บทที่ 808 ฮ่องเต้กำมะลอ (2)
ช่วงมื้อเช้า กู้เฉิงเฟิงได้เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้กับท่านย่าและคนอื่นๆ ฟัง
ท่าทีของทุกคนล้วนนิ่งเฉย
จวงไทเฮาเอ่ย พวกผู้ชายเหมือนกันทุกคน
จี้จิ่วอาวุโสสมทบ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ข้ายังมีผมเยอะกว่าอีก
อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ยต่อ พอดีเลย ว่าจะหาคนมาเป็นหนูทดลองยาตัวใหม่ของข้าอยู่
ปรมาจารย์หลู่เอ่ยตาม ฮ่องเต้มีไว้ทำไม
…
วันนี้กู้เจียวไม่ต้องไปที่ค่ายทหาร เดิมวันนี้ควรเป็นวันที่นางได้นอนตื่นสาย ทว่าหลังพ้นช่วงเช้าไปได้ไม่นาน กู้เจียวดันถูกปลุกจนตื่นเพราะมีเหตุวุ่นวายที่จวน
ต้นเหตุไม่ได้มาจากหลงอีหรือจิ้งคง ไม่ใช่ทั้งกู้เหยี่ยนหรือว่ากู้เสี่ยวซุ่น แต่เป็นพ่อบ้านเจิ้งที่วิ่งเข้ามาพร้อมตะโกน “แย่แล้วขอรับท่านกั๋วกง! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากพวกเขาพาฮ่องเต้หนีออกมาได้ หันกุ้ยเฟยเกิดกลัวว่าพวกเขาจะกลับมาโจมตี ก็เลยคิดหาวิธีทั้งคืน โดยยอมเสี่ยงประกาศคืนตำแหน่งไท่จื่อให้แก่ซ่างกวานฉีในช่วงว่าราชการเมื่อเช้านี้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรับสั่งให้จับกุมองค์หญิงสาม และสั่งให้เจ้ากรมทหารและกองทหารหลวงปิดล้อมตำหนักกั๋วซือ
ด้วยเหตุผลที่ว่า องค์หญิงสามถูกอาคมของตำหนักกั๋วซือเล่นงานจึงไม่มีความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้และคิดปองร้ายต่ออดีตไท่จื่อ เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องลับที่ตำหนักกั๋วซือก็เป็นการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างองค์หญิงสามและตำหนักกั๋วซือ
ผู้สมรู้ร่วมคิดในเหตุการณ์ถูกจับกุมและสารภาพในอาชญากรรมของพวกเขา นอกจากนี้ พวกเขายังเปิดเผยว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาตำหนักกั๋วซือได้ร่วมมือกันอย่างลับๆ โดยใช้อาการป่วยของซ่างกวานชิ่งเป็นข้ออ้าง
ที่ซ่างกวานเยี่ยนเดินทางกลับมาที่เซิ่งตูได้นั้นก็เป็นแผนของพวกเขา
นักฆ่าที่ถูกส่งมาจากจวนไท่จื่อแท้จริงเป็นทหารของตำหนักกั๋วซือที่ปลอมตัวมา อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสุสานฮ่องเต้ ก็เป็นฝีมือของคนจากตำหนักกั๋วซือ
ที่ซ่างกวานเยี่ยนเกิดอุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่านับตั้งแต่วันที่กลับมายังเมืองเซิ่งตู ล้วนเป็นแผนการที่ไตร่ตรองมาอย่างดีเพื่อเรียกความสงสารและเห็นพระทัยจากฮ่องเต้
หากไม่ใช่เพราะซ่างกวานเยียนอาศัยจังหวะที่ฮ่องเต้กำลังปฏิบัติกิจและสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของนางเข้าไปสืบความเคลื่อนไหวของพระองค์ ฮ่องเต้ก็คงไม่มีทางได้รู้ความลับของซ่างกวานเยี่ยน
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ จากปากคำให้การของทหารหน่วยกล้าตาย ดูเหมือนซ่างกวานเยี่ยนจะยังมีไพ่ลับซ่อนอยู่อีก
ซึ่งเป็นความลับขั้นสุดยอด แม้แต่ทหารคนสนิทก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
แต่เรื่องที่ยืนยันได้คือ ซ่างกวานเยี่ยนได้เตรียมแผนการไว้เพื่อกลับมาทวงคืนทุกสิ่งที่นางเคยสูญเสียไป
หลังจากฟังจบ กู้เจียวแทบอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้หันกุ้ยเฟย
เป็นเรื่องที่แต่งได้ลื่นไหลดีมาก ฟังแล้วเกือบจะเชื่อจริงๆ ด้วยซ้ำ
