บทที่ 1186 ตอนพิเศษ (68.1)
หยางชิงซือเดินออกมา ทั้งยังเอ่ยเรียกซ่งซื่อหนึ่งคำ “ท่านแม่”
ซ่งซื่อกล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้น ดึงหยางชิงซือไปหา ก่อนจะยกยิ้มราวกับทาสหน้าประตูหอเมามายอย่างไรอย่างนั้น
“ชิงซือ แม่รู้ว่าเจ้าวาสนาดี แน่นอนว่า บ้านพวกเราเจ้าดูอนาคตสดใสที่สุดแล้ว ตอนนี้ซู่เกินได้เป็นขุนนาง เจ้าก็ได้เป็นฮูหยินขุนนาง เช่นนั้นพ่อแม่ย่อมมีวาสนาแล้วเช่นกัน”
หยางชิงซือดึงมือออกแล้วกล่าว “ท่านแม่ ซู่เกินไม่ได้เป็นขุนนาง ตอนนี้เขาเพียงจัดการธุระให้ผู้อื่น”
“เจ้าอย่าบ่ายเบี่ยงข้าหน่อยเลย ข้าได้ยินแล้ว บุรุษที่นังหนูจิ่วจู๋ผู้นั้นแต่งด้วยไม่ใช่ทาส หากแต่เป็นลูกชายคนเล็กของท่านอ๋องลู่ ได้ยินว่าคุณชายน้อยลู่ผู้นั้นถูกศัตรูคิดร้าย ถึงได้จับพลัดจับผลูมาอยู่ที่บ้านนอกของเรา แน่นอนว่า ตอนนี้เขาต้องกลับไปสกุลลู่ ด้วยตัวตนของหลิวจิ่วจู๋ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่นางจะกลายเป็นภรรยาเอก เพียงแต่นี่ไม่สำคัญ สกุลลู่มีอำนาจเพียงนั้น แม้จะเป็นเพียงอนุผู้หนึ่งก็ยังสามารถเดินเชิดหน้าชูคอในอาณาจักรฮุ่ยได้ หากจิ่วจู๋ท้องโต คลอดลูกชายผู้หนึ่ง ลูกสาวผู้หนึ่งให้กับสกุลลู่ได้ เช่นนั้นสกุลลู่จะไม่ซาบซึ้งต่อน้ำใจนี้ของนางหรือ?”
ซ่งซื่อยังคงพูดต่อไป
สตรีบ้านนอกผู้หนึ่งที่ไม่รู้หนังสือกลับมี ‘หลักการสำคัญ’ มากมายออกมาจากปาก ไม่รู้ว่านางไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด ทั้งยังจดจำหลักการเหล่านี้จนขึ้นใจ นับว่าประเมินนางต่ำไปแล้ว
“ท่านแม่ คนที่แต่งให้คุณชายน้อยลู่ไม่ใช่ข้า ท่านมาบอกข้าเรื่องนี้มีประโยชน์อะไร?”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร?” ซ่งซื่อเอ่ย “เจ้ากับจิ่วจู๋เป็นพี่น้องกัน ตอนนี้นางได้ดี เจ้ายังจะไม่ติดตามรุ่งโรจน์ไปกับนางหรือ? หากเจ้ารุ่งโรจน์แล้ว บ้านเราย่อมได้ดิบได้ดีตามไปด้วย พาพี่ชายน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเจ้า…”
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” หยางชิงซือขัดจังหวะซ่งซื่อ
ซ่งซื่อสังเกตเห็นว่าท่าทีของหยางชิงซือไม่ถูกต้อง ในใจพลันมีลางสังหรณ์ขึ้นมา
“เจ้าคิดจะพูดอะไร?”
“ข้าคิดจะบอกท่าน จิ่วจู๋แต่งงานได้ดีก็เป็นเรื่องของจิ่วจู๋ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า นอกจากนี้ สามีข้าเป็นเพียงเด็กทำธุระให้สามีจิ่วจู๋ ข้าจึงไม่ใช่ฮูหยินขุนนางอะไร ท่านอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนต่อหน้าผู้อื่น เรื่องสำคัญที่สุดคือ ข้ากับพี่ชายจะไปเมืองหลวง พวกเราจะทิ้งเงินก้อนหนึ่งไว้ให้พวกท่าน ท่านกับท่านพ่ออายุมากแล้ว ไม่สะดวกเดินทางไกล พวกท่านก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ดี ๆ เถอะ”
“เจ้ากับพี่ชายเจ้าจะไป ไม่ต้องการข้ากับพ่อเจ้าแล้วหรือ?!” ซ่งซื่อตะโกนเสียงแหลม “พวกเราทำงานหนักมาก คลอดพวกเจ้า เลี้ยงดูพวกเจ้า ยามแก่เฒ่ายังต้องถูกพวกเจ้ารังเกียจอีกหรือ!”
“ท่านแม่ ท่านก็รู้นิสัยข้าดี ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้ว ท่านจะโวยวายเพียงใดก็ไร้ประโยชน์” หยางชิงซือมองมารดานิ่ง ๆ “สิ่งที่ท่านทำได้ตอนนี้มีเพียงต่อรองกับข้าเท่านั้น”
ดวงตาของซ่งซื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“ไม่คิดจะปรึกษากันเลยหรือ?”
“ท่านว่าอย่างไรเล่า?”
“เจ้าเกลียดข้ากับพ่อเจ้ามากเพียงนี้เชียว?”
“ท่านทำอย่างไรกับข้าและพี่ชายคงไม่ต้องให้เอ่ยเตือนกระมัง?” หยางชิงซือกล่าว “มากความไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านเพียงแค่บอกมาว่าต้องการเงินมากน้อยเพียงใดก็พอ!”
“หนึ่งพันตำลึง”
“ท่านแม่ ข้ากับพี่ชายไม่ใช่คนใช้จ่ายเงินง่าย ๆ นอกจากนี้ สามีข้าเป็นเพียงเด็กทำธุระ ไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ท่านล้อเล่นข้าเล่นหรือ?” หยางชิงซือเหน็บแนม “ข้ากับพี่ชายให้คนละห้าสิบตำลึงเท่านั้น”
“พวกเจ้าไปเที่ยวนี้คงไม่คิดจะกลับมากระมัง? ข้ากับพ่อเจ้าไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ พวกเจ้าจะให้พวกเราเพียงแค่ห้าสิบตำลึงหรือ?” ซ่งซื่อกล่าว “ห้าร้อยตำลึง”
“หกสิบตำลึง…”
“หยางชิงซือ!”
“ท่านแม่ แม้ข้ากับพี่ชายจะไปเลยไม่ให้พวกท่านแม้แต่อีแปะเดียว พวกท่านก็ทำอะไรเราไม่ได้” หยางชิงซือเอ่ย “เพียงแต่ข้ากับพี่ชายย่อมไม่อกตัญญู ท่านก็เห็นแล้ว พวกเราก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้อยู่ดีอะไร ในมือมีเงินไม่มากนัก เจ็ดสิบตำลึง… คนละเจ็ดสิบตำลึง รวมเป็นเงินหนึ่งร้อยสี่สิบตำลึง ท่านกับท่านพ่อนำเงินเหล่านี้ไปซื้อที่นากับทรัพย์สินไว้ ขอเพียงไม่ใช้เงินมั่วซั่ว ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอีก”
“หนึ่งร้อยตำลึง” หยางฟู่ที่เงียบมาโดยตลอดเปิดปากขึ้น
“ไม่ได้” ซ่งซื่อตะโกน “น้อยเกินไปแล้ว”
“หนึ่งร้อยตำลึงต่อพวกเจ้าในตอนนี้มากเกินไปหน่อย ทว่าหลังจากพวกเจ้าไปยังเมืองหลวง ขอเพียงพวกเจ้าเกาะขาหลิวจิ่วจู๋ให้ดี เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไม่นับเป็นอะไร” หยางฟู่กล่าว “ข้ากับแม่ของเจ้าไม่เหมือนกัน พวกเราแก่แล้ว ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีความสามารถอย่างคนหนุ่มสาว หนึ่งคนหนึ่งร้อยตำลึง รวมเป็นสองร้อยตำลึง แลกกับการไม่มีพวกเจ้าเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า นี่คุ้มค่ามากกระมัง?”
หยางชวนฝืนใจ
หยางฟู่กับซ่งซื่อแก่แล้ว ในฐานะลูกชายลูกสาวหากไม่สนใจบิดามารดา ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการไม่กตัญญู ในยุคสมัยนี้ที่นี่ความกตัญญูสำคัญยิ่งยวด เขาจึงรู้สึกผิด
ทว่าหยางฟู่กลับเอ่ยคำพูดที่ทำให้ความรู้สึกผิดในใจของเขาหายไป
หยางฟู่คำนวณชัดเจนราวกับพวกเขาไม่ใช่ครอบครัว หากแต่เป็นผู้ทำการค้า อีกฝ่ายคำนวณทุกอย่างเป็นผลประโยชน์ แทบทนไม่ไหวที่จะแลกเปลี่ยนเงินตรากับความสัมพันธ์พ่อลูก
ในเมื่อเป็นผลประโยชน์ เช่นนั้นเขาที่เป็นลูกชายผู้นี้ย่อมไม่มีอะไรจะกล่าว ตอนนี้หนึ่งร้อยตำลึงถือว่าค่อนข้างมากสำหรับเขา เขานำออกมาไม่ได้ ทว่าน้องหญิงบอกแล้ว นางยินดีให้เขายืม
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้คือถนนแห่งความรุ่งโรจน์ไปสู่เมืองหลวง หยางชวนไม่รู้ว่าเบื้องหน้ามีอันตรายมากมายเพียงใดรออยู่ ทว่ารู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา หากพลาดโอกาสนี้ ย่อมไม่มีโอกาสหน้าอีก ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะรออยู่ข้างหน้า เขาก็ไม่มีทางถอยหลังกลับ
เขาต้องไปเมืองหลวง!
“ได้ หนึ่งร้อยตำลึง!” หยางชวนเอ่ย “ตอนนี้ข้านำออกมาไม่ได้ ทว่าไม่ว่าจะต้องหยิบยืมผู้ใด ข้าก็จะจ่ายเงินก้อนนี้ พวกท่านไม่มีทางลำบาก”
หยางชิงซือจ่ายเงินสองร้อยตำลึงต่อหน้าพ่อแม่
ซ่งซื่อสีหน้าไม่น่าดูชม มองนางอย่างโกรธเกรี้ยว “ยังจะบอกว่าไม่มีเงิน ดูตอนเจ้านำเงินสองร้อยตำลึงนี้ออกมาสิ ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเสียด้วยซ้ำ เกรงว่าในมือเจ้าคงไม่ได้มีเงินเพียงเล็กน้อยนี่กระมัง?”
“หากท่านคิดว่ามันน้อยไป ไม่ต้องการแล้ว ข้าเอาคืนก็ได้” หยางชิงซือยื่นมือออกไป
ซ่งซื่อหยิบตั๋วเงินใส่แขนเสื้อ เบ้ปากกล่าว “หากให้เจ้าแล้ว ข้ากับพ่อเจ้าเกรงว่าจะไม่ได้ประโยชน์แม้เพียงน้อยนิด”
“มีอะไรอีกหรือไม่? หากไม่มี พวกเราต้องเก็บข้าวของแล้ว”
“จะไปเร็วเพียงนี้เชียวหรือ? จะไม่พาข้ากับพ่อเจ้าไปด้วยจริง ๆ หรือ?”
“เมืองหลวงอยู่ใต้พระบาทฮ่องเต้ ผู้ใดก็ตามที่ท่านพบเห็นอาจเป็นผู้สูงศักดิ์ ที่นั่นการตัดศีรษะเป็นเรื่องปกติ หากพวกท่านต้องการไปก็สามารถทำได้”
“พวกเราไม่ไป!” หยางฟู่กล่าว
ซ่งซื่อจ้องมองสามี “หากไปได้ เหตุใดจะไม่ไป? นางจงใจทำให้เรากลัว ฟังไม่ออกหรือ?”
“นางไม่อยากให้เราไปที่นั่น หากพวกเราไป วันหนึ่งนางจะทิ้งพวกเราไว้ข้างหลัง เกรงว่าแม้กระทั่งร่างกายก็ยังไม่อาจรักษาไว้ได้ เมื่อมีเงินแล้ว พวกเราอยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ชีวิตเช่นนี้ไม่ได้มีอะไรไม่ดี พวกเราเพียงปล่อยพวกเขาไปรุ่งเรืองมั่งคั่ง พวกเราอยู่ที่นี่ไม่หิวไม่หนาวก็ดีโขแล้ว” หยางฟู่สาวเท้าจากไป
หลังจากซ่งซื่อกับหยางฟู่ไม่ตามรบเร้า หยางชวนจึงแจกจ่ายของที่บ้านให้กับคนในหมู่บ้าน