ในยามปกตินั้น ตระกูลหลูกับตระกูลถานก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน เดิมทีคนหนึ่งนั้นเป็นขุนนางระดับสี่ คนหนึ่งเป็นแม่ทัพ นอกจากพยักหน้าให้กันแล้ว ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกัน
พวกเขากับตระกูลถานยิ่งไม่ได้ไปมาหาสู่กัน เหตุใดวันนี้ฮู้กั๋วจวิ้นจู่จึงมาหาด้วยตนเอง และยังต้องการพบฮูหยินหลูผู้เฒ่าอีกด้วย
ฮูหยินหลูได้ยินว่าถานอวี้ซูต้องการมาเยี่ยมนาง ก็รับเทียบเชิญในทันทีแล้วสั่งให้คนไปต้อนรับ
ฮูหยินหลูเป็นมารดาของหลูเหวินซิน ปีนี้ก็อายุเพียงหกสิบต้น ๆ เท่านั้น เนื่องจากได้รับการบำรุงดูแลอย่างเหมาะสม จึงดูเหมือนว่าอายุยังน้อย
ถานอวี้ซูปล่อยให้ทุกคนลงไป ท่าทางที่จริงจังนั้นกลับทำให้ฮูหยินหลูตกใจ
“ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ นี่ท่าน…”
“ฮูหยินหลู ข้าขอกล่าวอย่างไม่ปิดบัง วันนี้เป็นวันที่ข้ากับเพ่ยหยาได้นัดพบกัน เพียงแต่รอมานานแล้วก็ไม่เห็นนางมา ต่อมาก็ได้ไปที่จวนตระกูลฟาง จึงได้รู้เรื่องหนึ่งมา” ถานอวี้ซูกล่าวอย่างจริงจัง
ฮูหยินหลูถึงกับตกใจ “พวกนางเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เป็นเพ่ยหยาหรือว่าเหวินซิน”
เมื่อเห็นท่าทางที่กระวนกระวายและกังวลใจนั้น ดูเหมือนว่าฮูหยินหลูยังคงใส่ใจกับหลูเหวินซินและฟางเพ่ยหยา
“เกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยินฟางแล้ว”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเหวินซิน” ฮูหยินหลูได้ฟังก็ดีดตัวลุกจากที่นั่งด้วยความตกใจ สีหน้าของนางนั้นไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“เพียงแค่วันนี้ได้ยินคำพูดของคนเฝ้าประตูผู้หนึ่ง แท้จริงแล้ว จริงหรือเท็จนั้นก็ยังไม่แน่ใจ ฮูหยินหลู ข้าพูดได้เพียงแค่ว่า สถานการณ์ในตอนนี้ของฮูหยินฟางนั้นแย่มาก” ถานอวี้ซูกล่าวพลางขมวดคิ้ว
พอกล่าวจบก็นำเรื่องที่ได้ยินนั้นมาบอกให้ฮูหยินหลูฟังอีกรอบอย่างไม่มีตกหล่น แต่บอกเพียงอาการป่วยของฮูหยินฟางเท่านั้น ส่วนสถานการณ์ของฮูหยินฟางและฟางเพ่ยหยาที่อยู่ในจวนตระกูลฟางนั้น กลับไม่ได้เอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว นางรู้ว่าฮูหยินหลูเองก็จะต้องรู้อย่างแน่นอน
ฮูหยินหลูได้ฟัง ร่างกายก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
“เหวินซินของข้า” ฮูหยินหลูร้องไห้เสร็จก็ลุกขึ้น เช็ดน้ำตาและพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ขอบคุณจวิ้นจู่มากที่มาส่งข่าว หญิงชราอย่างข้ารู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร”
ถานอวี้ซูเห็นนางเข้าใจแล้วก็ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “ข้ากับเพ่ยหยาเป็นสหายกัน ถ้าหากฮูหยินหลูต้องการข้าเมื่อใด โปรดให้ฮูหยินเพียงเอ่ยปาก อวี้ซูจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่นอน”
“ขอบคุณจวิ้นจู่มาก” ฮูหยินหลูนั้นกลับไม่ได้คิดอยากจะรบกวนถานอวี้ซูเลย หลังจากส่งถานอวี้ซูกลับไปแล้ว ก็รีบพาคนและหมอที่ตัวเองไว้ใจไปที่จวนตระกูลฟางทันที
ฮูหยินหลูพาคนไปด้วยไม่กี่คนจึงมาถึงจวนตระกูลฟางในชั่วพริบตา เดิมทีก็ถูกขัดขวางไม่ให้เข้าไป ต่อมาฮูหยินหลูวางตัวว่าตัวเองเป็นมารดาของหลูเหวินซิน ลูกสาวของตัวเองป่วยแล้วก็ย่อมจะต้องมาเยี่ยมเป็นธรรมดา
แม้ว่าตอนนี้หลิวซื่อจะคอยดูแลตระกูลฟาง แต่เห็นได้ชัดว่านางยังเป็นเพียงแค่อนุภรรยาของฟางเจิ้งสิงเท่านั้น นายหญิงของตระกูลฟางป่วยแล้ว คาดไม่ถึงว่านางจะขัดขวางไม่ให้มารดาของนายหญิงเข้าไปเยี่ยม ถ้าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป กลัวว่านายท่านเองก็คงจะไม่ช่วยเหลือนาง
ต่อหน้าหลิวซื่อนั้นไม่ได้กล่าวอะไร แต่ทว่าในใจกลับคับแค้นใจมาก แค้นใจคนของตระกูลหลูทั้งหมด รวมทั้งฮู้กั๋วจวิ้นจู่ด้วย
ก่อนหน้านี้สาวใช้ของฮู้กั๋วจวิ้นจู่เพิ่งก้าวเท้าจากไป ต่อมามารดาของหลูเหวินซินก็พาคนมาทุบประตู หากนี่ไม่ใช่ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ที่ฟ้อง แล้วจะเป็นผู้ใดกันที่ไปฟ้องอีก
ฮูหยินหลูพาคนเข้าไปในจวนตระกูลฟาง เมื่อเห็นหลูเหวินซิน น้ำตาของคนชราก็อดไม่ได้ที่ไหลลงมาด้วยความโศกเศร้า
เมื่อเห็นบุตรสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่เดือน ตอนนี้ผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว ฮูหยินหลูจึงกอดหลูเหวินซินและร้องไห้เสียงดังขึ้นมา
จนกระทั่งหลูเหวินซินรู้สึกไม่สบายจนจะกระอักเลือดออกมาอีก หมอที่ฮูหยินหลูพามาด้วยก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อตรวจอาการ
ไม่ตรวจนับว่ายังดี พอได้ตรวจแล้วก็ตกตะลึงไปทั่วทั้งร่าง
จึงรีบร้อนสั่งยาและลงไปเคี่ยวด้วยตัวเอง
ฮูหยินหลูเห็นเขาไม่พูดจาให้มากความก็รู้ว่าในจวนนี้มีเรื่องมากมายที่ไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับรู้ เพียงแต่สงสารลูกสาวของตัวเองคนนี้นัก ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยเสียเปรียบเรื่องใดเลย ในตอนนี้ถูกอนุภรรยาทรมานจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว นี่ทำให้หัวใจของนางนั้นแตกสลาย
เมื่อก่อนนั้นยังคิดว่าฟางเจิ้งสิงยังถือว่าเป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนที่แสวงหาความก้าวหน้า เพียงแค่เกิดมาไม่ถูกที่ถูกเวลาเท่านั้น ต่อมาเมื่อเขาได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงก็หยามเกียรติหลูเหวินซินเช่นนี้ และยังไม่ไปมาหาสู่ติดต่อกับตระกูลหลูอีก ฮูหยินหลูจึงเพิ่งจะรู้ว่าลูกเขยที่ตัวเองชอบเมื่อก่อนนั้น แท้จริงแล้วเป็นหมาป่าในคราบหนังคน หลายปีที่ผ่านมา เมื่อเติบโตขึ้น หนังคนก็ไม่สามารถปกปิดได้อีก นี่จึงเผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าข้างในแล้ว
“เหวินซิน ลูกสาวที่น่าสงสารของข้า” ฮูหยินหลูโอบกอดฮูหยินฟางพลางร้องไห้
ฟางเพ่ยหยาคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ หลูเหวินซินมาหลายวันแล้ว มองดูมารดาที่ผอมลงทุกวัน ๆ แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อได้ยินหมอบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ฟางเพ่ยหยาก็แทบอยากจะฆ่าหมอคนนั้นแล้ว นางอยากจะออกไปหาหมอคนใหม่ แต่หลิวซื่อนั้นกลับไม่ยอมให้นางออกไปข้างนอกเลย