ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 460 กบฏ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 460 กบฏ

เซียวกุ้ยเฟยรู้ข่าวก็ตกใจ รีบร้อนมาโดยเร็ว

“ฝ่าบาท พระองค์มิเป็นอันใดนะเพคะ”

จักรพรรดิหย่งอันมองดูแล้วสงบเยือกเย็นมาก เขากวาดตามองหน้าท้องนูนเล็กน้อยของเซียวกุ้ยเฟยแวบหนึ่ง พลางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สนมรักไม่ต้องกังวล เรามิเป็นอันใด”

เซียวกุ้ยเฟยเพิ่งจะจิตใจสงบลงหลังอาการตื่นตกใจ หัวใจจึงยังคงเต้นรัว “ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้เพคะ หม่อมฉันตกใจแทบแย่”

ทุกอย่างของนางล้วนเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ยังมีบุตรอีกจึงไม่กล้าคิดถึงผลที่จะเกิดตามมาในภายหลังที่เกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้แม้แต่น้อย…

จักรพรรดิหย่งอันยื่นมือไปดึงเซียวกุ้ยเฟยให้มานั่งข้างกาย ปลอบประโลมว่า “เรามิเป็นอันใดจริงๆ สนมรักตั้งครรภ์อยู่ มิจำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกนี้”

เซียวกุ้ยเฟยยังคงไม่คลายสีหน้ากังวล “ถึงกับกล้าลอบสังหารในพระตำหนัก นักดนตรีเหล่านั้นไปเอาความกล้ามาจากที่ใด…”

จักรพรรดิหย่งอันตบหลังมือเซียวกุ้ยเฟย “เราจะสั่งคนให้ตรวจสอบจนถึงที่สุด สนมรักดูแลสุขภาพให้ดีก็เป็นการปลอบใจเราได้มากที่สุดแล้ว”

“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ” เซียวกุ้ยเฟยลูบหน้าท้อง เผยรอยยิ้มออกมา “ฝ่าบาท วันนี้ลูกเตะหม่อมฉันแล้วเพคะ”

“เช่นนั้นหรือ” จักรพรรดิหย่งอันเผยสีหน้ายินดี วางมือลงบนหน้าท้องเซียวกุ้ยเฟย แต่ความคิดกลับล่องลอยไปไกล

นับตั้งแต่ข่าวการตั้งครรภ์ของกุ้ยเฟยแพร่ออกไป เวลาที่เขาอยู่ในวังหลังก็เพิ่มขึ้นมา แต่นางสนมและนางกำนัลอื่นๆ กลับไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ

บางทีควรจะเพิ่มสตรีในวังหลังให้เยอะขึ้นแล้ว…

“ฝ่าบาทเพคะ?”

จักรพรรดิหย่งอันดึงความคิดกลับมาแล้วยิ้ม “สนมรักเป็นอันใดไปหรือ”

“ฝ่าบาทมิเป็นอันใด หม่อมฉันก็สบายใจ หม่อมฉันเหนื่อยเล็กน้อย อยากกลับตำหนักพักผ่อนเพคะ”

“สนมรักกลับไปพักผ่อนเถอะ”

รอเซียวกุ้ยเฟยจากไป จักรพรรดิหย่งอันก็กลับคืนสู่สีพระพักตร์สงบนิ่ง “โจวซาน ซื่อจื่ออ๋องเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

โจวซานรีบเอ่ยถึงการแสดงออกของเหล่าซื่อจื่อ “ทูลฝ่าบาท ติ้งตงอ๋องซื่อจื่อมุดเข้าไปใต้โต๊ะ จิ้งเป่ยอ๋องซื่อจื่อยกโต๊ะอาหารขึ้นมาป้องกัน ผิงซีอ๋องซื่อจื่อลุกขึ้นหลบหนี…”

จักรพรรดิหย่งอันฟังเงียบๆ ถามขึ้นมากะทันหันว่า “เจิ้นหนานอ๋องล่ะ”

โจวซานอึ้ง รีบตอบว่า “เจิ้นหนานอ๋องคล้ายจะตกใจจนร้องไห้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ตกใจจนร้องไห้หรือ” จักรพรรดิหย่งอันแววพระเนตรไหววูบ มุมปากคล้ายมีรอยยิ้ม

โจวซานก้มศีรษะเอ่ย “เจิ้นหนานอ๋องอายุยังน้อย ทั้งยังเติบโตมากับชาวบ้าน สถานการณ์ที่เคยพบเจอมีน้อย…”

จักรพรรดิหย่งอันพยักพระพักตร์เล็กน้อย “เด็กๆ ย่อมแบกรับความตกใจไม่ไหว ประเดี๋ยวส่งของขวัญจำนวนหนึ่งไปปลอบเจิ้นหนานอ๋องให้หายตกใจด้วย”

เด็กคนนั้นแสดงออกเช่นนี้ ดูท่าเขาคงจะคิดมากไป เพียงแต่ราชทินนาม ‘เจิ้นหนานอ๋อง’ นี้ เดิมก็เป็นการคงอยู่ที่ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่แล้ว

โชคดีที่เป็นแค่เด็กที่ถูกเลี้ยงให้เติบโตมาโดยชาวบ้าน นอกจากองครักษ์คนหนึ่งก็ไม่มีสิ่งใด มิอาจสร้างคลื่นลมใดๆ ขึ้นมาได้

จักรพรรดิหย่งอันยิ้ม พลางสั่งเรื่องอื่นๆ กับโจวซาน

หลังฮ่องเต้ประสบกับการลอบสังหารก็ยังคงดูแลเจิ้นหนานอ๋อง นี่ทำให้บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงที่ยังหลงเหลือความแตกตื่นค่อยๆ ปรับท่าทีที่มีต่อเจิ้นหนานอ๋องเงียบๆ

ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ในเมื่อฝ่าบาทให้เกียรติเด็กหนุ่มผู้เป็นเจิ้นหนานอ๋อง เมื่ออยู่ต่อหน้า พวกเขาก็ต้องยอมรับให้ได้เช่นกัน

ฮ่องเต้ถูกลอบสังหารไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คราวนี้ลำบากเหล่าซื่อจื่อแล้ว ท่านอ๋องน้อยที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและร่ำรวยในพื้นที่ต่างๆ เหล่านั้นล้วนกลับไปไม่ได้แล้ว

แม้จะกล่าวว่าเมืองหลวงคึกคัก ลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อ สำมะเลเทเมา มีซื่อจื่อหลายท่านมีท่าทางสนุกกับการใช้ชีวิตในที่ใหม่จนลืมกลับบ้านหลายส่วน เมื่อข่าวคราวส่งกลับไปยังจวนอ๋องแต่ละแห่งกลับทำให้ตื่นตกใจประหนึ่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ

ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อล้วนเป็นบุตรชายคนโตที่เกิดแต่พระชายาเอกของท่านอ๋องแต่คนละ ผู้สืบทอดจวนอ๋องในภายภาคหน้า ตอนนี้ต้องพักอยู่ในเมืองหลวงชั่วคราวก็เหมือนกับรัดคออ๋องทุกคนเอาไว้ จะไม่ทำให้คนหวาดกลัวได้อย่างไร

จวนติ้งตงอ๋อง

หลังจากได้รับข่าวติ้งตงอ๋องก็ตบโต๊ะ แววตาชั่วร้าย ต่างจากเหล่าพี่น้องที่ลนลาน หวั่นวิตก “ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นพอให้เหล่าซื่อจื่อนำขบวนเข้าเมืองหลวงไปถวายพระพรในวันฉลองพระชนมายุหมื่นปีครั้งนี้”

เรื่องราวผิดปกติ ย่อมมีจุดใดที่แปลกประหลาดอย่างแน่นอน นิสัยต่ำตมเลวทรามเฉกเช่นเจ้ารอง ประสบกับการลอบสังหารในตำหนักอันใดกัน เกรงว่าเขาจะกำกับเองแสดงเองเสียมากกว่า เพื่อที่จะรั้งให้เหล่าซื่อจื่ออยู่ในเมืองหลวงอย่างชอบด้วยเหตุผล

สรุปว่าต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะสามารถสืบพบตัวผู้บงการในการลอบสังหารก็ยังต้องดูท่าทีของเจ้ารอง เจ้ารองอยากจะรั้งเหล่าซื่อจื่อไว้นานเท่าใดก็เท่านั้น

เจ้าคนที่ทนเห็นผู้ที่มีผลประโยชน์ขัดกับตนเองไม่ได้ผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการให้จวนอ๋องจะขว้างหนูก็กลัวจะไปกระทบของมีค่าที่อยู่ข้างๆ[1] นับแต่นี้ต้องทำตัวเป็นคนซ่อนหาง[2]

นึกถึงจุดจบอันน่าสังเวชใจของจวนเจิ้นหนานอ๋อง และคิดถึงจุดจบอันน่าเวทนาของจวนผิงหนานอ๋องในตอนนี้ รวมกับเหล่าซื่อจื่อที่ถูกรั้งตัวไว้ในเมืองหลวง จิตใจที่ลังเลของติ้งตงอ๋องกลับแน่วแน่ขึ้นมาในยามนี้

เซียวกุ้ยเฟยตั้งครรภ์ หากมีประสูติกาลเป็นองค์ชาย จะต้องถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงเยาว์วัย เจ้ารองจะต้องลงดาบกับพวกเขาชินอ๋องซึ่งเป็นผู้ครอบครองดินแดนต่างๆ เหล่านี้เพื่อปกป้องบุตรชายในไม่ช้าก็เร็วแน่นอน

หากเซียวกุ้ยเฟยมีประสูติกาลเป็นองค์หญิงก็มีจวนผิงหนานอ๋องเป็นตัวอย่างอยู่ด้านหน้า เจ้ารองยิ่งจะเลือกทายาทจากจวนอ๋องทั้งหมดอีกอย่างไม่ยินยอม และจะต้องรอให้นางสนมกำนัลคนไหนมีประสูติกาลองค์ชายแน่นอน หากยื้อเวลานี้ไปนานเกินไป จะต้องมีขุนนางเอ่ยเรื่องผู้สืบทอดขึ้นมาเพื่อความมั่นคงของบ้านเมืองอีกครั้ง

เพื่อจัดการกับภัยที่แฝงไว้นี้ เจ้ารองจะยังคงลงดาบกับจวนอ๋องอยู่ดี

คิดไม่คิดมา ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องถูกโดนลงดาบจัดการ จุดจบของจวนเจิ้นหนานอ๋องกับจวนผิงหนานอ๋องนั้นเป็นบทเรียนแห่งความล้มเหลวที่เตือนใจจวนอื่นๆ

แล้วจะทำเช่นไรได้อีก กบฏเลยแล้วกัน!

หลังจากตัดสินใจแล้ว ติ้งตงอ๋องก็พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมกับจวนอ๋องอื่นๆ คิดอยู่หลายวันก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป

การต้องสูญเสียบุตรชายคนโตซึ่งเกิดแต่พระชายาเอกไม่ใช่เรื่องที่จวนอ๋องทุกจวนจะสามารถยอมรับได้ หากมีผู้ไม่ยินยอมร่วมมือ กระทั่งเตรียมบอกความลับ ในทางตรงกันข้ามจะแย่เอา

ติ้งตงอ๋องลุกขึ้นเดินไปถึงกลางลาน มองไปยังทิศทางของเมืองหลวง

เขาย่อมตัดใจยอมสูญเสียบุตรชายคนโตที่เกิดกับพระชายาเอกไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น คนที่ส่งไปก็เป็นบุตรชายคนรอง

บุตรชายคนรองถือกำเนิดจากซื่อเชี่ย[3] อ่อนกว่าบุตรชายคนโตซึ่งเกิดจากพระชายาเอกหนึ่งปี เดิมสองพี่น้องก็มีจุดที่คล้ายคลึงกัน บวกกับอยู่ในสถานที่ห่างไกลจึงไม่เคยไปเมืองหลวงมาก่อน การใช้กลยุทธ์ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ[4] นั้นไม่ยาก

บุตรชายอนุภรรยาซึ่งไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายคนหนึ่ง มีส่วนเสียสละเพื่อคุณูปการอันยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดินั้นเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้

ติ้งตงอ๋องก่อกบฏแล้ว

เพราะว่ากะทันหันเกินไป กองทัพติ้งตงที่จำนวนคนไม่นับว่ามากอาศัยกำลังทำลายล้างทุกสิ่งให้พังพินาศเข้าครอบครองเมืองไปหลายเมืองประดุจคมดาบเล่มหนึ่ง ตัดเส้นทางน้ำและถนนสายหลักต่างๆ จนกลายเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่

รายงานเร่งด่วนส่งกลับไปยังเมืองหลวง จักรพรรดิหย่งอันโกรธเกรี้ยว

ติ้งตงอ๋องซื่อจื่อยังอยู่ในมือ ติ้งตงอ๋องถึงกับกล้าก่อกบฏ!

“นำตัวติ้งตงอ๋องซื่อจื่อมา!”

ในไม่ช้าติ้งตงอ๋องซื่อจื่อผู้มุดเข้าไปหลบใต้โต๊ะในตอนที่จักรพรรดิหย่งอันถูกลอบสังหารก็ถูกพามาเบื้องหน้าจักรพรรดิหย่งอันในไม่ช้า

จักรพรรดิหย่งอันทอดพระเนตรติ้งตงอ๋องซื่อจื่อที่คุกเข่าตัวสั่นเทิ้มอยู่บนพื้นอิฐทอง พลางถามเสียงเย็น “เจ้ารู้วัตถุประสงค์ในการที่เราเรียกตัวเจ้ามาหรือไม่”

ติ้งตงอ๋องซื่อจื่อไม่กล้าเงยหน้า เอ่ยเสียงติดสะอื้น “หลาน หลานมิทราบพ่ะย่ะค่ะ…”

หรือว่าจะตามสืบเรื่องถูกลอบสังหารในพระตำหนักมาถึงตัวเขากัน

เขาไม่รู้อะไรเลยนะ หากว่าสืบมาถึงตัวเขาจริงๆ จะต้องมีคนใส่ร้ายเขาแน่นอน!

จักรพรรดิหย่งอันจ้องเด็กหนุ่ม ตรัสทีละคำ “เสด็จพ่อของเจ้าก่อกบฏแล้ว”

“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ” ติ้งตงอ๋องซื่อจื่อพลันเงยหน้า สีหน้าซีดขาว

จักรพรรดิหย่งอันกัดฟัน “ใครก็ได้ นำตัวติ้งตงอ๋องซื่อจื่อออกไปจัดการด้วยทัณฑ์เลาะกระดูก[5]”

ตามการก้าวเข้ามาลากแขนติ้งตงอ๋องซื่อจื่อของขันทีสองคน เขาก็กรีดร้องขึ้นมาอย่างน่าเวทนา “เสด็จลุงไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงไว้ชีวิตด้วย หลานมิใช่ซื่อจื่อ…”

จักรพรรดิหย่งอันส่งสัญญาณให้ขันทีหยุด พลางถามเสียงเย็น “เจ้าเล่ามาให้ชัดเจน”

เมื่อฟังซื่อจื่อตัวปลอมที่ตกใจอ่อนแรงเล่าจบ จักรพรรดิหย่งอันก็โบกมือ “พาตัวออกไป จัดการด้วยทัณฑ์เลาะกระดูก!”

ซื่อจื่อตัวปลอมถูกลากออกไปเร็วมาก ทิ้งไว้เพียงเสียงร่ำไห้โหยหวนอย่างสิ้นหวังที่ดังสะท้อนในพระตำหนัก

จักรพรรดิหย่งอันยิ่งคิดก็ยิ่งพิโรธจึงสั่งการโจวซานหน้าเขียวคล้ำ “เรียกตัวไคหยางอ๋องเข้าวังมาเข้าเฝ้า”

เว่ยหานได้รับราชโองการก็ผลัดเปลี่ยนเป็นชุดขุนนางสีแดง ตามขันทีเข้าไปในวัง

[1] จะขว้างหนูก็กลัวจะไปกระทบของมีค่าที่อยู่ข้างๆ อุปมาถึงความวิตกกังวลในการที่คิดจะกำจัดคนเลวแต่ก็เกรงจะไปกระทบถูกคนอื่น ทำอะไรห่วงหน้าพะวงหลัง

[2] ทำตัวเป็นคนซ่อนหาง เปรียบถึงบุคคลผู้กระทำผิดต้องเจียมเนื้อเจียมตัว เพื่อเป็นการแสดงออกว่าสำนึกผิด

[3] ซื่อเชี่ย หมายถึงสาวใช้ในบ้านฝ่ายชายที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแล้วถูกยกขึ้นเป็นอนุภรรยา

[4] กลยุทธ์ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ หมายถึง การยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนใหญ่

[5] ทัณฑ์เลาะกระดูก เป็นวิธีการทรมาน โดยการจับนักโทษขึงกับแท่นหรือเสา จากนั้นก็นำมีดขนาดเล็ก มาแล่เนื้ออย่างช้าๆ โดยที่เนื้อนั้นยังไม่ขาดจากร่างกาย เริ่มจากหน้าอกแล้วไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงศีรษะ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท