บทที่ 1397 แสงสนธยา
เฉินซีกระอักเลือดจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว สิ่งนั้นทำให้หัวใจของหลิงชิงอู๋และเยี่ยถังปวดแปลบด้วยความกังวลยิ่ง
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่อาจเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ ความกังวลใจจึงกลายเป็นเพียงเรื่องไร้ประโยชน์เท่านั้น ยังไม่ทันได้ฟื้นจากอารามตกใจ หุ่นเชิดศึกภพอดีตก็เริ่มโจมตีเฉินซีอีกครั้ง หมัดสีแดงเลือดของมันโปร่งแสงวับวาบราวอัญมณี ทว่าเมื่อฟาดฟันลงมา ความน่ากลัวของมันก็ยิ่งสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์เป็นไหน ๆ
กำปั้นนี้เต็มไปด้วยสายใยของปราชญ์เต๋าแห่งโลหิต ทั้งทรงพลังและไร้เทียมทานเกินกว่าใครจะเทียบได้
สีหน้าของเฉินซีบัดนี้เคร่งขรึมลงอย่างมาก แสงอันไพศาลแห่งปราณเซียนพิสุทธิ์แผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย กระบี่เซียนนภาม่วงอาบไล้ด้วยกระแสน้ำนับอนันต์ ขณะที่มันเคลื่อนตัวออกไปราวแม่น้ำแห่งดวงดาวที่โหมกระหน่ำ ก่อนจะเข้าปะทะกับพลังหมัดสีแดงวาวโรจน์ด้วยความรวดเร็ว
โครม!
เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมาปะทุขึ้นระหว่างพลังทั้งสอง มันยิ่งใหญ่กว่าการปะทะเมื่อก่อนหน้าเป็นไหน ๆ คล้ายกับฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย เศษฝุ่นละอองควันทั้งหลายลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าราวถูกฉุดกระชาก ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบแสนลี้ตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลครั้งใหญ่
อ๊อก!
การโจมตีครั้งนี้ทำให้เฉินซีกระอักเลือดอีกครั้ง ร่างสูงสง่าเซถลาพร้อมกับเสื้อผ้าที่แหว่งเว้าด้วยรอยขาดหลายแห่ง
ในอีกด้านหนึ่ง หุ่นเชิดศึกภพอดีตเองก็ไม่ได้มีสภาพที่ดีไปกว่ากันนัก แขนข้างหนึ่งของมันขาดวิ่นด้วยปราณกระบี่ ส่งผลให้ทั่วทั้งกายอาบชโลมด้วยเลือดแดงฉาน ทว่ามันกลับไม่มีท่าทีว่าจะเจ็บปวดใด ๆ จากการโจมตีครั้งนี้เลย กลับกัน มันพุ่งเข้ามาเพื่อโจมตีเฉินซีอีกครั้งด้วยอย่างว่องไว
ครืด!
ทันทีที่ร่างทั้งสองปะทะกัน พื้นปฐพีพลันแตกระแหงเป็นหมื่นเสี่ยง พวกเขาต่อสู้กันจนถึงจุดที่ฟ้าดินตกอยู่ภายใต้เงามืด ทั้งดวงตะวันและจันทราหม่นแสงลงในพลัน เหลือแต่เพียงราตรีนิรันดร์ที่คงอยู่ท่ามกลางสนามรบอันร้อนระอุ
หากการต่อสู้นี้เกิดขึ้นที่โลกภายนอก มันคงจะทำให้ทั้งมิติเซียนตกอยู่ภายใต้ความหวาดผวาอย่างแน่นอน
ต้องเข้าใจว่าตอนนี้เฉินซีนั้นน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ฐานพลังลึกล้ำกว่าสหายคนอื่น ๆ ถึงร้อยเท่า มิหนำซ้ำยังบรรลุขอบเขตเซียนกระบี่ขั้นสมบูรณ์แล้ว ถึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเหนือชั้นกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ทั้งหลายที่รุ่นราวคราวเดียวกัน แต่สำหรับในหมู่เพื่อนฝูง เขาถือได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดที่ไม่อาจมีใครเทียบเทียม ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาพัฒนาไปไกลมากแล้ว
หัวใจของหลิงชิงอู๋และเยี่ยถังเต้นแรง เฉินซีจะสามารถยืนหยัดต่อสู้ได้หรือไม่?
“ตายซะ!” ในสนามรบ เฉินซีแผดเสียงดังก้องไปทั้งแผ่นฟ้า เจตจำนงแห่งการต่อสู้เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวันที่แผดผลาญยามทิวา ทั้งแก่นแท้ พลัง และจิตวิญญาณเดือดคลั่งอย่างยิ่งใหญ่ไม่ต่างภูเขาปะทุ บัดนี้ชายหนุ่มหาได้สนใจสิ่งใดนอกไปเสียจากการได้ต่อสู้อย่างสุดกำลัง
ทันใดนั้น ท้องฟ้าทั้งผืนก็ถูกย้อมด้วยสีแห่งเปลวเพลิง ภายใต้แสงสีเพลิงนั้น ร่างของเฉินซีถูกพันธนาการไว้กับการต่อสู้ การโจมตีระหว่างเขาและหุ่นเชิดศึกภพอดีตไม่ว่าครั้งใดก็ล้วนทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โครม!
หลังจากนั้นไม่นาน หุ่นเชิดศึกภพอดีตก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยน้ำมือของเฉินซี!
ทว่าเฉินซีเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเลวร้ายไม่ต่างกัน ลมหายใจหอบถี่ ดวงหน้าซีดขาวส่งให้เสื้อผ้าที่ย้อมด้วยสีแดงสดเด่นชัดถนัดตา ในที่สุดชายหนุ่มก็ชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ นับเป็นการต่อสู้ที่อันตรายที่สุดตั้งแต่บรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์เลยทีเดียว
ทว่าสิ่งนี้สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องนี้ยังคงไม่จบ!
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าถูกทำลายไปแล้วก็จบกันหรอกหรือ…” เยี่ยถังไม่อยากจะเชื่อสายตา การต่อสู้เมื่อครู่นี้แทบจะเกินการปะทะกันของขอบเขตเซียนปราชญ์ไปแล้ว ทว่าตอนนี้ หุ่นเชิดศึกภพอดีตยังคงมีชีวิตอยู่ หากมันสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง เขาสงสัยเหลือเกินว่าพลังของมันจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน!
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งน่ากังวลที่สุดคงไม่พ้นว่าสภาพของเฉินซีในตอนนี้นั้นคล้ายจะย่ำแย่อยู่พอสมควร นั่นทำให้เยี่ยถังอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเฉินซีจะสามารถคว้าชัยชนะในการต่อสู้ครั้งต่อไปได้หรือไม่
“เฉินซี เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปทิ้งกับอะไรแบบนี้ พวกเราช่างมรดกอะไรนั่นไปก่อนเถิด!” เมื่อหลิงชิงอู๋เห็นว่าเฉินซีได้รับบาดเจ็บสาหัส นางก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันตะโกนก้อง ด้วยไม่อาจทนดูอีกฝ่ายต่อสู้อย่างไม่เห็นความหวังเบื้องหน้าได้อีกต่อไป การต่อสู้นี้น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะรับไหว หากเฉินซีไม่โชคดีดังคาด ทุกอย่างก็เพียงจะต้องจบสิ้นลงเท่านั้น
“ข้าไม่เป็นอะไร” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ความเด็ดเดี่ยวและความมุ่งมั่นปรากฏผ่านร่องรอยบนหน้าผาก เขามาไกลถึงเพียงนี้ จะให้ยอมถอดใจรับความพ่ายแพ้ไปได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้น ไม่ต้องพูดถึงมรดกของจักรพรรดิเต๋าเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากเพียงชิ้นเดียวเขาก็พร้อมจะต่อสู้อย่างสุดใจ!
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ครู่ถัดมา ร่างของหุ่นเชิดศึกภพอดีตก็ปรากฏตัวขึ้นกลางบ่อเลือดอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มันดูแตกต่างออกไปจากครั้งก่อน รัศมีพลังที่เร้นออกมาลึกราวหุบเหว ทอดไกลไม่อาจหยั่งถึง ไม่เพียงเท่านั้น มันยังเอ่อล้นไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังอันไร้ขอบเขตอย่างสมบูรณ์
เมื่อมองจากที่ไกล มันเหมือนกับราชาผู้อยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนปราชญ์ แสงสีเลือดส่องพราวอย่างไร้สิ้นสุดยามจรดมองลงบนแผ่นดิน!
ตึง!
ครั้นหุ่นเชิดศึกภพอดีตปรากฏตัวขึ้น ฟ้าดินก็พลันสั่นสะเทือนราวกับว่ามันกำลังก้มหัวสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชัน รัศมีอันสง่างามของมันชวนให้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“มันแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียอีก…” สีหน้าของหลิงชิงอู๋และเยี่ยถังเคร่งขรึมลง ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมไปทั้งเรือนกาย พวกเขาคิดว่าหุ่นเชิดศึกภพอดีตในขณะนี้มีความแข็งแกร่งเกินกว่าขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นแล้ว!
“ตายเสียเถอะ!” คราวนี้เฉินซีเป็นฝ่ายเปิดการโจมตี ขณะที่พุ่งตัวออกไป ชายหนุ่มไม่เพียงใช้มรดกขั้นสูงสุดของเต๋าแห่งกระบี่เท่านั้น หากยังใช้พลังของตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติประกอบเข้าในการโจมตีครั้งนี้ด้วย
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
…
ณ ภายนอกแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
“เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งชั่วยามก่อนที่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าจะปิดลง ศิษย์คนอื่น ๆ กลับกันออกมานานแล้ว มีเพียงกลุ่มสามคนของเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ภายในนั้น เหตุใดป่านนี้พวกเขาจึงยังไม่ออกมาเสียทีเล่า? หรือว่าพวกเขาจะประสบเภทภัยบางอย่างเข้าเสียแล้ว?” หวังต้าวหลูรำพันพลางขมวดคิ้วด้วยความวิตก
“ความแข็งแกร่งของอสูรภพอดีตนั้นน่าเกรงขามยิ่งนัก ทุกครั้งที่มันฟื้นขึ้น ความแข็งแกร่งก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ง่ายเลยที่จะล้มมันลงได้”
“ข้าเคยได้ยินมาว่าจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของพวกมันคือกระดูกต้นกำเนิดที่อยู่ด้านใน ด้วยปัญญาของเฉินซี เขาควรจะสังเกตเห็นจุดอ่อนนี้ตั้งแต่แรกมิใช่หรือ? สถานการณ์เช่นนี้ออกจะแปลกเกินไปแล้ว”
“อย่ามัวแต่เดาสุ่มสี่สุ่มห้าเลย สระโลหิตอดีตชาติถูกปกคลุมไปด้วยโลงศพเซียนยมโลก เป็นที่ซึ่งพลังของเต๋าแห่งสวรรค์ไม่สามารถส่องถึง ข้าขอถามพวกท่านหน่อยเถิดว่ามีกี่คนที่เข้าใจสถานการณ์ภายในนั้นจริง ๆ?”
“โธ่ ข้าเพียงแต่กังวลว่าพวกเขาจะได้รับมรดกแห่งจักรพรรดิเต๋าหรือไม่ก็เท่านั้น เรื่องอื่นข้าไม่สนใจหรอก”
เสียงของผู้อาวุโสทั้งหลายในสำนักศึกษาถูกส่งผ่านกระแสปราณ ข้อผิดพลาดเดียวที่พวกเขามีก็คือไม่มีใครรู้ว่าเฉินซีไม่ได้กำลังเผชิญกับอสูรภพอดีต หากแต่เป็นหุ่นเชิดศึกภพอดีต!
หัวเจี้ยนคงยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาปิดสนิทคล้ายกำลังอยู่ในสมาธิระดับลึก ทว่าจริง ๆ แล้ว มีหรือที่เขาจะไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว?
อย่างที่ได้เอ่ยไปก่อนหน้านี้ การมีอยู่ของโลงศพเซียนยมโลกทำให้เขาไม่สามารถสอดส่องสิ่งที่เกิดขึ้นในสระโลหิตอดีตชาติได้ ดังนั้นต่อให้เป็นกังวลเพียงใด ก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้ทั้งนั้น
ใช่ เขาทำได้เพียงยืนหยัดเฝ้ารอต่อไป
เวลาเหลือเพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น!
เฉินซีและคนอื่น ๆ จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่?
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา
…
“แค่ก… แค่ก…” ภายใต้ม่านแห่งราตรีนิรันดร์ ร่างกายของเฉินซีสั่นระริก โลหิตแดงฉานกระอักจนท่วมปาก ใบหน้าซีดขาวจวนโปร่งแสง เสื้อผ้าและเส้นผมถูกย้อมไปด้วยเลือดจนดูน่าสยดสยอง ราวกับชายหนุ่มกำลังตกอยู่ใต้สภาพการณ์ที่ย่ำแย่อย่างถึงขีดสุด
ทว่าแผ่นหลังกว้างยังคงเหยียดตรง ดวงตาคมกริบลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่น ปมบนคิ้วยังคงแสดงออกถึงความหนักแน่นไม่หวั่นไหว
ก่อนหน้านี้เขาได้สังหารคู่ต่อสู้อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกัน ในตอนนี้ พลังชีวิตของชายหนุ่มจวนจะสูญสลายลงทุกขณะ หากไม่พยุงตัวเองไว้ด้วยเจตจำนงอันกล้าแกร่ง ก็คงไม่อาจจะอดทนมาได้ถึงจุดนี้
เมื่อเทียบกับการต่อสู้ครั้งก่อน ชัยชนะในครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าน่าสังเวชยิ่งนัก หากมองดูดี ๆ แล้ว พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ข้อแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในระดับที่ไม่สามารถจะฟื้นตัวได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ในขณะที่คู่ต่อสู้ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง และทุกครั้งที่มันฟื้นคืนชีพ ความแข็งแกร่งก็กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
มันเป็นเหมือนกับวัฏจักรที่ไม่อาจทำลาย หากคนที่ยืนอยู่จุดนี้เป็นคนที่ขาดความตั้งใจอันแน่วแน่ คนผู้นั้นก็คงจะตกอยู่ในความสิ้นหวัง และก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
ทว่าเฉินซีจะไม่ทำ เขาจะไม่มีวันถอดใจเป็นอันขาด!
ตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เขาต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ดุเดือดและอันตรายมากมายจนนับไม่ถ้วน มีหลายครั้งที่เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียด้วยซ้ำ เมื่อถึงนึกเรื่องราวเหล่านี้แล้ว การเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดศึกภพอดีตจึงไม่อาจทำให้เขาสิ้นหวังไปได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันที่เกิดขึ้นในการต่อสู้ครั้งนี้นั้นหนักหนาที่สุดตั้งแต่เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถค้นหาจุดอ่อนของมันได้ และไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรเพื่อจัดการกับพลัง ‘ภพอดีต’
เฉินซีตระหนักดีว่าหากการต่อสู้นี้ยังคงดำเนินต่อไป ก็คงจะมีจุดหนึ่งที่เขาไม่อาจต้านทานได้ไหวอย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ยังเชื่อมั่นว่าตนจะสามารถหาวิธีทำลายหุ่นเชิดศึกภพอดีตได้ก่อนที่ช่วงเวลานั้นจะมาถึง
“สหายเต๋าผู้นี้จะตายหรือไม่?” เยี่ยถังวิตกอย่างมาก เขาแนะนำให้เฉินซียอมแพ้ก่อนหน้านี้ แต่กลับถูกอีกฝ่ายยืนกรานปฏิเสธ ผู้เป็นศิษย์พี่อย่างเขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก
หลิงชิงอู๋เม้มริมฝีปากสีแดงระเรื่อโดยไม่กล่าวสิ่งใด
นางรู้ดีว่าพูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ท่าทีของเฉินซีทำให้นางตระหนักว่าเขาไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน
นั่นทำให้นางละทิ้งความคิดที่จะห้ามปรามอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกกังวลก็เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง นางเป็นห่วงเขายิ่งกว่าเยี่ยถังเสียอีก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อันใด
ข้าหวังเพียงว่าสหายเต๋าผู้นี้จะไม่ตาย ไม่เช่นนั้นแล้ว… หลิงชิงอู๋ลอบถอนใจเบา ๆ นางไม่กล้าคิดไปไกลมากกว่านี้
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ระลอกคลื่นของโลหิตพุ่งขึ้นจากสระเลือดอย่างรุนแรง เสียงกึกก้องดังลั่นขณะที่มันลอยสูงเหนือแผ่นฟ้า
คราวนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ความผันผวนที่เกิดขึ้นคล้ายจะยิ่งใหญ่กว่ามาก บัดนี้ หุ่นเชิดศึกภพอดีตยังไม่ฟื้นคืนชีพ ทว่ารัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้นั้นก็พลันทะลักออกมาจากสระโลหิตอย่างไม่มีสิ้นสุด
รัศมีนั้นคลุมเครือ สูงส่ง และเต็มไปด้วยความสง่างามอย่างราชัน ราวกับว่ามันจะสามารถเขย่าแผ่นผาและนำความสงบมาสู่แดนดิน แม้ว่ามันจะดูสลัวเลือนราง หากก็ทำให้ใบหน้าของหลิงชิงอู๋และเยี่ยถังแน่นไปด้วยความตึงเครียด
“รัศมีของราชันเซียนครึ่งขั้น!” ทั้งสองอุทานพร้อมกันอย่างไม่รู้ตัว
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเมื่อหุ่นเชิดศึกภพอดีตฟื้นคืนชีพในครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของมันจะพัฒนาไปถึงขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นในทันที!
หากนี่เป็นเรื่องจริง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้อีกต่อไป!
แม้ว่าขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นจะไม่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเท่าขอบเขตราชันเซียน แต่นั่นก็เพียงพอที่จะกดเซียนปราชญ์ทั้งหลายไว้เบื้องล่าง นั่นก็เพราะผู้ที่อยู่ในขอบเขตดังกล่าวเริ่มเข้าใจและมีความสามารถในการควบคุมกฎมหาเต๋าแห่งปริภูมิ กฎมหาเต๋าแห่งกาลเวลา กฎมหาเต๋าแห่งชีวิต และกฎมหาเต๋าแห่งความตาย พวกเขาขาดแต่เพียงชะตากรรมพิเศษที่จะนำพาไปสู่ขอบเขตราชันเซียนเท่านั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ เฉินซีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจะสามารถรับมือได้อย่างไร?
คนทั้งสองหาได้สังเกตเลยว่า เมื่อรัศมีอันเลือนรางและน่าสะพรึงกลัวของราชันเซียนครึ่งขั้นปรากฏขึ้น ท่าทางของเฉินซีก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน มันหาใช่สีหน้าประหวั่นใจ หากเป็นเพียงการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความงุนงงคล้ายกำลังทำความเข้าใจในบางสิ่งด้วยความรวดเร็ว
“ภพอดีต… จุดจบ… ภพอดีต… จุดจบ…” ในชั่วพริบตา เฉินซีก็คล้ายล่วงรู้ถึงบางอย่าง แผนภาพลึกลับที่แปลกประหลาด ยิ่งใหญ่ และงดงามจำนวนมากปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา
ภายในนั้นมีเส้นทางสีเลือดที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟ ทะเลทุกข์ที่เต็มไปด้วยโคลนตม หกวิถีสังสารวัฏ โถงอสุราสำหรับตัดสินผิดชอบชั่วดี… แผนภาพลึกลับเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกคุ้นเคย พวกมันมาจากระเบียนแดนมรณะและกำลังฉายภาพสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในยมโลก
หึ่ง~
ความผันผวนเช่นกระแสน้ำเกิดขึ้นภายในทะเลแห่งมโนสำนึก มันเต็มไปด้วยแสงแห่งสนธยายาม
ฉับพลันนั้นเอง รัศมีคลุมเครือลึกลับก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างสูงสง่าของเฉินซี ในคราแรก มันมีขนาดเล็กราวละอองสายลมและหยาดฝนปรอยบาง ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ มันก็ขยายตัวราวกับพายุที่กินพื้นที่ไปทั้งจักรวาล เสียงคำรามของมันก้องกัมปนาทยามเมื่อผันผ่านผืนดิน!