บทที่ 1008 เอ้อ ชื่นชอบรสชาติเลือดสดใหม่
เลือดสาดกระเซ็นโดยไร้สัญญาณเตือนใดแม้แต่น้อย จ้าวปริภูมิเวลาอีกสองคน รวมทั้งนักพรตกู่ และต้นหม่อนโบราณเปรอะไปด้วยสีชาด!
เสียงตุบดังขึ้น ร่างของจ้าวปริภูมิเวลาที่ถูกหอกโลหิตแทงร่วงลงพื้น ตายลงอย่างสิ้นเชิง ร่องรอยทั้งหมดสูญสลาย ธารปริภูมิเวลาที่ทอดยาวพลันพังทลาย เกิดปัญหาขึ้นกับปริภูมิเวลา!
ขั้นเจ็ดขอบเขตล้ำขีด กลับถูกสังหารในหอกเดียว ทั้งยังไม่มีสัญญาณใดล่วงหน้าแม้แต่น้อย นี่มันชวนให้หวาดกลัวเกินไปแล้ว!
รูม่านตาของนักพรตกู่หดลง เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ยกมือขึ้นเรียกศาสตรวิเศษนับพันออกมาเพื่อป้องกันตัว พลางมองไปรอบด้านอย่างตื่นตัวระแวดระวัง
จ้าวแห่งปริภูมิเวลาทั้งสองและต้นหม่อนโบราณรู้สึกตื่นกลัวยิ่งกว่า รีบรวมกลุ่มหันหลังใส่กันกลายเป็นรูปสามเหลี่ยม ไม่แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้าเสียด้วยซ้ำ!
“ผู้ใดกัน?!”
นักพรตกู่ตึงเครียดอย่างถึงที่สุด สีหน้าปรากฏความจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลังในร่างถูกเร่งจนถึงขีดสุด พร้อมโจมตีอย่างรุนแรงสุดชีวิตทุกเมื่อ!
อาวุธวิเศษนับหมื่นพันสั่นกระเพื่อม ทุกสิ่งต่างไหลเวียนด้วยพลังอันชวนน่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุด เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ต่างล้วนเป็นศาสตราล้ำขีด พลังอำนาจไม่อาจจินตนาการถึง!
“คัมภีร์ปริภูมิเวลา!”
จ้าวปริภูมิเวลาทั้งสองตะโกนเรียก ‘คัมภีร์ปริภูมิเวลา’ ออกมา นี่เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากอาจารย์ของพวกเขา ถูกอาจารย์เขียนขึ้นด้วยมือตนเอง พลังเกินยิ่งกว่าจะคิดถึง!
ทว่าน่าเสียดายที่จ้าวแห่งปริภูมิผู้หนึ่งสิ้นชีพลงไปแล้ว เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน เป็นการยากที่จะใช้งาน ‘คัมภีร์ปริภูมิเวลา’ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
‘คัมภีร์ปริภูมิเวลา’ จำเป็นต้องใช้การร่วมมือของพวกเขาทั้งสามเพื่อเปิดใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ฟิ้ว!
กิ่งต้นหม่อนโบราณกวัดแกว่ง ทั่วทั้งลำต้นเปล่งประกายแวววาวเป็นพิเศษ ใบหม่อนคมประหนึ่งโลหะสะท้อนแสงเย็นเยียบ
มันอยู่ในสภาวะเตรียมต่อสู้ ทุกใบหม่อนมีพลังไหลเวียน น่ากลัวอย่างยิ่ง!
ตู้ม!
สิ่งมีชีวิตบางอย่างย่างกรายมาถึง น่าประหวั่นสุดขีด เพียงแค่ลมหายใจที่แผ่กำจายออกมาก็ถึงกับทำให้ทั้งตำหนักปริภูมิเวลาโบราณพังทลาย แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ!
ร่างของมันเป็นสีแดงก่ำ ผิวหนังประหนึ่งถูกเผาไหม้ ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ มีขาแมงมุมสี่ขา ปีกกระดูกแปดข้าง ดวงตามีแต่ลูกตาดำนอกเหนือจากนี้ล้วนไร้สิ่งใด
“เป็นเจ้า!”
หลังจากได้เห็นสิ่งมีชีวิตตนนั้น ทั้งร่างของนักพรตกู่พลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัว
นี่คือสำนึกโรคตนนั้น!
ครั้งหนึ่งมันเคยต่อสู้กับเขา ทั้งยังทุบตีจนหัวใจเต๋าของเขาพังทลาย เกิดความหวาดกลัวอันไร้ที่สิ้นสุดต่อสำนึกโรคนี้ มันคือเอ้อ!
“ความทรงจำไม่เลวนี่ ยังจำข้าได้ด้วย”
เอ้อเอ่ยออกมาด้วยเสียงไม่น่าฟังอย่างยิ่ง เสียงประหนึ่งโลหะเสียดสีเข้าหากันอย่างรุนแรง ชวนให้ผู้ได้ยินไม่สบายหู
ร่างของนักพรตกู่สั่นสะท้าน แทบไม่อาจควบคุมศาสตราวิเศษนับหมื่นพันเอาไว้ได้อีกต่อไป พวกมันสั่นไหวอย่างรุนแรง ประกายแสงริบหรี่ลงราวกับสามารถร่วงหล่นลงไปเมื่อใดก็ได้
เขาจะลืมได้อย่างไร?
นี่เป็นสำนึกโรคแรกที่เขาพบ ทั้งยังเป็นสำนึกโรคเพียงหนึ่งเดียว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือการถูกทุบตีอย่างแรง ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจ หนีไปทุกหนแห่งไม่กล้าโผล่หน้าออกมาอีก
เขาเคยเทิดทูนเคารพอาจารย์อย่างถึงที่สุด ไม่ฝ่าฝืนคำพูดของอาจารย์ เชื่อฟังและปฏิบัติตามมาโดยตลอด
ทว่าหลังจากถูกเอ้อทุบตีอย่างรุนแรง เขาพลันเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา สุดท้ายจึงขัดความต้องการของอาจารย์ ร่วมมือกับสามมหากาฬปรโลก จ้าวแห่งปริภูมิเวลาทั้งสาม และต้นหม่อนโบราณ หมายแย่งชิงวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่อาจารย์ทิ้งเอาไว้
“ข้าเห็นกองทัพหุ่นเชิดปรากฏออกมา กะไว้แล้วว่าต้องเป็นเจ้า พอมาดูที่นี่ ก็พบว่าเป็นเจ้าจริง ๆ”
เอ้อส่งเสียงหัวเราะ เสียงหัวเราะนี้ไม่อาจทนฟังได้เสียยิ่งกว่าเสียงร้องไห้ นับได้ว่าเป็นการทรมานจิตใจอย่างหนึ่ง เสียงนี้ทรมานคนมากเกินไปจริง ๆ
หากเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขอบเขตต่ำกว่านี้ เพียงแค่พังเสียงของมัน เกรงว่าก็เปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง หัวใจเต๋าพังทลายลงได้แล้ว
“สุดท้ายก็ยังไม่อาจป้องกันได้!”
นักพรตกู่เอ่ยเสียงเศร้ารันทด พวกเขาได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ป้องกันไม่ให้สำนึกโรคมาสังหารพวกเขาได้
ตำหนักปริภูมิเวลาโบราณถูกพวกเขาเตรียมการจะตัดขาดออกจากสถานที่ต่าง ๆ อยู่ภายในปริภูมิเวลาไม่หยุดนิ่ง ทว่าท้ายสุดยังไม่ได้ผล เอ้อยังสามารถเข้ามาสังหารพวกเขาได้
“ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำได้เพียงความว่างเปล่า ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว สุดท้ายกลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง…”
เขาล้มเหลวในการจัดการหลี่จิ่วเต้า ทั้งยังเคราะห์ร้ายถูกเอ้อตามตัวพบ อารมณ์ของเขาดำดิ่งเศร้าตรมมากยิ่งขึ้น
“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น พวกเจ้ายังเปลี่ยนแปลงบางสิ่งอย่าง เช่นทำให้ข้ารู้เรื่องของหลี่จิ่วเต้า”
เอ้อโบกมือ หอกโลหิตที่ปักอยู่บนหัวจ้าวปริภูมิเวลาผู้ล่วงลับแล้วลอยกลับเข้าไปอยู่ในมือของมัน
บนปลายหอกเต็มไปด้วยเลือด มันแลบลิ้นยาวออกมาเลียเลือดเหล่านั้นสะอาดหมดจด
“อร่อยยิ่งนัก…”
มันแสดงท่าทางเปี่ยมด้วยความพึ่งพอใจออกมา “ชั่วระยะเวลายาวนานที่ผ่านมานี้ ไม่รู้ว่าข้าได้ดื่มเลือดสิ่งมีชีวิตไปมากน้อยเพียงใดแล้ว ทว่าล้วนรสชาติไม่ได้เรื่อง ไม่อร่อยสักนิด ยังคงเป็นเลือดของเหล่าศิษย์อย่างพวกเจ้าถึงจะอร่อย!”
สำนึกความคิดบางตนโหดเหี้ยมนัก มันกระหายเลือดยิ่ง ทุกครั้งที่สังหารจะต้องดื่มเลือดจึงจะดื่มด่ำเพลิดเพลินได้
“นับดูแล้ว ตอนนี้ข้าดื่มเลือดเหล่าศิษย์ไปแปดคนได้”
“ตาย!”
ต้นหม่อนโบราณไม่อาจทนรับต่อไปได้ เริ่มโจมตีใส่เอ้อ
ทั้งคำพูดและท่าทางของเอ้อทำให้เขาต้องทนทรมานมาก ภายในใจกดดันอย่างถึงที่สุด
มันไม่สงสัยเลย หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน สูญเสียความกล้าในการต่อกรกับเอ้ออย่างแน่นอน
ดังนั้น มันจึงเปิดการโจมตีเอ้อตั้งแต่ที่มันยังคงมีความกล้าอยู่
ฟิ้ว!
ใบหม่อนจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาราวสายฝน แต่ละใบราวเป็นโลหะไหลเวียนด้วยเต๋าและกฎเกณฑ์อันทรงพลังม้วนเต็มผืนฟ้า พุ่งตรงไปทางเอ้อทันที
“ต้นไม่มีเลือดหรือไม่? จะอร่อยหรือเปล่า?”
เอ้อมองดูต้นหม่อนโบราณพร้อมเลียริมฝีปากเอ่ยออกมา “เจ้าเป็นต้นหม่อนที่คนผู้นั้นปลูกขึ้นมาด้วยมือ คาดว่าเลือดของเจ้าน่าจะหอมอร่อยเป็นอย่างยิ่ง”
ปีกระดูกด้านหลังของมันขยับไหว ใบหม่อนจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาถูกพัดปลิวในพริบตา หายไปอย่างสิ้นเชิงไม่รู้ว่าโดนพัดไปที่ใด ประหนึ่งไม่เคยปรากฏออกมา
“เจ้า!”
ต้นหม่อนโบราณสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ใบหม่อนจำนวนนับไม่ถ้วน ทุกใบต่างถูกมันหล่อหลอมตลอดระยะเวลาอันยาวนั้น ทั้งหมดถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ศาสตราสังหารอันทรงพลัง สิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่ำกว่าขั้นขอบเขตล้ำขีดลงไป กระทั่งหนึ่งใบไม้ก็สกัดไม่ได้ ถูกสังหารลงภายในพริบตา
ส่วนใบหม่อน ทั้งหมดโจมตีออกไปพร้อมกันนั้นสิ่งมีชีวิตขั้นแปดขอบเขตล้ำขีดล้วนต้องบาดเจ็บหนัก
ทว่าเอ้อกลับเพียงแค่ขยับปีกครั้งเดียว ใบหม่อนทั้งหมดพลันถูกจัดการสิ้น
มันสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ความเชื่อแทบพังทลายลง สามารถสัมผัสได้ถึงความต่างชั้นอย่างชัดเจน ไม่มีความกล้าจะต่อสู้อีก
“ตาย!”
จ้าวปริภูมิเวลาทั้งสองลงมือ ‘คัมภีร์ปริภูมิเวลา’ พลิกออกอย่างรวดเร็ว หลั่งไหลด้วยจังหวะเต๋าขั้นสุดอันมีต้นที่มาจากร่างผู้เบิกทาง
จังหวะเต๋านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดก็สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน กระทั่งสิ่งมีชีวิตขั้นแปดขอบเขตล้ำขีดก็ต้องถูกกดจนไม่อาจเงยหัวขึ้นมาได้
ขณะเดียวกันยังมีวิถีปริภูมิเวลาปะทุออกมา ต้องการจะม้วนเอ้อเข้าไปด้านในปริภูมิเวลา จมอยู่ในกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุดจนสูญสิ้น
“สิ่งนี้ไม่อาจคุกคามข้าได้ ข้าแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้ามาก แม้จะกำเนิดมาจากคนผู้นั้น”
เอ้อน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ไม่ได้รับความกดดันจากจังหวะเต๋า และก็ไม่ได้ถูกพลังปริภูมิเวลาม้วนเข้าไป
มันยกมือขึ้นชูหอกโลหิตขึ้นมา แสงสีแดงก่ำนับร้อยล้านเส้นระเบิดออกพุ่งทะลุ ‘คัมภีร์ปริภูมิ’ เวลาทันที
จ้าวปริภูมิเวลาทั้งสองที่มีความเชื่อมโยงกับคัมภีร์ร่างสั่นสะท้าน กระอักเลือดจากปากไม่หยุด ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ตายเสีย ข้าทนรอที่จะได้ดื่มเลือดของพวกเจ้าไม่ไหวแล้ว!”
ดวงตาของเอ้อเปล่งประกายด้วยความกระหาย เขาคอยให้ความสนใจอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่อดทนไม่ไหว แต่ก็ยังคงค่อย ๆ ลงมือทีละคน
ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว มันก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ตรงเข้ามาทันที
นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เลือดของต้นหลิวและเจ้าก้อนหินทำให้มันยิ่งคิดกระหายอยาก ส่วนหลี่จิ่วเต้านั้นไม่ต้องพูดถึงเลย กลายเป็นอันดับหนึ่งในเป้าหมายเลือดที่ต้องการดื่มของมันแล้ว!
ฟิ้ววว!
หอกโลหิตพุ่งถลาตรงไปทางจ้าวปริภูมิเวลาทั้งสองกับต้นหม่อนโบราณ ต้องการจะสังหารทั้งหมดทิ้ง
ขณะนั้นเองนักพรตกู่ลงมือ พลังขั้นเก้าขอบเขตล้ำขีดทั้งหมดระเบิดออกมา ศาสตราวิเศษนับหมื่นพันเปล่งแสงลุกโชน พลังผันผวนอันน่าตื่นตะลึงหลั่งไหลออกมา พุ่งเข้าปะทะกับหอกโลหิต!
“น่าสนใจดี คิดว่าเจ้าไม่กล้าสู้กับข้าแล้วเสียอีก ข้ายังจำตอนที่เจ้าวิ่งหนีสุดชีวิตได้ชัดเจนเป็นอย่างมาก”
เอ้อมองไปทางนักพรตกู่ด้วยความคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
“ข้าไม่กล้าสู้กับเจ้าจริง ๆ ทว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีเพียงแต่ต้องสู้! ข้าอยาก…อยากจะมีชีวิตต่อไป!”
ร่างของนักพรตเต๋าไม่สั่นอีกต่อไป หลังยืดเหยียดตรง
เขามีลางสังหรณ์ว่าครั้งนี้ตนเองยากจะหนีพ้น หากหนีไม่พ้นหนทางเดียวที่เหลือคือความตาย!
ส่วนเรื่องการร้องขอความเมตตานั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เขาตระหนักชัดเป็นอย่างดี สำหรับความคิดเหล่านี้มีเพียงเป้าหมายเดียว นั้นคือการทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง!
เอ้อไม่มีทางปล่อยเขาไป!
เขาไม่อยากตาย ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อ ความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่ต่อทำให้เขาสามารถเอาชนะความหวาดกลัวภายในใจได้ กล้าพอจะต่อสู้กับเอ้อ!
ตู้ม!
เสียงระเบิดกัมปนาทดังขั้น เขาไม่เก็บงำสิ่งใดเอาไว้ ใช้พลังทั้งหมดออกมา หนึ่งคือการต่อสู้เป็นตาย ไม่เขาที่ตายก็เป็นเอ้อที่ตาย
ศาสตราวิเศษนับหมื่นพลันไหลเวียนด้วยกฎเกณฑ์พุ่งตรงเข้าใส่เอ้อ นักพรตกู่ไม่เสียดายศาสตราวิเศษแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ใช้ศาสตราวิเศษเหล่านี้เท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความเสียหายให้เอ้อได้บ้าง!
เขาไม่เคยคิดสักนิดว่าศาตราวิเศษเหล่านี้จะสังหารเอ้อได้ กระทั่งทำให้บาดเจ็ดสาหัสยังไม่คิดเสียด้วยซ้ำ
สิ่งเหล่านั้นเกินจริงไป ไม่มีทางเกิดขึ้น เอ้อน่าสะพรึงกลัวเพียงใด เขารู้สึกเป็นอย่างดีตั้งนานแล้ว
ศาสตราวิเศษเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายเล็กน้อยให้กับเอ้อได้ เขาก็พึงพอใจมากแล้ว
น่าเสียดาย เรื่องราวไม่เป็นดังคาด ศาสตราวิเศษนับพันหมื่นไม่อาจกระทั่งถึงตัว เอ้ออ้าปากพ่นทะเลสายฟ้าสีดำออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมศาสตราวิเศษนับหมื่นพัน ท่ามกลางสายฟ้าที่ร้องดังอย่างต่อเนื่อง ศาสตราวิเศษทั้งหมดถูกทำลายสิ้นไม่เหลือแม้ชิ้นเดียว!
นักพรตกู่ลงมือใช้วิชาลับออกมา ต้องการสังหารเอ้อในครั้งเดียว เข้าประชิดใช้ฝ่ามือตบใส่เอ้อ
กรวม!
ปฏิกิริยาตอบสนองของเอ้อนั้นอยู่เหนือมนุษย์ กัดออกไปด้านหน้าหนึ่งคำกลืนร่างนักพรตกู่เข้าไป
ปากของมันกัดเคี้ยวลงไป วิชาลับระเบิดในปากมัน ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่เป็นอันใดแม้แต่น้อย ไม่ได้รับความเสียหายอะไร
นักพรตกู่ตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด เอ้อน่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าตอนก่อนหน้า!
ความน่าสะพรึงกลัวนี้สืบทอดมาจากคนผู้นั้น พลังพัฒนาต่อเนื่องไม่หยุด ทั้งยังรวดเร็วเป็นอย่างมาก!
“ตาย!”
“ก่อนตายสามารถตีมันได้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว!”
จ้าวปริภูมิเวลาทั้งสองและต้นหม่อนโบราณกู่ร้องออกมา รู้ดีว่าไม่มีหนทางถอย พวกมันระเบิดพลังทั้งหมดออกมา จุดประกายแก่นกำเนิดชีวิตในร่างกาย ใช้สิ้นทุกสิ่งพุ่งตรงไปทางเอ้อ
พริบตานั้นเอง พลังทางฝั่งพวกเขาพลันปะทุขึ้นในพริบตา แก่นกำเนิดชีวิตทั้งหมดถูกจุด พลังการต่อสู้พุ่งขึ้นจากขั้นที่เจ็ดเป็นขั้นที่แปดขอบเขตล้ำขีด
“ซ่อนตัวอย่างคับข้องใจมาเกินครึ่งชีวิต สุดท้ายจะตายต้องตายอย่างสบายใจ! ฆ่า!”
นักพรตกู่ระเบิดออกมา ร่างกายเปล่งประกาย เขาเองก็เผาผลาญแก่นกำเนิดชีวิตในร่างตนเองด้วย ไม่เหลือหนทางถอยหนี พุ่งตรงไปใส่เอ้อ
พลังการต่อสู้เขาเองก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน ก้าวสู้จุดสูงสุดขั้นเก้าขอบเขตล้ำขีด ห่างจากขั้นสิบไปเพียงไม่กี่ก้าว ใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง
สูงสุดขั้นเก้า จวนแตะขั้นสิบขอบเขตล้ำขีด นับว่าเป็นการยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง!
ตู้ม!
พวกเขาสู้อย่างสุดชีวิต ฉากนี้กล่าวได้ว่าน่ากลัวนัก น่ากลัวเสียยิ่งกว่าวันโลกาวินาศมาเยือน ทำลายล้างได้ทั้งสวรรค์และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
เอ้อเอ่ยด้วยสีหน้าไม่แยแส ก่อนจะแย้มยิ้มกว้างแล้วหัวเราะออกมา “คราวนี้ข้าจะได้เพลิดเพลินได้…”
หอกโลหิตถูกกวัดแกว่ง พลังอันเกินกว่าจินตนาการกระเพื่อมไหว แสงสว่างวาบเบื้องหน้านักพรตกู่ ต้นหม่อนโบราณ และจ้าวแห่งปริภูมิเวลาอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นหอกโลหิตก็พลันพุ่งทะลุหัวของนักพรตกู่ ต้นหม่อนโบราณ และจ้าวแห่งปริภูมิเวลาทั้งสองทันที จบชีวิตของทั้งสี่ลงในอึดใจ
ฉากอันน่าตื่นตะลึงจบสิ้นลงในบัดดล ฟ้าดินกลับสู่ความสงบ นักพรตเต๋า ต้นหม่อนโบราณ และจ้าวปริภูมิเวลาทั้งสองล้มลงทีละคนจนหมดสิ้น
แม้พวกเขาจะสู้สุดชีวิต เผาผลาญแก่นกำเนิดชีวิตทั้งหมด ทว่าก็ยังไม่มีสิ่งใดน่าเอ่ยต่อหน้าเอ้อ เพียงแค่ออกหอกหนึ่งครั้ง เอ้อก็สังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
หอกโลหิตเปื้อนเลือดนักพรตกู่ ต้นหม่อนโบราณ และสองจ้าวปริภูมิเวลาลอบกลับไป เอ้อแลบลิ้นยาวเลียเลือดด้านบนจนหมดสิ้น
“อร่อยนัก!”
ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความพึงพอใจ สุดท้ายมันก็ดูดเลือดทั้งหมดในร่างนักพรตกู่ ต้นหม่อนโบราณ และจ้าวปริภูมิเวลาทั้งสองจนเกลี้ยง
ไม่รู้ว่ามันอดอยากเลือดรสเลิศมานานเพียงใด ตอนนี้มันพึงพอใจอย่างมากจนไม่ต้องการทำสิ่งใดเลย
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะหยุดมือ
“ยังมีของอร่อยยิ่งกว่ารอข้าอยู่ ไม่อาจหยุดเท่านี้ได้!”
มันยิ้มกว้าง ถือหอกโลหิตออกจากสถานที่แห่งนี้
ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินเองก็เป็นเป้าหมายของมัน อีกทั้งยังมีหลี่จิ่วเต้าที่เป็นเป้าหมายสูงสุด!
“ไป!”
ร่างของมันหายไปจากสถานที่แห่งนี้ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงส่วนลึกของจักรวาลดวงดารา
ส่วนลึกจักรวาลดวงดารา ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินกำลังจะกลับไป ทว่าตอนนั้นเองเอ้อพลันปรากฏเบื้องหน้าพวกเขา
“พวกเจ้าจะไปที่ใด?”
เอ้อมองไปทางต้นหลิวกับเจ้าก้อนหินแล้วเอ่ยออกมา “หนึ่งต้นหลิว หนึ่งก้อนหิน ต้นหลิวข้ารู้ว่าย่อมมีเลือด แต่ก้อนหินมีเลือดหรือไม่? น่าจะมีเช่นกัน แก่นแท้ในร่างย่อมเป็นเลือด”
มันให้ความสนใจสถานการณ์มาโดยตลอด รับรู้ถึงพลังของต้นหลิวและเจ้าก้อนหิน ทว่ามันไม่กลัวแต่อย่างใด
แม้หลี่จิ่วเต้าที่อยู่เบื้องหลังก้อนหินและเจ้าก้อนหินจะน่ากลัวยิ่งกว่า แต่มันเองก็ไม่กลัว
หากมันกลัว มันคงไม่ปรากฏตัวออกมาที่นี่
“ยังมีของไม่ดีอยู่อีกตัว!”
เจ้าก้อนหินยิ้มเย้ย “เจ้ารู้หรือไม่? ข้าเคยเห็นคนเช่นเจ้ามาไม่น้อย กล้าดีอย่างไรถึงปรากฏตัวที่นี่ ต้องการส่งตัวเองสู่หนทางตายอย่างนั้นหรือ?”
“ส่งตัวเองสู่หนทางตาย?”
เอ้อเอ่ยด้วยเสียงเสียดหูไม่น่าฟัง “พวกเจ้ามีความสามารถพอทำเช่นนั้นหรือ?”
มันมั่นใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง!