ตอนที่ 606 สูญสิ้นทุกสิ่ง
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ได้ผิดหวังมากนักกับการไม่ได้ลงชื่อสมัครเรียน แต่ริษยาพวกหลินเซี่ยมากกว่า หล่อนก่นด่าสาปแช่งหลินเซี่ยและคนตระกูลเฉินไปตลอดทาง
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่พูดอะไร สีหน้าดูย่ำแย่อย่างมาก
หล่อนอุตส่าห์วางแผนมาตั้งนาน แต่มาบัดนี้ความฝันทุกอย่างพังทลายลงหมดแล้ว
หล่อนคิดว่าจะใช้ทักษะนี้เข้าสู่วงการบันเทิงที่ตนใฝ่ฝัน ด้วยรู้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองเป็นทางลัดที่ได้ผลมากที่สุดแล้วในตอนนี้
หล่อนอยากเป็นคนเหนือคน แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างสูญสลายไปหมดแล้ว
เสิ่นอวี้อิ๋งที่เคยมีแรงจูงใจในตัวเองกลับสับสนเป็นอย่างมากในชั่วขณะนี้
ถังหลิงก็รู้สึกหดหู่และไม่พอใจเช่นกัน เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งบอกว่ามีโอกาสที่จะกลับไปทำอาชีพเดิมได้ หล่อนก็เริ่มมีความหวังเกี่ยวกับอนาคต ถ้าาหล่อนมีหน้าที่การงานที่ดี ก็จะดึงดูดชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมกว่าเดิม และยังช่วยให้วงสังคมของหล่อนขยายกว้างออกไปได้อีกด้วย
ใครจะคิดว่าสถาบันฝึกอบรมวิชาชีพจะเป็นของหลินเซี่ย
ตอนแรกที่หล่อนมาเปิดร้านฝั่งตรงข้าม ทั้งสองอยู่ในจุดเริ่มต้นเดียวกันแท้ ๆ
แววเย็นเยียบฉายวาบผ่านดวงตาของถังหลิง
เพราะหลินเซี่ยคอยเล่นงานพวกเธออยู่ตลอด
ถังหลิงที่เดินนำข้างหน้าอยู่ดี ๆ พลันหยุดชะงัก หันกลับมามองเสิ่นอวี้อิ๋งกับเสิ่นเสี่ยวเหมย เอ่ยขึ้นมาว่า “อวี้อิ๋ง เสี่ยวเหมย พวกเราจะอยู่เฉยแบบนี้ไม่ได้แล้ว”
“พี่หลิง พี่หมายความว่า?”
“พวกเธอเต็มใจให้หลินเซี่ยมาดูถูกแบบนี้เหรอ?” ถังหลิงจ้องมาคนทั้งคู่แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เสิ่นเสี่ยวเหมยโพล่งออกมาอย่างโกรธแค้น “ก็ต้องไม่เต็มใจอยู่แล้ว แต่ตอนนี้หล่อนจองหองเสียขนาดนั้น แถมยังมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งอีกต่างหาก พวกเราจะเอาอะไรไปสู้?”
ไม่มีใครเกลียดหลินเซี่ยมากกว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยอีกแล้ว
ตั้งแต่เด็ก หลินเซี่ยก็เป็นเบ๊ของหล่อน เป็นแพะคอยรับผิดแทนหล่อน เรียกหล่อนว่าพี่สาว แถมยังซื่อบื้อเอามาก ๆ อีกต่างหาก
พอโตขึ้นมา เธอกลายเป็นเด็กบ้านนอก แต่ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะสามารถกลับมาได้อีก อาศัยการกอดแข้งกอดขาเฉินเจียเหอ ทำให้ลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง
ตั้งแต่เธอแต่งงานกับเฉินเจียเหอ ฝันร้ายของหล่อนก็เริ่มขึ้น
หย่าร้าง ตกงาน พี่ชายที่เป็นหัวหน้าโรงงานติดคุก…
หลินเซี่ยเกิดมาเพื่อนำพาโชคร้ายมาให้ตระกูลเสิ่นโดยแท้
แต่ตอนนี้ที่แย่กว่านั้นก็คือ อิทธิพลของหลินเซี่ยยิ่งใหญ่มากขึ้นทุกที กระทั่งพ่อบังเกิดเกล้ายังกลายเป็นคนอื่น แถมเป็นวีรบุรุษผ่านศึกอีกต่างหาก
หลินเซี่ยมีตระกูลเฉินและตระกูลเซี่ยคอยปกป้อง พวกหล่อนไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย
ถังหลิงหรี่ตาพูดว่า “พวกเรากลับไปก่อนค่อยวางแผนระยะยาว”
คนทั้งสามกลับบ้านตระกูลเสิ่น ผู้เฒ่าเสิ่นหิวจนหน้ามืดอยู่บนเตียง รอให้พวกหล่อนกลับมาทำกับข้าวให้กิน แต่คนทั้งสามอารมณ์ไม่ดี ไม่มีอารมณ์ทำอาหารแม้แต่น้อย พวกหล่อนที่เจอเรื่องแบบนั้นมาต่างโกรธจนกินข้าวไม่ลง
กลับมาถึงบ้านก็หาหมั่นโถวให้ผู้เฒ่าเสิ่นกินหนึ่งลูก เทน้ำร้อนหนึ่งแก้ว แล้วเข้าห้องปิดประตูไปวางแผนการขั้นต่อไป
เรื่องการเรียนที่สถาบันฝึกอบรมถือว่าคว้าน้ำเหลวไปแล้ว อย่างไรก็ต้องหาอย่างอื่นทำ
…….
เรื่องที่พวกเสิ่นอวี้อิ๋งมาสมัครเรียนส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกหลินเซี่ยด้วยเช่นกัน
หลังจากทั้งสามคนจากไปก็ไม่มีใครมาสมัครอีกเลย ในช่วงเที่ยง หลินเซี่ยจึงเลี้ยงอาหารทุกคน
“เซี่ยเซี่ย ฉันว่าสามคนนั้นคงไม่ยอมรามือแค่นี้แน่” หลินจินซานพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
เฉินเจียวั่งหน้าบึ้ง เขาแค่นเสียง “พวกนั้นยังจะมาหาเรื่องต่อหน้างั้นหรือ?”
“จะต้องทำลับหลังแน่ ๆ ทุกคนก็รู้ว่าพวกนั้นเป็นคนแบบไหน ฉันว่าเธอน่าจะรีบคิดแผนรับมือนะเซี่ยเซี่ย”
สามคนนั้นเป็นพวกผิดซ้ำซากไปแล้ว ลำพังสถานีตำรวจก็เข้า ๆ ออก ๆ มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง พวกนั้นไม่กลัวอะไรเพราะไม่มีอะไรจะเสีย ตอนนี้ยังรู้ที่ตั้งสถาบันฝึกอบรมวิชาชีพของหลินเซี่ย จะต้องก่อกวนการสมัครคนเข้าเรียนที่นี่แน่นอน
เพราะฉะนั้นต้องคิดมาตรการรับมือล่วงหน้า
หลินเซี่ยเห็นด้วยกับหลินจินซาน เอ่ยขึ้น “วางใจเถอะ ฉันจะคิดหนทางรับมือเอง”
หลังกินข้าว หลินเซี่ยให้หลินจินซานกับหยางหงเซี่ยไปทำงานต่อ เฉินเจียวั่งก็กลับไปที่โรงเรียน ส่วนตัวเธอเองกลับมาที่บ้าน เริ่มคิดว่าต่อไปจะทำอย่างไรบ้าง
การโฆษณาในหนังสือพิมพ์ยังต้องทำต่อไป แต่ขยายวันรับสมัครไปถึงช่วงหลังปีใหม่ ผู้สนใจสมัครสามารถโทรสอบถามได้
จากนั้นเธอก็มีแผนจะพิมพ์ใบปลิวโฆษณาสักชุดไปแจกที่ชานเมือง
โดยเน้นรับสมัครคนจากในชนบทเป็นหลัก ค่าเล่าเรียนงวดแรกก็ลดหย่อนลงมาบ้าง
จุดสำคัญอีกข้อคือการเรียกประชุมทุกคนในร้านทำผมและร้านชุดแต่งงาน ให้สังเกตลูกค้าที่เข้ามา รวมถึงสินค้าที่สั่งเข้ามาก็ต้องคุมเข้มเป็นพิเศษ
สิ่งที่พวกถังหลิงเล่นงานได้ง่ายที่สุดก็คือเครื่องสำอางและเครื่องประทินโฉมในร้านของพวกเธอ
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกำชับให้หลินเยี่ยนกับชุนฟางคุยกับลูกค้าที่เข้ามาแต่งหน้าหรือทำสีผมในช่วงนี้ให้ดี ถ้ามีอาการแพ้หรืออื่น ๆ ก็ต้องบอกกล่าวกันให้ชัดเจน มิฉะนั้นทางร้านจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น
ส่วนเรื่องแหล่งนำเข้าสินค้าก็ยิ่งต้องรอบคอบระมัดระวัง แขวนใบรับรองคุณภาพสินค้าไว้บนผนัง
กันเอาไว้เผื่อมีคนจงใจยกเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์บำรุงผิวขึ้นมาพูดเสีย ๆ หาย ๆ
ช่วงหลายวันต่อจากนั้น ทั้งร้านชุดแต่งงานและร้านทำผมล้วนไม่มีอะไรผิดปกติ
ทางด้านหลินเซี่ยได้เตรียมรับมือไว้แล้ว จึงไม่เป็นกังวลว่าพวกนั้นจะมาหาเรื่อง ถ้ามีสิ่งใดผิดปกติก็จะจับกุมตัว แจ้งตำรวจส่งตัวพวกหล่อนเข้าไปกินข้าวแดงในคุกทันที
เซี่ยไห่บอกให้หลินเซี่ยทำเหมือนคราวก่อน คือทำใบปลิวโฆษณาเป็นแผ่นภาพขนาดใหญ่ แล้วนำไปติดไว้ที่หน้าประตูห้องเต้นรำ ด้วยวิธีนี้ กลุ่มคนหนุ่มสาวที่เข้าออกห้องเต้นรำจะได้เห็นกันถ้วนหน้า
ในทางปฏิบัติ วิธีนี้ได้ผลดีมาก คราวก่อนที่นำใบปลิวโฆษณาร้านชุดแต่งงานไปแจกที่ห้องเต้นรำก็ดึงดูดให้มีลูกค้าเข้ามาสอบถามจำนวนมาก
ช่วงสิ้นปีมีคนแต่งงานกันจำนวนมาก ร้านเช่าชุดแต่งงานจึงคึกคักเป็นพิเศษ หลินเซี่ยประชาสัมพันธ์ได้อย่างทั่วถึง คนหนุ่มสาวจำนวนมากแห่แหนกันมาตามเทรนด์แฟชั่น เต็มใจสวมชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวในงานแต่งงาน รวมถึงถ่ายภาพแต่งงานด้วยเช่นกัน
ช่วงปลายปี เซี่ยไห่ต้องไปเมืองเซินเฉิงเพื่อตรวจสอบบัญชีและเก็บเงิน หลินเซี่ยจึงขอตามเขาไปซื้อสินค้าด้วย เนื่องจากตอนนี้ท้องของเธอยังไม่ใหญ่นัก ยังพอเดินทางไปเมืองเซินเฉิงได้ ผ่านไปอีกสองเดือนก็คงจะไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
เฉินเจียเหอไม่สบายใจ แต่หลินเซี่ยยืนกรานว่าจะต้องไปเลือกชุดแต่งงานชุดใหม่และเครื่องแต่งกายอื่น ๆ ด้วยตนเอง
แน่นอนว่าหลินเซี่ยจะแวะไปหาอู๋เซิ่งหงด้วย
ลงทุนไปมากขนาดนั้น เธอต้องไปดูความคืบหน้าทางฝั่งนั้นสักครั้ง
ความเชื่อใจระหว่างเธอกับอู๋เซิ่งหงมีพื้นฐานจากความทรงจำจากอดีตชาติล้วน ๆ
แต่เมื่อเธอได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก เรื่องบางอย่างและคนบางคนก็อาจจะผิดเพี้ยนไปได้ จึงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
เฉินเจียเหอไม่อาจขัดขวางหลินเซี่ย เขาดูออกว่าตอนนี้หลินเซี่ยเป็นพวกคลั่งการทำธุรกิจ ในหัวมีแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ใครก็ตามที่ขัดขวางหนทางการทำเงินของเธอ เธอก็จะวีนใส่คนผู้นั้น
วันนี้เฉินเจียเหอกลับบ้านเร็วอย่างหาได้ยาก พอเข้าบ้านมาก็ไม่พูดไม่จา ขนเสื้อผ้าและกระเป๋าเดินทางของตัวเองออกมาจากในตู้เสื้อผ้า
หลินเซี่ยเห็นเขาจัดกระเป๋าเดินทางก็เดินเข้าไปถามด้วยความสงสัยว่า “คุณจัดกระเป๋าทำไมคะ?”
“ไปข้างนอก”
เฉินเจียเหอพูดจบก็จัดของต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาวางเสื้อกันหนาวลงในกระเป๋า ตามด้วยอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำ
“คุณจะไปไหน?” หลินเซี่ยเข้ามาถาม “พรุ่งนี้เช้าฉันกับอาหลงจะไปเมืองเซินเฉิง ถ้าคุณต้องไปธุระเรื่องงานที่ต่างเมือง หู่จือคงต้องอยู่กับคุณปู่คุณย่าต่อ”
เฉินเจียเหอตอบรับ “ให้เขาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่นั่นแหละ”
ตอนเย็น หลินเซี่ยก็รู้สึกว่าเฉินเจียเหออารมณ์ไม่ค่อยดี ทั้งไม่บอกว่าตัวเองจะไปไหน ไปกี่วัน
ทั้งสองนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน หลินเซี่ยอยากถามอะไร แต่เฉินเจียเหอทำเพียงดึงเธอเข้ามากอด ไม่นานนักก็ส่งเสียงกรนออกมา
หลินเซี่ยถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ คนคนนี้กลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรนะ เมื่อก่อนพูดไว้ดิบดีว่าจะสนับสนุนการงานของเธอ นี่ไม่ทันไรก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว
ในใจบ่นอย่างนั้น แต่พอสัมผัสได้ว่าเฉินเจียเหอลูบไล้หน้าท้องเธอทั้งที่ยังหลับอยู่ เธอก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง
เขาคงห่วงว่าเธอตั้งครรภ์อยู่ ออกไปข้างนอกจะไม่ปลอดภัย
หลินเซี่ยรู้สึกขัดแย้งในใจอย่างมาก ถ้าอยากให้เฉินเจียเหอสบายใจ เธอคงต้องให้ เซี่ยไห่ช่วยจัดการเรื่องซื้อสินค้าแทน
เธอพลันนอนไม่หลับ คิดไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะเขียนรายการสินค้าแล้ววาดแบบชุดคร่าว ๆ ให้เซี่ยไห่ ให้เขาจัดการตามเห็นสมควร
แต่เธอไม่ทราบว่าเซี่ยไห่จะเลือกชุดที่ตรงตามความต้องการของเธอหรือไม่
เฮ้อ…หลินเซี่ยถอนหายใจอีกครั้ง
ผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกแล้วคิดจะทำอะไรสักอย่างช่างยากเย็นเหลือเกิน มีข้อจำกัดเต็มไปหมด
เช้าวันถัดมา ตอนที่เฉินเจียเหอตื่น หลินเซี่ยยังหลับอยู่ เขาจึงจุมพิตหน้าผากเธอเบา ๆ แล้วเอาเสื้อผ้ากับของใช้ที่จัดไว้เมื่อคืนใส่ในกระเป๋าเดินทางของหลินเซี่ย จากนั้นก็ออกไปซื้ออาหารเช้า