คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 729 มีคนมาจากเมืองหลวง ตระกูลฉินกำลังจะได้กลับไป

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 729 มีคนมาจากเมืองหลวง ตระกูลฉินกำลังจะได้กลับไป

เฉิงรั่วเหลียนไม่ได้คิดว่าวิธีหลบหนีจากการคัดเลือกนางสนมของนางคือการเป็นศิษย์ฆราวาสและบำเพ็ญตน โชคดีที่ศิษย์ฆราวาสไม่ต้องกินเจ ไม่ต้องสวมชุดเต๋า แต่นางยังต้องอ่านและคัดคัมภีร์ลัทธิเต๋า หากอารามมีพิธีหรือการกุศล นางก็จะต้องเข้าร่วมช่วยเหลือเมื่อมีเวลา

แน่นอนว่าหากนางเต็มใจ นางก็สามารถอยู่ในอารามได้เป็นครั้งคราว และช่วยจัดพระคัมภีร์และหนังสือเบ็ดเตล็ดในหอเติงเซียน

เฉิงรั่วเหลียนไม่เคยคิดมาก่อนว่า วันหนึ่งนางจะได้พบกับคู่ที่แท้จริงของตนในอารามชิงผิง แต่ตอนนี้จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้น

เมื่อสาวงามจากทั่วประเทศเข้ามาเมืองหลวง ฉินหลิวซีจัดเตรียมถ้ำเก่าของชื่อเจินจื่อบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือไว้เรียบร้อยแล้ว แค่พาชายชรามาที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเฟิงซิวนั่นจะได้ผลพุทธะมาแล้วหรือไม่

ในเวลานี้ในส่วนลึกของเขาซวีหมีล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอก เฟิงซิวจามออกมาขณะที่นอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผา เขาบิดขี้เกียจ หางฟูๆ ทั้งเก้าด้านหลังสะบัดไปมาเบาๆ

ดวงตาจิ้งจอกเรียวยาวของมันเปิดขึ้นเล็กน้อย มองไปยังต้นไม้เล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างที่ดูเหมือนทั้งต้นโพธิ์และต้นสาละ

แม้จะบอกว่าเป็นต้นไม้ แต่มันก็มีใบประมาณสิบใบเท่านั้น และเมื่อแสงส่องลงมา ลำต้นของมันก็ดูเหมือนถูกอาบไล้ไปด้วยแสงพุทธะ ด้านบนมีผลไม้รูปไข่คล้ายเมล็ดโพธิ์หุ้มด้วยเปลือกหยาบชั้นหนึ่ง ดูเหมือนผลไม้ธรรมดา แต่เมื่อมองให้ดีก็จะเห็นลายเส้นเล็กๆ ราวกับเส้นผมจำนวนหนึ่งบนเปลือก เผยร่องรอยของแสงพุทธะอันสงบรางๆ

หากผลพุทธะโตเต็มที่ รอยนั้นจะแตกออก เผยลักษณะที่แท้จริงของมันออกมา

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลพุทธะลอยมา เฟิงซิวก็นั่งขัดสมาธิและร่ายอาคมเพื่อปิดบังต้นไม้ต้นนี้ไว้ สำหรับคนภายนอก มันจะดูเหมือนต้นไม้เล็กๆ ธรรมดาๆ ที่เติบโตบนหน้าผาเท่านั้น

คนใจร้ายนั่นเร่งเขาอยู่ได้ทั้งที่ผลยังไม่สุก เห็นได้ชัดว่านางกลัวว่าเขาจะทำไม่สำเร็จเพราะมัวหว่านเสน่ห์

แต่เขาก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งอยู่ดี

โลกนี้ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน

เฟิงซิวเข้าสมาธิ ริมฝีปากยกโค้งขึ้น

แต่มันก็คุ้มค่า

ในเดือนเจ็ด ฉินหลิวซีฉลองวันเกิดของนาง ปีนี้สู้ปีที่แล้วไม่ได้ ทุกคนในบ้านต่างมอบของขวัญวันเกิดให้นางคนละชิ้น

เมื่อถึงวันสารท ในนามของเจ้าอาวาสน้อย นางจัดพิธีกรรมขึ้นในอาราม ในตอนกลางวันทำทานและสวดส่งวิญญาณ บรรยากาศจริงจัง ศักดิ์สิทธิ์ และปลอบประโลมใจ สร้างความประทับใจให้กับผู้ศรัทธาจำนวนมาก แม้แต่ทุกคนในจวนตระกูลฉินก็ยังมีความคิดที่เปลี่ยนไป

พวกนางเข้าใจเหตุผลแล้วว่า เหตุใดจึงเข้ากับฉินหลิวซีไม่ได้ พวกนางเป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ ที่อยู่แต่ในบ้าน แต่นางเป็นคนที่ยืนอยู่บนที่สูงให้คนมองด้วยความเคารพศรัทธา

ใช่แล้ว หนึ่งปีผ่านไปแล้ว และปีนี้บ้านตระกูลฉินไม่ได้เก็บตัวไม่ออกไปไหนเหมือนปีที่แล้ว พิธีกรรมในปีนี้ พอฉินหลิวซีเอ่ยปาก ยกเว้นฮูหยินฉินผู้เฒ่าที่เดินเหินไม่สะดวกแล้ว สะใภ้หวังก็พาสตรีทุกคนในบ้านมาร่วมงานที่อาราม

เมื่อเห็นความเชื่อและความชื่นชมของผู้ศรัทธาที่มีต่อฉินหลิวซีแล้ว สะใภ้หวังและคนอื่นๆ ก็รู้สึกภาคภูมิใจ ในขณะที่น้องสาวอย่างฉินหมิงเย่ว์นั้นมีอารมณ์ที่หลากหลาย ในสายตามีความอิจฉาและริษยาเล็กน้อย

แต่สิ่งที่ทำให้พวกนางรู้สึกซับซ้อนที่สุดคือเหล่าฮูหยินที่พยายามหลบเลี่ยงพวกนางแต่แรกกลับเริ่มกระตือรือร้นมีน้ำใจต่อพวกนางก็เพราะนาง

ตัวอย่างเช่น ฮูหยินอวี๋เป็นคนแนะนำฮูหยินรองนายอำเภอคนใหม่ให้รู้จักพวกนางและทักทายพวกนาง และยังบอกด้วยว่าจะส่งเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉินหลิวซี ท่านเจ้าอาวาสน้อย ทำไมรู้น่ะหรือ เพราะพวกนางเอาแต่พูดชื่อนางไม่หยุดน่ะสิ

ใช่ บางทีฮูหยินเหล่านี้อาจไม่ดีเท่าตระกูลฉินในอดีต แต่ตระกูลฉินกำลังตกต่ำและไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท พวกนางยังสู้พวกพ่อค่าร่ำรวยทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ สมาชิกตระกูลขุนนางที่ไม่ยอมคลุกคลีกับพวกนางโดยไม่รังเกียจก็ถือว่าดีแล้ว

ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณฉินหลิวซี

“เสื้อคลุมของพี่หญิงใหญ่ดูสง่างามมาก เสื้อคลุมเต๋าดูดีขนาดนี้เลยหรือ” ฉินหมิงซินกระซิบกับพี่สาวฉินหมิงเย่ว์

ฉินหมิงเย่ว์เอ่ย “ไม่ใช่หรอก เจ้าเห็นหรือไม่ว่านักพรตคนอื่นก็ไม่ได้สวมเสื้อคลุมที่หรูหราเช่นนี้ นางได้รับเกียรตินี้เพราะนางคือเจ้าอาวาสน้อย”

“เจ้าอาวาสน้อยจะต้องสืบทอดอารามเต๋ามิใช่หรือ แล้วต่อไปนางจะไม่แต่งงานจริงๆ หรือ” ฉินหมิงซินเบิกตากว้าง

ฉินหมิงเย่ว์นิ่งเงียบ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ มีใครคู่ควรกับนางด้วยหรือ

ไม่ใช่สิ จะมีใครเข้าตานางบ้างต่างหาก?

นางเงยหน้าขึ้นมองและเห็นฉินหลิวซีหยิบตะกร้าใบหนึ่งจากนักพรตคนหนึ่งมา และเริ่มแจกถุงนำโชค บางคนมีความสุขมาก ในขณะที่บางคนก็โขกศีรษะคำนับนางด้วยความเคารพ

ท้ายที่สุดแล้วเส้นทางของนางแตกต่างจากสตรีธรรมดาทั่วไปเช่นพวกนาง

ฉินหมิงเย่ว์ตระหนักได้เช่นนั้น นางหลับตาลง ในใจก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงวันสารทมีการจัดพิธีกรรมและการทำกุศลเป็นเวลาสองวันซึ่งทำให้อารามชิงผิงมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น ฉินหลิวซีก็ยิ่งอยากจะส่งนักพรตเฒ่าชื่อหยวนไปกักตนสักที

อย่างไรก็ตาม มีคนมาจากเมืองหลวง

คนที่มาเป็นคนคุ้นเคยที่มีชื่อว่าลู่สวิน

“ท่านเจ้าอาวาสน้อย” ลู่สวินประสานมือโค้งคำนับให้ฉินหลิวซี

ฉินหลิวซินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยพลางเอ่ย “เหตุใดใต้เท้าลู่ถึงมาที่นี่ได้”

ลู่สวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมายแล้ว ข้ายังได้รับการไหว้วานจากคนอื่นให้มาเชิญท่านเจ้าอาวาสน้อยให้เดินทางไปสักครั้ง นอกจากนี้ก็มีข่าวมาบอกท่านเจ้าอาวาสน้อยด้วย”

“อ้อ?” ฉินหลิวซีรินชาให้เขา “ข่าวอะไรที่ให้ใต้เท้าลู่ต้องเดินทางมาถึงนี่”

“ไม่ทราบว่าเจ้าอาวาสน้อยยังจำมารดาและบุตรชายที่กินดินกวนอิมได้หรือไม่ อวี๋ซื่อผู้นั้นรายงานต่อศาลต้าหลี่ว่าหลินจ้าว หัวหน้าสำนักกวงลู่ทุจริตและติดสินบนให้คนสร้างปัญหาในพิธีบูชายัญที่จัดขึ้นในเดือนเจ็ดปีคังอู่ที่ยี่สิบห้า ใส่ร้ายขุนนางผู้ภักดี ทั้งยังระบุตำแหน่งของสมุดบัญชีด้วย ศาลต้าหลี่รับคดีนี้ ค้นหาหลักฐาน และยื่นฎีกา ฝ่าบาททรงกริ้วหนักและรับสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “ทำไมหรือ หลินจ้าวผู้นั้นไปแย่งเด็กจากตระกูลอวี๋เร็วอย่างนี้เลย?”

ดวงตาของลู่สวินเป็นประกายก่อนจะเอ่ย “ท่านรู้?”

“ลืมไปแล้วหรือว่าข้าหากินอย่างไร นับนิ้วทำนายดูก็รู้”

ลู่สวิน “…”

ดูเถิดว่าท่านยอดเยี่ยมแค่ไหน

เขากระแอมก่อนจะเอ่ย “ภรรยาของหลินจ้าวแท้งลูก ได้รับบาดเจ็บ และมีลูกไม่ได้อีกต่อไป เขาต้องการแย่งตัวหลินหลางกลับมา กลายเป็นการบีบบังคับให้นางต้องฟ้องร้องเรื่องการทุจริตของเขา”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นการทุจริตของหลินจ้าว ก็สามารถทำให้ฝ่าบาทคิดได้ว่าท่านปู่ของข้าถูกจัดฉากใส่ร้ายจริงๆ และพิจารณาคดีใหม่งั้นหรือ”

ลู่สวินมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “แค่เรื่องหัวหน้าเล็กๆ คนหนึ่งทุจริตไม่ทำให้ฝ่าบาทกริ้วขนาดนี้แน่นอน”

ฉินหลิวซีมองเขาและรอคำพูดต่อไป

“แต่มันจะแตกต่างออกไปถ้าเรื่องทุจริตนี้ไปเกี่ยวข้องกับลิ่วล้อของรัชทายาท”

ฉินหลิวซีหรี่ตาลงและเข้าใจ หากจะถามว่าใครคือหนามยอกอกของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ย่อมต้องเป็นรัชทายาท พี่ชายที่มีความสามารถอันน่าทึ่งอย่างแน่นอน หากไม่ใช่เพราะการสาปแช่งและการบีบบังคับให้สละราชสมบัติในภายหลังล้มเหลว ใครจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ยังไม่รู้ได้

ตอนที่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ ก็มีข้าราชบริพารที่จงรักภักดีต่อรัชทายาทไม่น้อย ฝ่าบาทต้องทุ่มเทความพยายามมากมายในการควบคุมราชสำนัก ดังนั้นการปกครองในเวลานั้นจึงไม่มั่นคงเท่าใดนัก ฝ่าบาทต้องใช้ไม้แข็งเพื่อปรามเหล่าขุนนาง จึงสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง แต่รัชทายาทก็ยังคงเป็นหนามยอกอกอยู่ดี

ดังนั้นจึงไม่อาจพูดเรื่องต้องห้ามดังกล่าวได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่น่าสงสัยว่าพวกลิ่วล้อของรัชทายาทกำลังเล่นตุกติกอะไร ถึงได้กล้าเข้าไปยุ่งกับงานบวงสรวงครั้งใหญ่ พวกเขาต้องการทำสิ่งใด

ฉินหลิวซีถามอย่างสงสัย “ทำไมหรือ สำนักกวงลู่ก็มีพวกลิ่วล้อของรัชทายาทด้วยงั้นหรือ”

ลู่สวินไม่ตอบ เขาเพียงแต่ยิ้มพลางเอ่ย “เอาเป็นว่าศาลต้าหลี่กำลังตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ท่านรู้ว่าตระกูลฉินของพวกท่านใกล้จะได้กลับไปแล้วก็พอ”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท