บทที่ 1467 กลับไปพักฟื้นที่บ้านเดิม
เขาเป็นหมอที่ต้องรักษาคน เดิมทีก็ไม่อยากรับค่าปิดปากเพิ่มเพื่อเก็บรักษาความลับเช่นนี้ เพียงแต่จำได้ว่าตอนยังหนุ่มนั้นเขาเองก็เคยเสียเปรียบ เมื่อรับมาแล้วก็เม้มปาก แล้วถือโอกาสใส่ไว้ในแขนเสื้อ
ฮูหยินหลูเห็นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกเงียบ ๆ ในใจ
หลังจากที่ส่งหมอเฉิงจากไปแล้ว ฮูหยินหลูจึงพาฟางเพ่ยหยาและแม่นมกุ้ยมาปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้น ฟางเพ่ยหยาก็นึกขึ้นได้ว่า “ท่านยาย ข้าจะพาท่านแม่ไปอาศัยอยู่กับท่านยายสักพัก บอกว่าท่านแม่ไม่ได้กลับไปบ้านเดิมนานแล้ว อยากไปเยี่ยมท่านยายและแสดงความกตัญญูต่อท่านยาย ท่านว่าเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
จวนตระกูลฟางนั้นไม่สามารถอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว ผู้ที่วางยาพิษในอาหารของมารดานั้นก็ยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด ถ้าหากว่าเขาเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดมารดาที่สุด ก็สามารถที่จะพรากเอาชีวิตของมารดาไปได้ทุกที่ทุกเวลา
ฟางเพ่ยหยาไม่อาจนั่งรอความตายเช่นนี้ต่อไปได้ นางต้องรักษาอาการของมารดาให้หายดี นางไม่สามารถขาดมารดาไปได้
หมอเฉิงท่านนั้นบอกว่าอาการป่วยของท่านแม่ ขอเพียงแค่พักฟื้นให้ดีก็ต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน นางไม่อาจฝากชีวิตของมารดาไว้ในมือของผู้อื่นได้
หลิวซื่อผู้นั้น ใครจะรู้ว่านางจะยังเล่นลูกไม้อะไรใส่ร้ายมารดาอีก
ฟางเพ่ยหยาปรึกษากับฮูหยินหลูด้วยน้ำเสียงพูดคุยซึ่งมีเหตุผลอ้างอิงด้วย
ในความเป็นจริงปกติแล้ว หลูเหวินซินไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับบ้านเดิม ประการแรกเป็นเพราะฟางเจิ้งสิง ประการที่สองนั้นเป็นเพราะว่าตัวเอง
เมื่อก่อนตอนที่ฟางเจิ้งสิงยังไม่ได้เป็นข้าราชการ ทั้งวันนั้นก็ดูแลหลูเหวินซินให้เดินทางกลับบ้านบ่อย ๆ และจุดประสงค์ของการไปมาหาสู่บ่อย ๆ นั้นก็เพื่อปูทางให้แก่เขา หลูเหวินซินไม่ได้โง่ แต่ว่าตอนนั้นความรักบังตาเข้า จึงคิดว่าตัวเองได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีที่ทั้งแสวงหาความก้าวหน้าและยังดูแลครอบครัว
จนกระทั่งฟางเจิ้งสิงมีตำแหน่งก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ท่าทีของเขาที่มีต่อตระกูลหลูกลับตาลปัตรเปลี่ยนไปอย่างมาก หลูเหวินซินจึงเพิ่งเข้าใจความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงหินรองเท้าที่ปูทางในการเลื่อนตำแหน่งของเขา ส่วนตระกูลหลูก็ย่อมกลายเป็นหินรองเท้าเพื่อเขาไปโดยปริยาย
จนกระทั่งหลิวซื่อสามแม่ลูกปรากฏตัว หลูเหวินซินจึงยิ่งรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นเพียงแค่สายโซ่ที่ฟางเจิ้งสิงต้องการปีนป่ายขึ้นไปเท่านั้น ตอนนั้นหากไม่ใช่นางก็ยังมีคุณหนูหลี่ คุณหนูว่าน และคนอื่น ๆ อีก
แต่ที่เขาแต่งกับนางไม่ใช่เป็นเพราะว่ารักนาง แต่เป็นเพราะบิดาที่อยู่ด้านหลังนางเป็นหงหลูซื่อชิง*[1]
หรือในเวลานั้น ถ้าหากมีผู้อื่นมีตำแหน่งสูงกว่าบิดาของนางที่ฟางเจิ้งสิงหมายตาเอาไว้ จะยังมีเรื่องของหลูเหวินซินอยู่อีกเสียที่ไหนกัน
เรื่องราวมากมายที่ถ่วงรั้งหลูเหวินซินไว้ ก่อนหน้านี้เป็นรักแท้ แต่ในตอนนี้ไม่รักอีกต่อไปแล้ว
ในหัวอกนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ความคับข้องใจ และคำตำหนิกล่าวโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีแล้วปีเล่าทำให้หลูเหวินซินตกอยู่ในความทุกข์ตรมจนไม่อาจก้าวออกไปข้างหน้าได้
นางคิดว่าตัวเองนั้นรักฟางเจิ้งสิงมากขนาดนั้น แต่ว่าเหตุใดเขาจึงไม่รักนางบ้าง
ไม่รักนางก็ช่างเถอะ คาดไม่ถึงว่าจะยังใช้ความรักมาจองจำนางไว้ตลอดชีวิตอีก
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าที่อยู่ในความผิดหวังและความทุกข์ใจ หลูเหวินซินเองก็ค่อย ๆ มองออกอย่างชัดเจน บุรุษผู้หนึ่งที่ไม่รักนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันรัก แม้ว่าเจ้าจะกำเนิดบุตรให้เขาและปูทางให้เขาก็ตาม
หลูเหวินซินไม่มีความหวังใด ๆ ต่อฟางเจิ้งสิงแล้ว เพียงแค่รู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ตัวเองทำให้ครอบครัวเดิมนั้นตาบอดมาตั้งหลายปี เลี้ยงหมาป่าตาขาวให้นาง ตอนนี้หมาป่าตาขาวตัวนี้เติบโตขึ้นแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรข้องเกี่ยวกับตระกูลหลูอีกต่อไป
หลูเหวินซินรู้สึกเสียใจต่อตระกูลหลู ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานอกจากจะกลับไปเยี่ยมบิดามารดาในช่วงปีใหม่แล้ว เวลาที่เหลือนั้นก็อยู่ในจวนตระกูลฟางไม่ได้ไปไหน
ถ้าหากว่าไม่ได้ไปมาหาสู่กัน พี่ชายและพี่สะใภ้ทั้งสองของหลูเหวินซินเองก็ไม่เคยรับรู้สถานการณ์ของหลูเหวินซิน เมื่อไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ความรู้สึกนั้นก็ย่อมจางหายไปเป็นธรรมดา
ดังนั้นที่จวนตระกูลหลู แม้ว่าพี่ชายทั้งสองคนของหลูเหวินซินจะถอนหายใจขึ้นเมื่อพูดถึงน้องสาวของตัวเอง แต่พี่สะใภ้ทั้งสองคนนั้นกลับพบเห็นได้ยาก เป็นเรื่องปกติแล้วที่จะไม่มีความรู้สึกอะไรต่อหลูเหวินซิน
คราวนี้ฟางเพ่ยหยาเสนอให้หลูเหวินซินกลับบ้านไปพักฟื้น ฮูหยินหลูตบมืออย่างเป็นธรรมชาติและพูดว่า “ตกลง”
เวลานี้จัดการอะไรไม่ได้แล้ว ลูกสาวที่แต่งงานก็เหมือนกับน้ำที่ถูกสาดออกไป ลูกสาวของตัวเองใกล้ตายแล้ว ยังจะต้องมาสนใจอะไรมากมายอีก
ฮูหยินหลูต้องการจะพาหลูเหวินซินไปอยู่ด้วย แต่คนแรกที่ปฏิเสธก็คือหลิวซื่อ
“ฮูหยินหลู นี่เป็นนายหญิงของจวนตระกูลฟาง ท่านก็จะพาจากไปเช่นนี้หรือ” หลิวซื่อเล่นเล็บลายดอกพุดซ้อนที่เพิ่งทำเสร็จด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจ
“ฮูหยินหลิว เจ้าอย่าลืมสิว่าฮูหยินฟางนางยังแซ่หลู และเป็นบุตรสาวตระกูลหลูของข้า”
หลิวซื่อไม่อยากให้ฮูหยินหลูพาหลูเหวินซินจากไป ย่อมเป็นธรรมดาที่คิดอยากจะขัดขวางฮูหยินหลู
แต่ฮูหยินหลูจะปล่อยให้นางทำสำเร็จได้อย่างไรกัน
แม้ว่าหลิวซื่อผู้นี้จะชั่วร้าย แต่ว่านางกลับลืมไปว่า ถึงนางจะชั่วร้ายอย่างไรก็เป็นแค่อนุภรรยาที่ไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ ส่วนฮูหยินหลูนั้นได้สัมผัสเรียนรู้อะไรหลายอย่างมาตั้งหลายปี นางได้พบเห็นเรื่องราวต่าง ๆ กลัวว่าจะมีประสบการณ์มามากกว่าหลิวซื่อเสียด้วยซ้ำ
“ใช่แล้ว ที่ฮูหยินหลูกล่าวนั้นไม่ผิด แต่ฮูหยินหลูไม่เคยได้ยินประโยคหนึ่งหรือ แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข บุตรสาวที่ออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อออกเรือนแล้วก็ต้องเชื่อฟังสามี ฮูหยินฟางนั้นออกเรือนมาจากตระกูลหลูแล้ว ตอนนี้ถ้าหากนางต้องการจะกลับไป เช่นนั้นก็ต้องถามความยินยอมจากนายท่านของข้าเสียก่อน ถ้าหากนายท่านของข้าไม่ยินยอมให้นางกลับไป นางก็ไม่อาจไปได้” หลิวซื่อพูดอย่างไม่พอใจด้วยสีหน้าประชดประชัน
อยากจะออกไปจากตระกูลฟางหรือ ไม่มีทาง!
“ฮูหยินหลิวได้รับความโปรดปรานเสียจริง ดูเหมือนใต้เท้าฟางจะประคองฮูหยินไว้ในอุ้งมือจนเจ็บแล้ว” ฮูหยินหลูเห็นถึงความหยิ่งยโสและอวดดีของหลิวซื่อผู้นี้ จึงนึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาของบุตรสาวที่อยู่ในจวนตระกูลฟางมาหลายปีนี้ก็โกรธมาก นางอดกลั้นความโกรธไว้ในใจ บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มพลางพูดคุยอย่างปกติธรรมดา
เมื่อหลิวซื่อได้ยินว่าตัวเองได้รับความโปรดปราน และประโยคนี้ก็ยังเอ่ยออกมาจากปากมารดาของหลูเหวินซิน ทั้งยังเรียกว่าฮูหยินหลิวอย่างเต็มปากเต็มคำ ในใจของหลิวซื่อนั้นคันคะเยอจนรู้สึกลำพองใจอย่างมาก ไม่ได้คิดถึงความหมายในคำพูดของฮูหยินหลูเลย นางยื่นมือออกไปลูบปอยผมและพูดอย่างลำพองใจว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว นายท่านนั้นรักใคร่ข้า”
“ไม่เลวเลยจริง ๆ” ฮูหยินหลูหัวเราะแห้ง ๆ จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งที่เกือบทำให้หลิวซื่อหวาดกลัวจนตาย “ก็ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าที่กล้าหาญหรือว่าเป็นฮูหยินฟางที่กล้าหาญ อนุภรรยาที่เสื่อมเสียผู้หนึ่งมือยาวขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าฮูหยินของขุนนางระดับสองจะไม่รู้ ถ้าหากฝ่าบาททรงรู้เข้าว่าในจวนของขุนนางระดับสองของพระองค์มีอนุภรรยาคอยจัดแจงเรื่องการไปมาของฮูหยินปรากฏขึ้น ในใจก็ไม่รู้ว่าจะทรงทำอย่างไร”
*[1] ทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหัวเมืองตลอดจนชนเผ่าต่าง ๆ และคณะทูต