ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 462 บุรุษต้องแต่งภรรยา สตรีต้องออกเรือน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 462 บุรุษต้องแต่งภรรยา สตรีต้องออกเรือน

จักพรรดิหย่งอันให้ความสนใจกับเว่ยหานมากกว่าขุนนางคนอื่นๆ มาก

แม่ทัพที่มีชื่อเสียงในต้าโจวมีจำนวนหนึ่ง ไคหยางอ๋องเป็นหนึ่งในคนที่เจิดจรัสมากที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้น

เรื่องเกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยของแว่นแคว้น จะไม่สนใจได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้เมินเฉยเรื่องการแต่งงานของไคหยางอ๋อง เพราะไม่อยากให้เขาแต่งภรรยา ให้กำเนิดบุตรตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นทางตะวันออก ต้องส่งไคหยางอ๋องกรีธาทัพไปออกรบ สถานการณ์จึงไม่เหมือนกันแล้ว

เมื่อเพลิงสงครามปะทุก็มีความเป็นได้มากว่าจะดำเนินไปหลายปี มีคนให้ห่วงใยที่เมืองหลวงสักคนหนึ่งถึงจะดี อาศัยความเข้าใจที่เขามีต่อไคหยางอ๋อง น้องชายเยาว์วัยผู้นี้ของเขาให้ความสำคัญกับบุตรสาวของลั่วฉือแล้ว

สำหรับเรื่องการฉุดรั้งกับความสมดุล จักพรรดิหย่งอันนั้นเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี

“ลั่วฉือ?”

แม่ทัพใหญ่ลั่วมองจักพรรดิหย่งอันด้วยสีหน้าซับซ้อน “พ่ะย่ะค่ะ”

“วาจาที่เมื่อครู่นี้ของเรา เจ้าได้ยินหรือไม่”

“กระหม่อม…ได้ยินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ เราอยากได้ยินข่าวดีเร็วหน่อย”

“ฝ่าบาท…”

“หืม?” จักพรรดิหย่งอันมุ่นพระขนง น้ำเสียงเคร่งขรึมลง

ความน่าเกรงขามขององค์จักรพรรดิพุ่งเข้าปะทะใบหน้า แฝงไปด้วยการไม่อนุญาตให้เอ่ยแทรกและคำเตือน

แม่ทัพใหญ่ลั่วตะลึง กัดฟันเอ่ยพ่ะย่ะค่ะ

ผู้ปกครองแว่นแคว้นต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็จำเป็นต้องตาย นับประสาอะไรกับแค่การให้บุตรสาวขุนนางแต่งงาน

แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่จะทำอะไรได้

แม่ทัพใหญ่ลั่วที่ออกจากวังหลวง เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

ท้องฟ้ามองดูขมุกขมัวยิ่งขึ้น เมฆที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ นั้น หนักหนาและกดดัน

เขายกมุมปาก เผยรอยยิ้มเยาะตนเองออกมา

ไม่นานก่อนหน้านี้ เขายังทอดถอนใจถึงบรรยากาศตึงเครียดก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น คิดไม่ถึงว่าพายุนั้นจะพัดมาใส่ศีรษะตนเองเสียก่อน

“อวิ๋นต้ง” แม่ทัพใหญ่ลั่วค่อยๆ เอ่ยปาก

“ขอรับ”

“เชิญไคหยางอ๋องไปนั่งที่โรงน้ำชาบนถนนชิงซิ่ง”

“ขอรับ”

สายตามองบุตรบุญธรรมที่มุ่งหน้าไปยังทิศทางจวนไคหยางอ๋อง แม่ทัพใหญ่ลั่วก้าวเท้าหนักอึ้งเดินไปทางถนนชิงซิ่ง เพิ่งจะเหยียบเท้าลงบนถนนชิงซิ่ง ก็บังเอิญพบกับชายหนุ่มชุดแดงคนนั้น

แม่ทัพใหญ่ลั่วฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา “บังเอิญเสียจริง ท่านอ๋องจะไปที่ใดหรือ”

“ไปมีหอสุรา”

แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้า พลางเอ่ยว่า “เช้าขนาดนี้จะไปร่ำสุราแล้วหรือ”

สืออี้ องครักษ์คนสนิทที่ติดตามอยู่ด้านหลังเว่ยหานมุ่นคิ้วเล็กน้อย

นายท่านพวกเขามักจะไปเร็วกว่านี้อีก ที่แท้แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ไม่รู้

แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่า ผู้ที่เป็นถึงชินอ๋องจะสามารถวิ่งรอกไปที่หอสุราล่วงหน้าหนึ่งถึงสองชั่วยามเพื่ออาหาร ในเมื่อพบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรออีกจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญว่า “พอดีมีเรื่องอยากจะหารือกับท่านอ๋องสักหน่อย ท่านอ๋องจะให้เกียรติไปนั่งที่โรงน้ำชาสักหน่อยได้หรือไม่”

เว่ยหานพยักหน้าเล็กน้อย

เขาไปหอสุราล่วงหน้าก็เพราะจะบอกเรื่องที่เขากำลังจะไปออกรบกับคุณหนูลั่ว แม้ว่าจะไม่ได้ออกเดินทางวันนี้ แต่ก็อยากบอกกับนางทันที หากผู้อื่นเชื้อเชิญคงปฏิเสธไปแล้ว ในเมื่อเป็นบิดาของคุณหนูลั่ว เช่นนั้นก็ไปดื่มชาสักจอกแล้วกัน

แม่ทัพใหญ่ลั่วผายมือออกมา “เชิญท่านอ๋อง”

“เชิญแม่ทัพใหญ่”

สองคนขึ้นไปบนโรงน้ำชา นั่งตรงข้ามกันในห้องส่วนตัว มีชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศถูกกั้นด้วยกลิ่นหอมของชานั้นกระอักกระอ่วน

สำหรับแม่ทัพใหญ่ลั่ว จะเอ่ยปากเรื่องนี้นั้นยากเกินไปแล้ว

เขาก็เป็นคนที่เย่อหยิ่งคนหนึ่งเช่นกันนะ!

แต่ทว่านี่คือพระบรมราชโองการ…

แม่ทัพใหญ่ลั่ววุ่นอยู่กับการต่อสู้ดิ้นรน เว่ยหานกลับสงสัย

แม่ทัพใหญ่ลั่วนัดเขามาดื่มชาหรือว่าจะเป็นการดื่มชาเฉยๆ จริงๆ

หากว่าเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ไปร่ำสุราที่หอสุรา…

เว่ยหานไม่ใช่คนที่ชอบเสียเวลา เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของบุคคลตรงหน้ากับคุณหนูลั่วแล้วจึงทำได้แค่อดทน

กลิ่นหอมของชาเบาบางลงไปหลายส่วน แม่ทัพใหญ่ลั่วทำได้แค่เอ่ยปากก่อน “วันนี้นัดท่านอ๋องดื่มชา เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามความเห็นของท่านอ๋อง”

“แม่ทัพใหญ่เชิญพูด ข้าจะตั้งใจฟัง” เว่ยหานก็โล่งอกเช่นกัน

นั่งเฉยๆ กับบิดาของคุณหนูลั่วเช่นนี้ มากน้อยอย่างไรก็ยังมีความกดดัน

แม่ทัพใหญ่ลั่วถามอย่างยากลำบาก “ท่านอ๋องคิดว่า…เซิงเอ๋อร์เป็นอย่างไร”

เว่ยหานแววตาเปล่งประกาย ตอบอย่างจริงจัง “คุณหนูลั่วดีมาก”

แม่ทัพใหญ่ลั่วมองชายหนุ่มซึ่งแววตามีประกายเจิดจ้าพลันมีความมั่นใจขึ้นมา

ดูท่าทางไคหยางอ๋องจะถูกใจเซิงเอ๋อร์มากนะ

หากเป็นเช่นนี้ เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนก็ไม่ได้นับว่าเสียหน้าอะไรขนาดนั้น

เสียหน้าเล็กน้อยแล้วได้ลูกเขยคนนี้ ความจริงก็นับว่าได้กำไร รอในภายภาคหน้า ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ค่อยแสดงอำนาจกับเจ้าเด็กนี่ก็ยังไม่สาย

แม่ทัพใหญ่ลั่วตัดสินใจ หัวเราะเหอๆ พลางถาม “ท่านอ๋องคิดว่าเซิงเอ๋อร์ดีมากจริงๆ หรือ”

เว่ยหานพยักหน้าจริงจัง “ข้าไม่เคยพูดปด”

แม่ทัพใหญ่ลั่วลูบเคราสั้น ถอนหายใจอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “เซิงเอ๋อร์ก็อายุไม่น้อยแล้วเช่นกัน ถึงอายุที่จะหารือเรื่องการแต่งงานแล้ว”

ในเมื่อไคหยางอ๋องถูกใจเซิงเอ๋อร์ ได้ยินวาจานี้แล้ว อาจจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากสู่ขอเอง

เว่ยหานฟังด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจกลับตื่นเต้น

แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเขา หมายความว่าอะไรกัน

แม่ทัพใหญ่ลั่วกวาดตามองสีหน้าเว่ยหาน ช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายดูแล้วสงบนิ่งเอ่ยไป ทำให้คนมองไม่เห็นเส้นสนกลในใดๆ

เขาจึงทำได้แค่ยอมแพ้ที่จะดิ้นรน เอ่ยหน้าทะมึนว่า “จะว่าไปท่านอ๋องก็ถึงช่วงอายุที่จะหารือเรื่องการแต่งงานแล้วเช่นนั้น ไม่ทราบว่ายินยอมจะแต่งงานดองเป็นญาติกันกับจวนลั่วหรือไม่”

มือที่จับจอกชาของเว่ยหานสั่น ชาร้อนกระเด็นเล็กน้อย

สำหรับเขาแล้ว นับว่าเป็นการเสียกิริยาที่หาได้ยาก

เว่ยหานไม่สามารถสงบเยือกเย็นได้เลยสักนิด

หากไม่ใช่คนที่เชื่อมั่นในความสามารถในการได้ยินของตนเองว่าดีกว่าผู้อื่น เขาคงนึกว่าฟังผิดไปแล้ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังจับคู่เขากับคุณหนูลั่วหรือ

การรับรู้นี้ทำให้ความคิดเขาชะงัก หัวใจคล้ายกับมีความปีติยินดีแวบผ่าน เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่งในเสี้ยวพริบตา

“ท่านอ๋องยินยอมหรือไม่” แม่ทัพใหญ่ลั่วข่มความโมโห ปลุกชายหนุ่มที่ใจลอยให้ได้สติ

เว่ยหานข่มหัวใจที่เต้นถี่รัว ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

หมั้นหมายกับคุณหนูลั่ว เขาย่อมยินยอมเป็นอย่างยิ่ง

แต่ในไม่ช้าเขาก็มีสติขึ้นมา

แต่งงานผูกสัมพันธ์เป็นญาติกับจวนลั่วคือความต้องการของคุณหนูลั่ว หรือว่าความต้องการของแม่ทัพใหญ่ลั่ว หรือว่า…พระประสงค์ของฮ่องเต้?

เมื่อครู่ได้ยินวาจาเหล่านั้นของจักพรรดิหย่งอันในวังจึงอดไม่ได้ที่จะเขาจะไม่คิดมาก

เว่ยหานที่ใจเย็นลงแล้ว ถามสีหน้าจริงจัง “แม่ทัพใหญ่เอ่ยถึงเรื่องนี้…คุณหนูลั่วรู้หรือไม่”

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินวาจานี้ ภายหลังจากประหลาดใจก็เห็นชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้เจริญตาขึ้นมาเล็กน้อย

ยังรู้จักที่จะใส่ใจความคิดของเซิงเอ๋อร์ พอจะผ่านไปได้

“ข้ายังไม่ได้เอ่ยกับเซิงเอ๋อร์” แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยเช่นนี้ ในใจกลับยิ้มเจื่อน

ฮ่องเต้มีบัญชา จะพูดหรือไม่พูดนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากเขาจะเลียนแบบการก่อกบฏเหมือนอ๋องติ้งตง ไม่เช่นนั้นก็ทำได้แค่เชื่อฟังเท่านั้น

เลียนแบบการก่อกบฏของอ๋องติ้งตง…

ความคิดนี้ผุดขึ้นมาราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบดับมันโดยเร็ว

คิดไม่ได้ๆ

เมื่อมองชายหนุ่มที่รูปโฉมหล่อเหลาตรงหน้าอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็โน้มน้าวตนเองเงียบๆ หลักๆ คือไคหยางอ๋องพอใช้ได้ ไม่นับว่าต้องให้เซิงเอ๋อร์กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม

เว่ยหานนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่สามารถรอข้าสนทนากับคุณหนูลั่วสักครู่ได้หรือไม่”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าเชื่องช้า

เว่ยหานลุกขึ้นจากไป เหลือเพียงชาครึ่งจอกไว้บนโต๊ะจอกหนึ่ง

ไม่ไกลจากโรงน้ำชาก็คือมีหอสุรา สือเยี่ยนกำลังทุ่มเททำความสะอาดหน้าประตู

เว่ยหานเดินเข้ามา ถามว่า “คุณหนูลั่วมารึยัง”

สือเยี่ยนใบหน้ายิ้มแย้ม “นายท่าน ท่านมาได้บังเอิญมาก คุณหนูลั่วเพิ่งจะมาถึงขอรับ”

เว่ยหานพยักหน้า ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน

สืออี้ตามอยู่ด้านหลัง ถูกสือเยี่ยนคว้าหมับเอาไว้ ตำหนิเสียงเบาว่า “เจ้าจะตามไปเกะกะอะไร รีบกวาดพื้น”

เอ่ยจบ องครักษ์ก็ยัดไม้กวาดเข้าใส่มือน้องชายแล้วรีบวิ่งไปหน้าประตู มองเข้าไปด้านใน

ลั่วเซิงเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นานก็เห็นเว่ยหานตามเข้ามาจึงประหลาดใจเล็กน้อย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท