บทที่ 1468 ต้องการเอาชีวิตนาง
พอหลิวซื่อได้ยินก็หวาดกลัวจนใบหน้านั้นขาวซีด นางมองฮูหยินหลูอย่างหวาดหวั่น ฮูหยินหลูกล่าวโทษนางอย่างไม่เกรงใจและไม่ยอมอ่อนข้อให้ตัวเองเลยแม้แต่น้อย มุมปากของฮูหยินหลูนั้นยังคงยิ้มอย่างประชดประชันด้วย
ท่าทางเช่นนี้ทำให้หลิวซื่อตกใจกลัว
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยได้ติดต่อกับคนในตระกูลหลูมาก่อน จึงย่อมคิดเป็นธรรมดาว่าหลูเหวินซินเป็นลูกพลับที่บีบง่าย คนอื่น ๆ ในตระกูลหลูเองก็คงจะเหมือนกัน
อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมา คนของตระกูลหลูก็ไม่เคยไปมาหาสู่กับตระกูลฟาง อาศัยความโปรดปรานของฟางเจิ้งสิงก็ย่อมเป็นธรรมดาที่หลิวซื่อจะครอบงำตระกูลฟาง
ในตอนนี้ฮูหยินหลูบอกว่าจะพาหลูเหวินซินไปอยู่ด้วย หลิวซื่อนั้นย่อมไม่ยินยอม แต่หลังจากพูดเพิ่มอีกสองประโยค จึงเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองตกหลุมพรางของแม่มดเฒ่าคนนี้เสียแล้ว
ฮูหยินหลูตั้งใจยกยอหลิวซื่อให้สูงขึ้นก็เพื่อให้หลิวซื่อประมาทและตกหลุมพรางของนาง
อนุภรรยาเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องฮูหยินของขุนนางระดับสอง เรื่องนี้ถ้าหากถูกฝ่าบาทรู้เข้า เช่นนั้นนายท่าน…
หลิวซื่อนึกถึงคำพูดของฟางเจิ้งสิงที่พูดกับตัวเอง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
นางอยากจะทำอะไรก็ทำ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่อาจแพร่งพรายออกจากตระกูลฟางได้
นางยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมาได้คอยควบคุมหลูเหวินซิน คนที่ขี้ขลาดคนนั้นไม่ว่าอะไรก็ไม่กล้าพูดไม่กล้าทำ ส่วนฟางเพ่ยหยานั้นก็อ้วนอย่างกับหมู ยิ่งไม่มีความคิดอะไรเลย
หลิวซื่อมีชีวิตที่ดีมาหลายปีแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไรว่าปีนี้จะไปล้มอยู่ในมือของฮูหยินหลูเข้าเสียแล้ว
เรื่องนี้ถ้าหากถูกนายท่านรู้เข้าก็ยังไม่รู้จะกล่าวโทษตนเองว่าอย่างไร
ถึงแม้ว่าตัวเองจะได้รับความโปรดปรานจากนายท่าน แต่ถ้าหากเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตข้างหน้าของนายท่านแล้ว เช่นนั้นนายท่านจะต้องไม่มีทางปล่อยตนเองไปอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความคิดของหลิวซื่อก็เปลี่ยนไป ไม่มีความดูถูกเหยียดหยามในสายตาอย่างเมื่อครู่นี้อีก
หลิวซื่อรีบยิ้มอย่างประจบประแจงและพูดว่า “ฮูหยินหลูกล่าวอะไรเช่นนี้ พี่สาวนั้นเป็นคนของตระกูลหลู ในเมื่ออยากกลับไปอยู่ก็ย่อมได้ เนี่ยนโหรวนั้นจะกล้าห้ามได้อย่างไรกัน ต่อให้เป็นนายท่านเองก็ไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรมาก”
หลิวเนี่ยนโหรวรีบเปลี่ยนสีหน้าทันที เมื่อครู่นี้ยังยิ้มแย้มอย่างสดใส ทว่าตอนนี้ก็รีบกังวลขึ้นมาในทันที “เพียงแต่เนี่ยนโหรวนั้นเป็นห่วงสุขภาพของท่านพี่ ช่วงนี้ท่านพี่สุขภาพไม่ค่อยดี ถ้าหากกลับไปอย่างยากลำบากจนทำให้อาการของท่านพี่นั้นย่ำแย่ลงแล้วจะทำอย่างไร ทุกวันนายท่านกลับมาก็จะไปเยี่ยมท่านพี่ ถ้าหากท่านพี่กลับไปแล้ว นายท่านจะตามไปดูแลท่านพี่ได้อย่างไรกันล่ะ”
ฟางเพ่ยหยาได้ยินก็แค่นเสียงเย็น คิ้วนั้นก็ขมวดจนกลายเป็นก้อน
ท่านพ่อมาเยี่ยมท่านแม่หรือ!
ล้อเล่นหรือกระไรกัน
ท่านแม่นอนอยู่บนเตียงมาตั้งหลายวัน นางเคยเห็นท่านพ่อมาเยี่ยมท่านแม่ตั้งแต่เมื่อไรกัน
หากไม่ใช่เป็นเพราะนางเพิ่งบุกเข้าไปในห้องหนังสือของฟางเจิ้งสิง และขอให้เขาช่วยเหลือท่านแม่ เกรงว่าเขาคงไม่แม้แต่จะรับรู้ด้วยซ้ำว่าท่านแม่ป่วย
หลิวเนี่ยนโหรวลืมตาพูดคำโป้ปดขนาดนี้ได้ ช่างหน้าหนาเสียจริง!
ตอนนี้ฟางเพ่ยหยาอยากจะรีบพาท่านแม่ออกจากจวนตระกูลฟางให้ไวที่สุด นางไม่อยากสนใจหลิวเนี่ยนโหรวที่เอาแต่ตีสองหน้า จึงเอื้อมมือไปจับมือของฮูหยินหลูและก็เริ่มลืมตาพูดคำโป้ปด
“ท่านยาย ถ้าหากท่านพ่ออยากพบท่านแม่ เขาย่อมต้องไปเยี่ยมที่บ้านเดิม บ้านเดิมเองก็ไม่ใช่บ้านของท่านพ่อหรอกหรือ”
ฮูหยินหลูลูบหน้าผากของฟางเพ่ยหยา ยิ้มพลางพูดว่า “ใช่แล้ว เพ่ยหยาพูดถูก ประตูของตระกูลหลูนั้นเปิดให้ใต้เท้าฟางตลอด เข้าก็ขอให้ฮูหยินหลิวไปบอกกล่าวกับใต้เท้าฟางว่า หากต้องการพบเหวินซิน เขาจะไปที่ตระกูลหลูเมื่อใดก็ได้”
พูดจบก็จูงมือฟางเพ่ยหยาแล้วหมุนตัวจากไป ไม่มองดูใบหน้าของหลิวเนี่ยนโหรวที่ดำจนกลายเป็นก้นหม้อแล้ว
หลังจากที่พวกนางหายไปจากสายตา หลิวเนี่ยนโหรวก็โกรธจนทำลายชุดน้ำชาบนโต๊ะจนแตกละเอียด “เป็นแค่หงหลูซื่อชิงระดับสี่ คิดไม่ถึงว่าจะมาใช้อำนาจบาตรใหญ่ในจวนตระกูลฟาง”
ในเวลานี้ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมาตลอดก็เดินออกมา แต่ละคนหน้าดำคร่ำเครียดเหมือนกับก้อนถ่าน
“ท่านแม่ ตระกูลหลูนี่ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย” ฟางจู๋อวิ๋นเดินออกมาก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เหอะ! ใช่พวกเราเสียที่ไหนกัน แม้แต่บิดาของพวกเจ้าเอง พวกเขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา” หลิวซื่อโกรธจนกัดฟันกรอด แค่มองดูหลูเหวินซินถูกพาตัวไป ในใจก็รู้สึกอัดอั้นไม่สบายใจอย่างมาก
“ท่านแม่ หลูเหวินซินถูกพาตัวไปแล้ว เช่นนั้นแผนการของพวกเราจะทำอย่างไรดี” ฟางหลานซินขยำผ้าเช็ดหน้าในมือและพูดอย่างไม่สบายใจ
หลูเหวินซินถูกพาตัวไปแล้ว จะไปที่ไหนนั้นนางไม่ได้กังวล แต่สิ่งที่นางกังวลก็คือแผนการของพวกนางจะเปล่าประโยชน์หรือไม่
หลิวเนี่ยนโหรวขมวดคิ้ว จากนั้นก็คลายออกมาและหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “วิเศษ วิเศษมาก ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงกันนะ”
เมื่อเห็นหลิวเนี่ยนโหรวเดี๋ยวสักพักโกรธ เดี๋ยวสักพักหัวเราะ ทั้งฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นก็ตามไม่ทัน “ท่านแม่ ท่านหัวเราะอะไร”
หลิวเนี่ยนโหรวมีรอยยิ้มที่มุมปากพลางพูดว่า “ถ้าหากว่าตายในจวนตระกูลฟาง พวกเราอาจจะยังมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถ้าหากตายที่จวนตระกูลหลูเล่า? เช่นนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
“แต่ว่านางไปอยู่ที่ตระกูลหลูแล้ว แผนการของพวกเราจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรกัน” สีหน้าของฟางจู๋อวิ๋นเองก็กังวลด้วยเช่นกัน
“กลัวอะไรล่ะ ของที่นางชอบกิน ตระกูลฟางซื้อให้นาง ตระกูลหลูก็จะยังซื้อให้นางอยู่ดี” หลิวเนี่ยนโหรวพูดอย่างเย้ยหยันว่า “ก็แค่ดูว่าใครจะเป็นคนขาย”
พอฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นได้ฟังก็นึกขึ้นได้ในทันที เมื่อสบตากันก็เห็นถึงความยินดีในสายตาของอีกฝ่าย
ใช่แล้ว หลูเหวินซินอยากกินอะไร ตระกูลหลูก็จะยังซื้อให้อยู่ดี ขอเพียงแค่ตระกูลหลูซื้อแล้วหลูเหวินซินกินเข้าไป ชีวิตของนางนั้นก็ยังอยู่ในกำมือของท่านแม่
ถ้าหากหลูเหวินซินตายแล้ว ตำแหน่งภรรยาเอกที่ถูกต้องของท่านแม่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
เมื่อถึงเวลานั้น ท่านแม่ก็จะกลายเป็นภรรยาเอก พวกนางที่เป็นบุตรสาวอนุทั้งสองคนก็จะกลายเป็นบุตรสาวสายตรงแล้ว
บุตรสาวสายตรงของขุนนางระดับสอง เมื่อถึงเวลานั้นก็ลองดูว่าในเมืองหลวงจะยังมีผู้ใดกล้าดูแคลนพวกนางอีก
“เรื่องนี้พวกเจ้าก็ปล่อยให้มันเน่าอยู่ในท้อง ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องพูดมาก ถ้าหากพูดออกไป พวกเราก็คงไม่รอดกันแล้ว เพื่ออนาคตของพวกเจ้าทั้งสองคน ข้ายอมสละทุกอย่าง” หลิวเนี่ยนโหรวพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน
ฟางหลานซินและฟางจู๋อวิ๋นเองก็รีบร้อนพยักหน้า
เรื่องนี้ถ้าหากถูกคนอื่นรู้เข้าแล้ว พวกนางก็มีแต่ตายทางเดียวเท่านั้น จะพูดออกไปได้อย่างไร
พวกนางเติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม หลังจากที่เป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลฟางแล้ว ไม่แน่อาจจะได้เข้าวังไปเป็นสนมก็ได้ อนาคตในวันข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่นี้ พวกนางจะทำลายลงได้อย่างไรกัน