หญิงผู้นี้ ช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน
ไม่ต้องรอให้ฮ่องเต้ตัวจริงเข้าไปถอนหงอกนางหรอก นางนี่แหละจะเข้าไปสั่งสอนยัยผู้หญิงคนนี้เอง
เพราะต่อให้พาฮ่องเต้ตัวจริงกลับไปที่วัง หันกุ้ยเฟยคงจะเล่นอุบายว่า ‘อ่าว องค์หญิงสาม นี่น่ะหรือไพ่ลับของท่าน อยากได้บัลลังก์จนตัวสั่นถึงกับต้องจ้างฮ่องเต้ตัวปลอมมาเล่นละครตบตาเชียวรึ’
ขั้นตอนที่ฉลาดที่สุดในแผนของหันกุ้ยเฟยไม่ใช่การ ‘เปิดเผย’ ความทะเยอทะยานของซ่างกวานเยี่ยน แต่เพื่อทำให้ตำหนักกั๋วซือแปดเปื้อน
เพราะเดิมทีตำหนักกั๋วซือเป็นที่ที่ฮ่องเต้และราชวงศ์เคารพนับถือที่สุด กั๋วซือเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการระบุว่าใครคือฮ่องเต้ตัวจริง แต่ตอนนี้พวกเขาทำให้กั๋วซือกลายเป็น ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ ของซ่างกวานเยี่ยนในการวางแผนก่อกบฏ เมื่อเป็นเช่นนี้ วาจาของกั๋วซือจะยังมีน้ำหนักอยู่อีกหรือไม่
สมาชิกที่จวนทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องหนังสือ
ยกเว้นพวกเด็กๆ
ซึ่งกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่พวกเด็กๆ
พวกเขาทำหน้างอคอตกเตรียมจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง
แต่เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านเจิ้งเดินออกไปแล้ว พวกเขาก็รีบวิ่งเอาหูไปแนบกำแพงโดยทันที
ในห้องหนังสือ ท่านย่าและจี้จิ่วอาวุโสนั่งตรงหัวโต๊ะ โดยมีอาจารย์แม่หนานเซียงและปรมาจารย์หลู่นั่งที่ขนาบซ้าย ส่วนอันกั๋วกง กู้เจียวและเซียวเหิงนั่งที่ขนาบขวา
ขณะที่กู้เฉิงเฟิงเดินไปรอบๆ พร้อมกับเอามือลูบคาง
“ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ หันกุ้ยเฟยกล้าแม้แต่จะคืนตำแหน่งให้กับไท่จื่อ ทั้งๆ ที่อำนาจอยู่ในมือ แต่กลับไม่คิดล้างมลทินให้ตัวเองเพื่อให้ตัวเองขึ้นเป็นฮองเฮาเนี่ยนะ!” กู้เฉิงเฟิงโพล่งขึ้นด้วยความสงสัย
กู้เจียวคิดตามสิ่งที่เขาเอ่ย ก่อนจะเสนอความคิดเห็นของตัวเอง “คงเพราะหันกุ้ยเฟยเชื่อว่าหวังเสียนเฟยเป็นคนที่ใช้คาถาอาถรรพ์สาปแช่ง หากจะล้างมลทินให้ตัวเอง ก่อนอื่นต้องกำจัดหวังเสียนเฟยก่อน ส่วนเรื่องตำแหน่งฮองเฮา ถ้าให้ตัวเองได้ขึ้นตำแหน่ง ก็เท่ากับว่าต้องเป็นศัตรูของพระสนมทั้งวังหลัง นางไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก”
เซียวเหิงพยักหน้าเห็นด้วย “นอกจากนี้ยังมีเรื่องฮ่องเต้ตัวปลอมอีก ต่อให้จนตรอกแค่ไหนอย่างไรก็คงต้องรู้สึกละอายใจบ้าง การคืนตำแหน่งให้กับไท่จื่อถือเป็นการเคลื่อนไหวที่อันตรายอยู่แล้ว เพราะต้องคอยสังเกตปฏิกิริยาของขุนนางทั้งหลายอีก”
กู้เฉิงเฟิงถามต่อ “แล้วมีใครสงสัยบ้างแล้วหรือยัง”
เซียวเหิงส่ายศีรษะ “ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทุกคนคงยังไม่มีท่าทีตอบสนอง แต่หากให้เวลาพวกเขาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อาจมีคนสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ต้องบอกว่า ปกติฮ่องเต้องค์นี้เป็นคนเจ้าอารมณ์และมีพระดำริที่ผิดแปลกอยู่เสมอ ก็เป็นไปได้ที่จะไม่มีใครกล้าค้านเลย”
กู้เฉิงเฟิงเริ่มรู้สึกสมองล้า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกตระกูลหันจะยังใจเย็นอยู่ไย ก็สั่งให้ฮ่องเต้ตัวปลอมส่งคนมาจัดการพวกเราเสียเลยสิ!”
“ก็เพราะฮ่องเต้ตัวจริงอยู่กับพวกเรา ซึ่งเป็นข้อเสียเปรียบของพวกมัน สิ่งที่หันกุ้ยเฟยกระทำวันนี้ ทั้งเป็นการลองใจเหล่าขุนนางในราชสำนักและพวกเรา นางกำลังรอดูปฏิกิริยาของพวกเราอยู่” เซียวเหิงเอ่ย
กู้เฉิงเฟิงร้องอ๋อ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่ทั้งหมด “แล้วพวกเราควรทำอย่างไรต่อ”
ทันใดนั้น ปรมาจารย์หลู่ยกมือทำท่าฟันดาบพร้อมกับเอ่ย “บุกไปที่วังกัน! แล้วจัดการฮ่องเต้ตัวปลอมเสีย!”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” เซียวเหิงส่ายศีรษะ
ในเมื่อทุกอย่างมาถึงขั้นนี้ ไม่มีทางที่ตระกูลหันจะไม่เตรียมพร้อมรับมืออย่างดี อีกฝ่ายมีทั้งเจ้ากรมทหารและกองทหารจักรวรรดิอยู่ในมือ ลำพังพวกเขาสู้ไม่ไหวแน่นอนต่อให้มีหลงอีอยู่ด้วยก็ตาม
พวกตระกูลหันกำลังรอให้พวกเขาเข้าไปติดกับอย่างแน่นอน
ปรมาจารย์หลู่ยกมือทึ้งศีรษะทันที “ถ้าจัดการไม่ได้ จะให้ไปชี้ตัวต่อหน้าทุกคนเลยหรืออย่างไรว่าใครคือฮ่องเต้ตัวจริง แล้วใครจะเชื่อคำของพวกเรากันล่ะ ข้าขอพูดตรงๆ เลยแลวกัน ชื่อเสียงขององค์หญิงสามเทียบกับไท่จื่อที่หน้าซื่อใจคดนั่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ…ราษฎรให้ความเคารพไท่จื่อ แต่กลับมององค์หญิงว่าเป็นคนก่อกบฏ…พวกเขาจะต้องคิดว่าองค์หญิงสามพาฮ่องเต้ตัวปลอมมาแน่ๆ ”
แผนครั้งนี้ของหันกุ้ยเฟยเรียกได้ว่าโหดร้ายยิ่งนัก แทบไม่มีช่องโหว่ให้พวกเขาได้โต้กลับเลย
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเสริมด้วยความโมโห “ถ้าเป็นตระกูลเซวียนหยวนนะ ป่านนี้คงนำกองทัพบุกพระราชวังแล้วจับเจ้าตัวปลอมมาตัดหัวต่อหน้าราษฎรแล้ว! สุดท้าย เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของฮ่องเต้นั่นแหละ! ละทิ้งตระกูลเซวียนหยวนผู้ภักดี แล้วไปสนับสนุนตระกูลหัน ตระกูลหนานกง ตระกูลนี้ ตระกูลนั้นแทน! ข้าละอยากรู้จริงๆ ว่าพอถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน มีตระกูลไหนลุกขึ้นมาช่วยบ้าง! ตระกูลไหนเลือกที่จะเชื่อคำเอ่ยของเขา!”
ตัดภาพมาที่โถงทางเดิน ฮ่องเต้กำลังอยู่ในอาการหน้ามืดอย่างหนัก
แม้แต่จางเต๋อเฉวียนยังไม่กล้าเข้าใกล้
คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำเอ่ยที่รุนแรงและอกตัญญูเช่นนี้
แม้ว่าคำเอ่ยเหล่านี้จะเป็นความจริงทั้งหมด แต่ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ทุกประโยคนั้นทิ่มแทงพระทัยเข้าอย่างจัง
หากตระกูลเซวียนหยวนยังอยู่ มารผจญพวกนี้คงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
เซวียนหยวนกล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า
เซวียนหยวนกล้ายืดอกรับผิดในขณะที่คนอื่นถอยกรู
และหากเป็นเซวียนหยวน ขอแค่พระองค์เอ่ยมาประโยคเดียว พวกเขาจะเชื่อทันทีโดยไม่คิด
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ทำลายโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดของพระองค์ ก็คือตัวพระองค์เอง
“ฝ่าบาท…”
จางเต๋อเฉวียนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเอ่ยอย่างไรดี
ฮ่องเต้ไม่ตรัสแม้แต่คำเดียว ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องอย่างเงียบๆ
ขนาดตอนที่ฮ่องเต้ถูกคนในเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองหักหลัง ยังทรงดูไม่หดหู่เท่ากับตอนที่นึกถึงเรื่องของตระกูลเซวียนหยวน
ทรงนึกเสียดายแล้วใช่หรือไม่
ในห้องหนังสือ
กู้เฉิงเฟิงยังคงก่นด่าฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนโดยไม่หยุดหย่อน
ท่านย่าเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังแทะเมล็ดแตงโม “พอก่อน หยุดพูดได้แล้ว หนวกหูจริงๆ เขาเดินออกไปแล้ว ”
“เดินออกไปแล้วหรือ” กู้เฉิงเฟิงหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับถอนหายใจ “เหนื่อยชะมัด ให้ข้ายืนเอ่ยอยู่ตั้งนาน!”