บทที่ 568 จับปลาในน้ำขุ่น*
* จับปลาในน้ำขุ่น (浑水摸鱼) หมายถึง ฉวยโอกาสในช่วงชุลมุน
กองทัพทหารเกราะเหล็กเพิ่งจากไปได้ไม่นาน กองทัพซู่โจวก็มาถึง
เนี่ยเทียนโฉวไม่ค่อยวางใจที่เก็บเสบียงไว้ที่นี่ จึงส่งคนมาดูว่าเป็นเช่นไรบ้าง
“ดินนี่เหตุใดถึงได้อ่อนเช่นนี้กัน เมื่อสองวันก่อนพวกเจ้าเคยมาขุดหรือไม่?”
“อืม เมื่อสองวันก่อนมีฝนตกไม่ใช่หรือ?”
“เช่นนั้นหรือ” หัวหน้าของพวกเขาพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ตักดินชั้นบนออก เมื่อเห็นว่ากระสอบข้าวสารของกองทัพที่เก็บไว้ด้านล่างยังคงอยู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร ใครจะรู้ได้เล่าว่าพวกเราเก็บข้าวสารไว้ที่นี่” ลูกน้องพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่ก็อย่าประมาท ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้ชีวิตไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก”
พวกเขาล้วนเป็นทหารชั้นผู้น้อย ไหนเลยจะรู้เรื่องภายในของผู้บังคับบัญชา แต่การเห็นม้าศึกล้มลง และคนจำนวนไม่น้อยมีผื่นขึ้น แม้แต่หมอยังบอกว่าสมุนไพรไม่เพียงพอ เท่านี้ก็รู้ได้แล้วว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่
คนกลุ่มนั้นขณะเดินไปยังฐานที่มั่นถัดไปก็พึมพำขึ้นมา “หัวหน้า หรือไม่พวกเราขโมยข้าวสารมาจำนวนหนึ่ง แล้วเอามาแบ่งกันดีหรือไม่ขอรับ?”
ทุกคนชะงักฝีเท้าลง พลางมองคนที่พูดเป็นตาเดียว
คนผู้นี้ต้องกินดีหมีหัวใจเสือมาเป็นแน่ คำพูดนี้หากว่าอยู่ต่อหน้าเนี่ยเทียนโฉวต้องหัวหลุดจากบ่าอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าลองคิดดูนะ หากศัตรูบุกมาพวกเราจะออกไปตายจริง ๆ หรือ?”
ทุกคนต่างก็ไม่อยากตาย ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองก็ยังมีครอบครัวรออยู่
“คำพูดนี้ใครสอนให้เจ้าพูดกัน หุบปากซะ ขืนพูดเหลวไหลอีกข้าจะเตะเจ้าตกเขาเดี๋ยวนี้”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ใครจะรู้ว่าในใจแต่ละคนคิดอย่างไร
…
ภายในกระโจม
เนี่ยเทียนโฉวไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ รอจนกระทั่งทหารลาดตระเวนที่ส่งไปตรวจสอบข้าวกลับมา และรายงานว่าข้าวสารเหล่านั้นยังอยู่จึงได้โล่งอก “ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วใช่หรือไม่?”
“ละเอียดแล้วขอรับ มีกระสอบข้าวสารอยู่เต็มไม่ขาดแม้แต่กระสอบเดียว แม้แต่หนูก็ไม่มีขอรับ”
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว หากชนะศึกครั้งนี้ได้ ใครสามารถสังหารทหารเกราะเหล็กได้หนึ่งคนก็จะได้เลื่อนขั้นหนึ่งขั้น ข้าจะจดจำความดีความชอบของพวกเจ้าเอาไว้”
“ขอบคุณท่านเจ้าเมือง!”
ทันทีที่หัวหน้ากลับไปและเอาเรื่องนี้ไปบอกทุกคน ค่ายทหารก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้งทันที
ขอเพียงขวัญกำลังใจของทหารยังคงอยู่ ศึกนี้ก็ยังสามารถสู้ได้
เนี่ยเทียนโฉวกลับไม่ได้กังวลที่พวกหลิ่วเผิงไม่ร่วมมือกับเขา เพราะหากเขาแพ้ คนต่อไปที่ถูกโจมตีก็คือพวกหลิ่วเผิง
ส่วนการหายตัวไปของคนของฮั่วชิงหยาง เขาไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ จึงคิดว่าต้องไปที่เผ่าเร่ร่อนถูกู่หุน เพื่อขอให้มู่หรงเจี๋ยช่วยเหลือเรื่องติดต่อพ่อค้าขายข้าวสาร
หรือไม่ก็ต้องไปขอความช่วยเหลือจากฝั่งถู่เจีย แม้ว่าเส้นทางจะไกลไปสักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าถูกฮั่วชิงหยางทิ้งไปเช่นนี้
เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ต้องผ่านความยากลำบากนี้ไปให้ได้
…
ส่วนเมืองอู่โจว หลิ่วเผิงรู้ตั้งนานแล้วว่าติดต่อฮั่วชิงหยางไม่ได้
เนื่องจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเมืองอู่โจวของเขานั้นยากลำบากกว่าที่อื่น เพราะถูกล้อมไปด้วยภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและทะเลสาบน้ำแข็ง สภาพอากาศจึงหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทำให้ยากต่อการเพาะปลูก
ซู่โจวอย่างน้อยก็มีข้าวสารเหลืออยู่บ้าง เพราะตอนนั้นที่เขาเลือกยึดครองเมืองอู่โจวไม่ได้คิดให้ดีเสียก่อน เสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันกาลแล้ว
และเนื่องจากชาวอู่โจวต้องเอาตัวรอดจากภัยหนาว ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงชอบกินเนื้อสัตว์และเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์ ส่วนข้าวและอาหารอื่น ๆ มีก็กิน ไม่มีก็กินเนื้อแทน ดังนั้นเนื้อในอู่โจวจึงมีราคาแพงเช่นเดียวกับถ่าน
เมื่อฮั่วชิงหยางขาดการติดต่อ ร้านข้าวส่วนใหญ่ของเมืองอู่โจวจึงยากที่จะเปิดกิจการต่อไปได้
หลิ่วเผิงให้เจ้าของร้านข้าวเหล่านั้นออกจากเมืองไปเสี่ยงดวงกับเผ่าถูกู่หุน
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางจากทุ่งหญ้าไปยังเมืองหลวงของเผ่าถูกู่หุน โดยในเมืองเหล่านั้นเริ่มมีการปลูกต้าม่าย**และข้าวฟ่างเลียนแบบต้าจิ้น นอกจากนี้ยังมีเหล้าต้าม่ายที่ช่วยบรรเทาความหนาวเย็น สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถช่วยให้คนมีชีวิตรอดไปได้ระยะหนึ่ง จากนั้นก็ถามพวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนของเผ่าถูกู่หุนเพื่อขอซื้อสัตว์กลับมาจำนวนหนึ่ง แค่มีเนื้อและได้ดื่มนมแพะ เมืองอู่โจวก็สามารถอยู่ต่อไปได้อีกสักระยะแล้ว
** ต้าม่าย (大麦) หมายถึง ข้าวบาร์เลย์
ใครจะคิดว่าตอนที่ขอซื้อของเหล่านั้นกลับเป็นไปอย่างราบรื่นเป็นอย่างมาก ทางมู่หรงเจี๋ยก็อำนวยความสะดวกให้กับพวกเขาอย่างเต็มที่ และเรียกกันอย่างสนิทสนมว่าพี่น้องอีกด้วย
“รีบเดินเร็วเข้า ผ่านทะเลสาบน้ำแข็งไปก็จะถึงแล้ว”
การเดินบนน้ำแข็งนั้นรวดเร็วมาก และกองทัพอู่โจวของพวกเขาก็ชำนาญการเดินบนน้ำแข็งเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเลือกเดินทางข้ามทะเลสาบน้ำแข็งโดยตรง ซึ่งเสบียงเหล่านั้นก็ถูกวางไว้บนรถเข็นแล้วขนส่งไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
ทุกคนเร่งเดินทางกันทั้งวันทั้งคืนเพื่อต้องการจะกลับไปถึงให้เร็วที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงที่นี่จะมีทหารซุ่มโจมตีอยู่!
ตอนกลางคืนฟ้ามืดจึงทำได้เพียงอาศัยแสงจันทร์ ก่อนจะเห็นว่าคนเหล่านี้สวมชุดเกราะเงิน และสวมรองเท้าที่ใช้เดินบนน้ำแข็ง ด้านหลังยังมีมือธนูล้อมพวกเขาเอาไว้อีกด้วย
“ปกป้องเสบียง! ปกป้องวัวและแพะด้วย!”
ไม่นานก็เกิดการเข่นฆ่ากันบนทะเลสาบน้ำแข็ง พวกเขาไม่อยากจะต่อสู้ ทว่าทหารเหล่านั้นกลับกระจายกำลังออกไป โดยด้านหนึ่งก็ทำการสกัดกั้น อีกด้านหนึ่งก็บุกโจมตีเพื่อบีบให้พวกเขาล่าถอย ส่วนอีกกลุ่มก็ได้ลากรถขนเสบียงของพวกเขาไปแล้ว
ต่อให้จะไล่ตามก็ตามพวกเขาไม่ทันแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่าพวกเขา!
ไม่นานกองทัพอู่โจวเหล่านี้ก็ต้องล่าถอย หลังจากผู้นำถูกจับคนที่เหลือก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่ออีก จึงถูกพาตัวไปอย่างง่ายดาย
ส่วนกองทัพเจิ้นเป่ยนั้นไม่ได้ร่วมต่อสู้ด้วย แต่ได้แยกตัวออกไปสกัดกั้นตรงทางแยกอีกเส้นทางหนึ่งของทะเลสาบน้ำแข็งแทน
เงินมากมายเพียงนั้น เสบียงมากมายเพียงนั้น เขาไม่เชื่อว่าคนเหล่านี้จะกล้าหนี เพราะคนในครอบครัวของพวกเขายังอยู่ในเมือง และการที่เขากล้าปล่อยคนออกไป ย่อมต้องเลือกคนที่มีพันธะครอบครัวอยู่แล้ว
นอกจากจะเป็นคนที่ชั่วช้าสามานย์อย่างที่สุด ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สนใจคนในครอบครัวของตัวเองได้อย่างไร?
ตอนนั้นเองคนที่เนี่ยเทียนโฉวส่งมาถามเรื่องเสบียงก็มาถึงพอดี
กาใดน้ำไม่เดือด หยิบกานั้นจริง ๆ เมืองอู่โจวเองยังไม่พอกินเลย!
ดังนั้นหลิ่วเผิงจึงให้พวกเขาไปถามเมืองเซียงโจวที่อยู่ด้านหลังแทน
…
เมืองเซียงโจวนั้นตั้งอยู่ด้านในหลงซี จึงถือได้ว่าเป็นเมืองที่สะดวกสบายกว่าเมืองอื่น เพียงแต่ดินแดนของเขามีเสบียงมากพอจนสามารถเลี้ยงดูคนของสองเมืองได้อย่างนั้นหรือ?
แต่ในเมื่อเป็นพันธมิตรกันแล้ว ติงหม่านก็ไม่มีทางจะไม่สนใจพวกเขา เพราะประสบการณ์ในอดีตบอกเขาว่า หากพวกเขายังไม่ร่วมมือกันอีก ทั้งหมดก็จะต้องตายไปด้วยกัน ดังนั้นเรื่องนี้ต่อให้ไม่อยากช่วยก็ต้องช่วย!
หลังจากได้รับจดหมายจากเนี่ยเทียนโฉวและหลิ่วเผิงแล้ว ติงหม่านก็ตอบจดหมายกลับไป ให้พวกเขาวางใจ ตนเองไม่มีทางนิ่งดูดายอย่างแน่นอน
ทว่าหลังจากเนี่ยเทียนโฉวและหลิ่วเผิงได้รับจดหมาย
ก็เดือดดาลอย่างมาก!
เจ้าสารเลวติงหม่านกลับด่าพวกเขาว่าเพ้อเจ้อ แม้แต่เสบียงก็ยังหาไม่ได้ เช่นนั้นก็ยอมจำนนให้กับกองทัพทหารเกราะเหล็กไปเสียเถอะ อย่างน้อยก็ยังจะมีข้าวกินอยู่ อยากให้เขาติงหม่านช่วยอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
ซึ่งเรื่องพันธมิตรนั้น ติงหม่านก็เป็นคนเสนอขึ้นมาเอง!
พันธมิตรที่เขาพูดถึง สุดท้ายเขากลับเป็นคนทำลายมันเสียเองอย่างนั้นหรือ?
เห็นพวกเขาเป็นคนโง่หรืออย่างไร!?
หลิ่วเผิงเป็นคนอารมณ์ร้อน ส่วนเนี่ยเทียนโฉวก็ชินกับการรอโอกาส เมืองของตัวเองแทบจะไม่มีอาหารอยู่แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่นานราษฎรในเมืองก็จะรู้ว่าพวกเขาไม่มีเสบียงแล้ว
เช่นนี้ไม่สู้ไปปล้นเสบียงกองทัพของติงหม่านเสียยังจะดีกว่า
และขณะที่เนี่ยเทียนโฉวเอาแต่เฝ้าเสบียงเพียงเล็กน้อยของตัวเองและกำลังเจรจากับมู่หรงเจี๋ยอยู่นั้น หลิ่วเผิงกลับพาคนบุกไปยังเมืองเซียงโจวของติงหม่านแล้ว
ทุกความเคลื่อนไหวระหว่างค่ายทหารเหล่านี้ ล้วนถูกจับตามองโดยหน่วยสอดแนม
ดังนั้นตอนที่กองทัพอู่โจวของหลิ่วเผิงบุกเข้าเมืองเซียงโจว กองทัพเจิ้นเป่ยก็อาศัยความชุลมุนปะปนเข้าไปในเมืองด้วย อย่างไรเสียก็ปล้นกองทัพอู่โจวมาไม่น้อยแล้ว ดังนั้นจึงมีเครื่องแบบทหารของพวกเขาด้วย!
ด้านหนึ่งสังหาร ด้านหนึ่งออกปล้น ปากก็ตะโกนขึ้นมา “สังหารเจ้าโจรสุนัขติงหม่าน ปล้นเสบียงของพวกเขามาให้หมด อู่โจวของเราไม่มีอะไรจะกินอยู่แล้ว!”