ตอนที่ 726 ขอเจ้าอาวาสน้อยช่วยพิจารณา (อย่างถี่ถ้วน)
ฉินหลิวซีมองไปยังสตรีสูงศักดิ์ร่างอ้วนท้วนผู้หนึ่ง เผยรอยยิ้มออกมา และอีกฝ่ายมองเห็นนางจึงชะงักไปเล็กน้อย รีบสาวเท้าก้าวเข้ามา
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย ไม่คิดว่าท่านก็อยู่ ตอนพวกเรามา ไต้ซือชิงหย่วนยังบอกว่าท่านไม่อยู่ในอาราม”
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นฮูหยินของอวี๋ชิวไฉ ตอนนี้มองเห็นฉินหลิวซี ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีและตื่นเต้น
“เพิ่งขึ้นเขามา” ฉินหลิวซียิ้มคารวะในแบบเต๋า “ไม่ได้เจอกันเพียงไม่นาน ฮูหยินดูอวบขึ้นไม่น้อย”
สองแก้มของฮูหยินอวี๋แดงระเรื่อ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพราะคลอดเจ้ารอง บำรุงมากเกินไปสักหน่อย”
“สีหน้าเปล่งปลั่ง บุตรชายบุตรสาวเพียบพร้อม สามีภรรยารักใคร่ เป็นพรที่หายาก ฮูหยินไม่ต้องรีบลด เช่นนี้ก็ดีแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยประโยคน่าฟังด้วยรอยยิ้มอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นหันไปมองฮูหยินอีกคนที่อยู่ด้านข้างนาง รู้สึกแปลกหน้า ทว่าดูสง่าและอวบเช่นเดียวกัน เป็นคนมีเมตตาผู้หนึ่ง
วาจาน่าฟังผู้ใดจะไม่ชอบ ฮูหยินอวี๋ฟังแล้วรอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น หันมองตามสายตาของฉินหลิวซี รีบดึงคนข้างกายเข้ามา แนะนำ “ผู้นี้คือฮูหยินของเฉิงถงจือ[1]คนใหม่ เพิ่งตามใต้เท้าเฉิงมารับตำแหน่งได้สองเดือน”
ฉินหลิวซีคารวะกลับไปเช่นเดียวกัน “ฮูหยินเฉิง”
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นางก็รู้ว่าจ้าวถงจือผู้อาศัยตระกูลเหมิงจะถูกปลด เปลี่ยนคนมารับตำแหน่งแล้วจริงๆ
ฮูหยินเฉิงได้ยินถึงความเก่งกาจของท่านเจ้าอาวาสน้อยจากปากของฮูหยินอวี๋มานานแล้ว เมื่อครู่กำลังพิจารณา ตกใจกับรูปโฉมและบุคลิกของอีกฝ่าย ยามนี้เห็นท่าทางเป็นกันเองของนาง ถอนหายใจอยู่ในใจ การแต่งกายและท่าทางเช่นนี้ เดินทางอยู่ข้างนอกคงดูเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง
นางเองถึงแม้จะหมกตัวอยู่ในบ้านมานานหลายปี ทว่าการเข้าสังคมและการรับแขกฝังอยู่ในกระดูก ยิ้มพลางเอ่ย “ได้ยินความงามของท่านเจ้าอาวาสน้อยจากฮูหยินอวี๋มานาน วันนี้ได้เห็น ราวกับได้เจอเทพเซียนผู้เป็นอมตะ สง่างามไม่ธรรมดา”
ฉินหลิวซีเอ่ยถ่อมตัวไม่กี่ประโยค
“พวกท่านอย่าเพิ่งชมกันไปชมกันมาแล้ว ผู้มีจิตศรัทธา ดวงวันเกิดที่ท่านเอามานี้ไม่ปกติ” ชิงหย่วนมองพวกนางชมกันไปชมกันมา ด้วยความใจร้อนจึงทนไม่ไหวเล็กน้อย
รอยยิ้มของฮูหยินเฉิงชะงัก
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปยังชิงหย่วน รีบเอ่ยถาม “ไม่ปกติอย่างไร ดวงวันเกิดนี้เป็นดวงข่มกันหรือ”
วันนี้มาอารามชิงผิง ความจริงมาเพื่อดูดวงสมพงษ์ให้กับบุตรสาวและชายหนุ่มที่กำลังดูใจกันอยู่ หากดวงสมพงษ์ก็จะหมั้นหมายเอาไว้
ใช่ เมื่อมีข่าวคัดเลือกหญิงงามออกมา ตระกูลเฉิงเองก็ไม่อาจนั่งเฉยได้ พวกเขาเองก็รักบุตรสาวอย่างแท้จริง ไม่อยากส่งนางเข้าวังหลวงไปร่วมคัดเลือก เดิมเจอคนที่มีภูมิหลังดี นิสัยดี ใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่ง เพียงแต่ยามนี้กำลังดูใจอยู่ แต่เมื่อมีข่าวการคัดเลือกออกมา พวกเขาจึงอยากรีบหมั้นหมาย หลีกเลี่ยงการส่งบุตรสาวเข้าวังไปร่วมคัดเลือก
แม้บอกว่าอาจไม่ได้รับการคัดเลือก แต่หากเกิดขึ้นเล่า
พวกเฉิงถงจือนั้นรักบุตรสาวราวกับของล้ำค่า ไม่กล้าเดิมพัน
แต่ตอนนี้ไต้ซือชิงหย่วนผู้นี้กลับบอกว่าดวงวันเกิดไม่ปกติ จะไม่สำเร็จหรือ
ชิงหย่วนลังเลอยู่ชั่วครู่ หันมาทางฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “นี่เป็นดวงวันเกิดของชายหนุ่มที่ดูใจกับคุณหนูจวนท่านหรือ”
นางรับกระดาษที่เขียนดวงวันเกิดมา นับนิ้วคำนวณ สตรีผู้นี้การแต่งงานไม่ราบรื่น หากแต่งงานเร็วช่วงแรกของชีวิตจะลำบาก สามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้งบ่อย แต่หากแต่งงานช้านับว่าราบรื่น ลูกหลานเต็มบ้าน
แต่นี่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้า เด็กสาวผู้หนึ่งช่วงวัยงดงามที่สุดก็ช่วงสิบกว่าถึงยี่สิบปี ต้องเถียงกันครึ่งชีวิตเพื่อแลกกับชีวิตสงบในบั้นปลายหรือ ถึงตอนนั้นร่างกายแก่ชราอ่อนแอ ใกล้ตายแล้ว จะมีความสุขได้สักกี่ปี
หัวใจของฮูหยินอวี๋เต้นรัว เอ่ยถาม “หรือว่าชายหนุ่มผู้นี้มีสิ่งใดไม่ปกติหรือ”
“เจ้าของดวงวันเกิดนี้ได้ตายไปแล้ว”
“อะไรนะ”
“เป็นไปไม่ได้”
ฮูหยินอวี๋และฮูหยินเฉิงตกใจไม่น้อย คนหลังยิ่งหวาดกลัวและโมโห นางจะเอาดวงวันเกิดคนตายคนหนึ่งมาดูดวงสมพงษ์กับบุตรสาวได้อย่างไร เช่นนี้ไม่เป็นการจับคู่กับผีหรอกหรือ
สีหน้าของฮูหยินเฉิงไม่ดีนัก เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อยพวกท่านดูผิดหรือไม่ คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ดี ยามนี้ยังเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาเมืองอยู่เลย”
น้ำเสียงของนางบ่งบอกถึงความกังวล แอบรู้สึกโชคร้ายอยู่ในใจ
ไม่ว่าผู้ใดได้ยินคำนี้ก็คงรู้สึกโชคร้ายทั้งนั้น ยังเป็นคนที่กำลังดูใจกับบุตรสาวตนเองอีก
ฮูหยินอวี๋กระตุกแขนเสื้อฮูหยินเฉิงเบาๆ เอ่ย “ใช่ เอ่ยอย่างไม่ปิดบัง คนผู้นี้เป็นศิษย์อยู่ในสำนักศึกษาเมือง ยังเป็นจวี่เหรินด้วย จริงสิ วันนี้เขาก็มาที่อาราม ตอนนี้น่าจะอยู่ที่หลังเขา”
ไม่เพียงคนผู้นั้นอยู่ เฉิงรั่วเหลียนบุตรสาวของฮูหยินเฉิงก็อยู่ด้วย กำลังให้ทั้งสอง ‘ทำความคุ้นเคย’ กันอยู่
ฉินหลิวซีไม่โกรธ เอ่ยว่า “หนึ่งคนดูผิด สองคนก็ดูผิดหรือ ข้าและศิษย์น้องต่างคำนวณดูแล้ว เจ้าของดวงวันเกิดนี้ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว หากพวกท่านบอกว่าคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นบอกได้เพียงว่า ดวงวันเกิดนี้ไม่ใช่ของเขา”
เหล่าฮูหยินเฉิงชะงัก
นี่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นชิวจื่อปั๋วผู้นี้ไยต้องเอาดวงวันเกิดผู้อื่นมาหลอกพวกนาง
“คนผู้นี้ตายไปแล้วจริงหรือ” ฮูหยินเฉิงยังไม่ยอมเชื่อ เอ่ยถามอีกครั้ง
ฉินหลิวซีพยักหน้า “กล้าสาบานต่อหน้าเจ้าลัทธิเต๋า”
เอ่ยมาถึงขั้นนี้ ก็เกิดความตึงเครียดขึ้นมา
คิ้วของฮูหยินเฉิงขมวดขึ้น คนมีชีวิตอยู่ ดวงวันเกิดเป็นของปลอม เช่นนั้นคนผู้นี้ก็มีปัญหาแล้ว
แต่ไม่ควรนี่นา ชิวจื่อปั๋วผู้นั้นแม้ชาติตระกูลไม่แย่ แต่เรือผุพังก็ยังมีตะปูสามดอก อย่างไรก็ยังเกิดในจวนปั๋ว อีกทั้งศิษย์พี่ยังบอกว่าเป็นคนถ่อมตนมีมารยาท โวหารไม่เลว ทั้งยังสอบจวี่เหรินด้วยอายุที่น้อยที่สุด หากมือไม่หักกะทันหันในฤดูใบไม้ผลิเขาคงได้เข้าไปสอบในเมืองแล้ว เพียงโชคร้ายจึงพลาดไปแล้ว
คนเช่นนี้เอาดวงวันเกิดปลอมมาหลอกพวกเขาเพื่อสิ่งใด
ฮูหยินอวี๋กลับนึกถึงความสามารถของฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ดวงวันเกิดเป็นของคนตาย คนยังมีชีวิตอยู่ พอดีคนผู้นั้นยังอยู่ในอาราม ท่านช่วยพิจารณาสักหน่อยได้หรือไม่”
ฮูหยินเฉิงชะงัก
ฮูหยินอวี๋เอ่ยกับนาง “พี่สาว เรื่องใหญ่ในชีวิตเหลียนเอ๋อร์บุตรสาวท่านจะผิดพลาดไม่ได้ ถึงแม้จะดูใจกันแล้ว แต่เอาดวงวันเกิดปลอมมา นับว่าอย่างไรกัน ท่านเจ้าอาวาสน้อยสายตาแหลมคม ต้องดูออกแน่ว่าผู้นั้นเป็นคนหรือผี”
ฮูหยินเฉิงพยักหน้าอย่างมีความหวัง มองมายังฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คำขอของผู้มีจิตศรัทธา ไม่มีสิ่งใดให้ปฏิเสธ”
ทั้งสองพ่นลมหายใจออกมา
พวกเขาเดินออกจากวิหารด้านหลัง เพิ่งเดินขึ้นบันไดหลังเขาก็มองเห็นหญิงสาวรูปโฉมโดดเด่นกำลังเดินลงมาภายใต้การห้อมล้อมของบ่าวรับใช้
ด้านหลังของนางห่างไปสิบก้าวมีชายหนุ่มหน้าขาวในชุดคลุมน้ำเงินเดินตาม
“เหลียนเอ๋อร์” ฮูหยินเฉิงมองเห็นบุตรสาวก็ดีใจ
ฉินหลิวซีมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้น ดวงตาจมลึก
“นั่นก็คือชิวจื่อปั๋ว” ฮูหยินอวี๋เดินมาอยู่ข้างฉินหลิวซี กระซิบเสียงเบา
ฉินหลิวซียิ้มหยัน “แจ้งทางการเถิด”
ฮูหยินอวี๋ “?”
ฮูหยินเฉิงหันกลับมาด้วยอาการตกตะลึง
ฉินหลิวซีมองเงาดำด้านหลังคนผู้นั้น เอ่ย “เขาไม่ใช่ชิวจื่อปั๋วตัวจริง”
[1]ถงจือ นายอำเภอ เจ้าเมือง