ระบบดาวอสรพิษรัตติกาล เขตบูรพาที่สาม
ระบบดาวสีแดงก่ำราวกับเทสีแดงเข้าไปในทราย โคจรอยู่กลางอวกาศดำมืดล้ำลึก
ณ ใจกลางของแขนก้นหอยสายที่สอง กลุ่มอุกกาบาตเล็กๆ กลุ่มหนึ่งโคจรรอบดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ตรงกลางเหมือนกับแถบผ้า
บนอุกกาบาตที่ใหญ่ที่สุด มีตำหนักเทพสีเงินที่เก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนผิวอุกกาบาตโล่งเตี้ยน
รอบตำหนักเทพมีแถบแสงสีขาวเล็กละเอียดกะพริบเรืองรอง บนประตูใหญ่สูงกว่าสิบหมี่ฝังอักขระซับซ้อนเก่าแก่ล้ำลึกเอาไว้
ที่นี่อยู่ในสภาวะสุญญากาศสมบูรณ์ ความเย็นในสภาพแวดล้อมมากพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตใดๆ ล้วนกลายเป็นน้ำแข็ง
สวีเซ่าเช่อเดินออกมาจากในของขลังอันเป็นเรือเหาะ มองซากตำหนักเทพจากไกลๆ
“ต้องเร่งมือให้เร็วที่สุด สำนักแปลงวายุประสบภัยพิบัติ มารร้ายตนนั้นไม่มีทางที่จะไม่แก้แค้นสำนักวิญญาณไตรอริยะของเราเด็ดขาด” เขาจิตใจหนักอึ้ง ก่อนจะหยิบสิ่งของที่เหมือนกับจอกชาออกมาจากในอกเสื้อ แล้วเทใส่พื้นเบาๆ
ของเหลวสีเงินให้ความรู้สึกเหมือนโลหะไหลออกมาจากจอกอย่างเป็นธรรมชาติ
ของเหลวหยดลงบนผิวอุกกาบาตหายสาบสูญไปในทันที เหมือนน้ำหยดลงมหาสมุทร
จากนั้นสวีเซาเช่อก็ยืนนิ่งรอคอยผลลัพธ์
เขาได้รับคำสั่งมา ท่านเจ้าสำนักกำลังเตรียมการท้าสู้ในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นภารกิจในการมาที่นี่จึงตกเป็นของเขา
ในฐานะศิษย์โดยตรงของสำนักอริยะแห่งสำนักวิญญาณไตรอริยะ เขาไม่เพียงมีคุณสมบัติแข็งแกร่งที่สุดในสำนักเท่านั้น แต่ยังมีความกล้าหาญมากที่สุดด้วยเช่นกัน
หลังรอราวสองสามนาที ผิวอุกกาบาตก็สั่นไหว ตำหนักเทพที่อยู่ไกลออกไปสั่นสะเทือนตามเบาๆ
ควันขาวนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากร่องแยกใต้ดิน รวมตัวเป็นเมฆกลุ่มหนึ่งกลางอากาศเหนืออุกกาบาต
“ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยศิษย์สายตรงของสำนักอริยะแห่งสำนักวิญญาณไตรอริยะ มาส่งข้อความให้แก่ท่านแทนท่านเจ้าสำนักขอรับ”
เสียงถ่ายทอดออกไปไกล กลายเป็นการสั่นไหวลอยไปยังเมฆขาวบนอากาศ
“ในเมื่อเขารับดูแลสำนักแล้ว ตอนนี้มาหาคนชราที่ละทางโลกอย่างข้าเพื่ออันใดกัน” เสียงชราแห้งผากดังมาจากในก้อนเมฆ
“สำนักเราพบศัตรูฉกาจ ท่านเจ้าสำนักต้องการให้ผู้ชราท่านลงมืออีกครั้ง…” สวีเซ่าเช่อประสานมือกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม
“ปัจจุบันสำนักอ่อนแอถึงขั้นนี้แล้วหรือ” เสียงชราแฝงความจนใจและผิดหวัง
สวีเซ่าเช่อนำจดหมายสีขาวออกมาอีกฉบับ แล้วส่งออกไป
จดหมายพลันพุ่งหายเข้าไปในก้อนเมฆบนท้องฟ้า
ผ่านไปเนิ่นนานในชั้นเมฆก็มีเสียงถอนใจดังมา
“ข้าเข้าใจแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะไปเอง”
…
วันต่อมา
สำนักวิญญาณไตรอริยะ ระบบดาวฤกษ์โอวลา
ดาวเคราะห์สีน้ำเงินสามดวงโคจรรอบดาวฤกษ์ดวงหนึ่งอย่างเชื่องช้า ดาวฤกษ์ดวงนี้เล็กกว่าดาวฤกษ์ทั่วไปอยู่มาก แต่ไอร้อนกับรังสีที่ปล่อยออกมากลับไม่ได้ด้อยกว่าเลย
เดิมทีสำนักวิญญาณไตรอริยะมีดาวเคราะห์ห้าดวง ทว่าหลังจากสาสน์ท้ารบของลู่เซิ่งถูกส่งมา ก็มีดาวเคราะห์สองดวงกระโดดข้ามมิติหายไปจากที่เดิม ทิ้งดาวหลักสามดวงสุดท้ายของสำนักวิญญาณไตรอริยะเอาไว้
ในอวกาศมืดมิดเงียบสงัด ไร้สรรพสำเนียง ไม่มีกลิ่นอายใดๆ
หลังจากได้ทราบว่าที่นี่จะถูกเลือกเป็นสมรภูมิอนธการ สถานีมิติกับเรือเหาะสังเกตการณ์ที่เดิมทียังกระจัดกระจายอยู่รอบๆ ก็รีบเผ่นหนีไปทันที
ดาวรบระหว่างดวงดาวที่เพิ่งผ่านทางมา ยิ่งกัดฟันเผาไหม้เตาแรงขับให้เกินขีดจำกัด เพื่อกระโดดข้ามมิติไปยังระบบดาวอีกแห่งที่อยู่ไกลแสนไกล
ในอาณาเขตหลายสิบปีแสงรอบๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ กล้าหยุดอยู่แถวนี้
ศึกใหญ่ระดับอนธการระหว่างพันธมิตรดวงดาวกับสัตว์โบราณ ได้ทำให้ดาวเคราะห์ที่มีสิ่งมีชีวิตและอารยธรรมจำนวนมากทราบแล้วว่า ผู้ที่อยู่ชมดูสงครามระดับนี้คือคนใกล้ตาย
เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่ลู่เซิ่งท้าสู้เจ้าสำนักแปลงวายุ แค่คลื่นหลงเหลือก็ทำลายดาวเคราะห์ไปแล้วสองดวง
“ความจริงมีแค่ดวงเดียวที่โดนลูกหลง พวกเขาไม่ทราบว่ามีดวงหนึ่งถูกท่านที่กำลังอับอายพลันเป็นโทสะฟันจนระเบิด” จันทราม่วงออกจากเรือเหาะผลึกมาอยู่ข้างลู่เซิ่ง นางกล่าวอย่างจนปัญญาขณะมองดูระบบดาวสำนักวิญญาณไตรอริยะ
เจิ้งเจวี๋ยซวินที่ออกจากเรือเหาะตามหลังลู่เซิ่ง ก็ถอนใจเช่นกัน
“นั่นเป็นดาวเคราะห์สมบูรณ์ที่มีระดับความก้าวหน้าสูงสุดขีด กลับต้องเสียเปล่าไปเช่นนี้ โดนฟันแบบนี้สิ้นเปลืองเกินไปเสียจริง”
“ก็ตอนนั้นข้าไม่ทราบคุณค่าไม่ใช่หรือ ตอนนี้รู้แล้ว ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะอดกลั้นหน่อย พยายามเหลืออะไรเอาไว้บ้าง” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
“ตื่นเต้นไหม” จันทราม่วงถาม หลังทราบสถานการณ์รบของสำนักแปลงวายุ นางก็ตกตะลึงทันที จากนั้นก็วางเรื่องทุกอย่างในมือลง แล้วบินมาร่วมปฏิบัติการกับคนทั้งสองด้วยตัวเอง
นางเคยทำลายสำนักมาบ่อยครั้ง แต่การทำลายสำนักใหญ่ระดับอนธการแบบนี้เพิ่งจะเป็นครั้งแรกจริงๆ
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่ามารสวรรค์มายาพิศวงนั้นสังหารได้ยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไร้เทียมทาน อนธการมากประสบการณ์ต่างก็มีวิชาปิดผนึกที่แข็งแกร่งซึ่งเอาไว้ใช้เล่นงานมารสวรรค์มายาพิศวงโดยเฉพาะทั้งนั้น
ในเมื่อเดิมพันข้างลู่เซิ่งแล้ว นางก็ต้องเปลืองแรงป้องกันไม่ให้ทางนี้เกิดอุบัติเหตุ กลายเป็นเอาตะกร้าสานไปตักน้ำ
ดังนั้นเพื่อแสดงความจริงใจ นางจึงได้ทุ่มทุนจริงๆ
“ในเมื่อสหายลู่ตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือตามลำพัง เช่นนั้นบางทีนี่อาจจะช่วยท่านได้”
จันทราม่วงถอดปิ่นสีหยกม่วงอันหนึ่งออกจากผมของตัวเองเบาๆ
ลู่เซิ่งรับมาพิจารณาดู สัมผัสพลังแข็งแกร่งที่บรรจุอยู่ด้านในได้ทันที
“ขอบคุณ”
เวลานี้กลางระบบดาวที่อยู่ไกลออกไปมีจุดแสงสีเหลืองอ่อนกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา
จุดแสงที่ใหญ่ที่สุดปรากฏผู้บำเพ็ญสตรีเสื้อคลุมสีเหลืองวัยกลางคนรูปโฉมเปล่งปลั่งเย็นชาคนหนึ่ง
“ลู่เซิ่ง มารร้ายเช่นเจ้ากล้ามาบุกที่ตั้งสำนักวิญญาณไตรอริยะของพวกเรา ยังไม่รีบถอยไปอีก ไม่อย่างนั้นหากข้าระเบิดพลังอาคมในสำนัก จะต้องทำให้เจ้า…”
“พอสักที หยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว หัวหน้าพวกเจ้าเล่า ออกมาสู้กันสักยก ถ้าชนะข้าจะไป ถ้าแพ้สำนักพวกเจ้าพินาศ ทำอะไรให้มันง่ายๆ หน่อย!” ลู่เซิ่งส่งกระแสเสียงอย่างหงุดหงิด
ส่งสาสน์ท้ารบไปแล้วแท้ๆ อีกฝ่ายยังส่งขยะมาผลาญเวลาเล่นอีก เขาไม่มีเวลามาเสียเปล่ากับคนพวกนี้หรอก
พอคนกลุ่มนี้ถูกโต้ สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นับว่าทราบนิสัยของลู่เซิ่งแล้ว
ครั้นได้รับคำตอบ โฉมสะคราญวัยกลางคนใจร้อนคนนั้นพลันโมโห กำลังจะด่าทอ ก็ถูกคนหลายคนด้านหลังฉุดลากกลับไป
เปลี่ยนเป็นบุรุษวัยกลางคนสวมแว่นตาอีกคนออกมาแทน เขาโค้งตัวคำนับ
“ในเมื่อผู้อาวุโสลู่มาถึง เช่นนั้นขอเชิญมาสำนักใหญ่ของเราสักครั้งเถอะ เจ้าสำนักรออยู่นานแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสลู่กล้าก้าวเข้าประตูสำนักใหญ่ของเราหรือไม่” บุรุษแย้มยิ้ม มองดูก็รู้ว่าไม่จริงใจ เป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ
“มีอันใดไม่กล้า อย่างไรอีกไม่นานพวกเจ้าแพ้ ที่นี่ก็ตกเป็นของข้าทั้งหมดแล้ว” ลู่เซิ่งเลิกคิ้วแล้วบินเข้าไป
อย่างไรเขาก็เพิ่งตอบรับพวกจันทราม่วงไปว่าจะเก็บทรัพย์สินดาวเคราะห์ไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้หลังจากสู้กันเสร็จเหลือของอยู่แค่ไม่กี่อย่าง
คนกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมลู่เซิ่งบินไปยังดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงหนึ่งที่อยู่ตรงใจกลาง
หลังกระโดดข้ามมิติสองสามครั้ง ลู่เซิ่งก็เข้าไปใกล้ดวงดาว
เขาสัมผัสผ่านบรรยากาศที่อยู่ไกลออกไปได้ว่า บนผิวดาวมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งยึดครองอยู่
กลิ่นอายนั้นเดี๋ยวหายใจเข้าเดี๋ยวหายใจออก ทำให้ดาวเคราะห์ทั้งดวงดูดซับกลืนกินรังสีพลังงานจากจักรวาลรอบๆ ตลอดเวลา
ตรงกลางกลิ่นอายมีตำหนักหยกขาวขนาดมหึมาสลักลวดลายเหมือนขนนกอยู่นับไม่ถ้วน
สองฟากของตำหนักมีความบิดเบี้ยวสองกลุ่มคล้ายหลุมดำกำลังกะพริบอยู่
ลู่เซิ่งมองดูก็รู้ว่าเป็นหลุมพราง ทั้งยังไม่ใช่กระบวนท่าธรรมดา เห็นได้ชัดว่าสำนักวิญญาณไตรอริยะมีการเตรียมการไว้ตั้งแต่ต้น การเชื้อเชิญในครั้งนี้จะต้องเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน[1] ที่มีกับดักซุ่มอยู่แน่นอน
“เจ้าสำนักจัดเตรียมงานเลี้ยงรอผู้อาวุโสลู่อยู่ในตำหนักแล้ว เชิญ”
บุรุษวัยกลางคนเตือนด้วยใบหน้านอบน้อม
“เตรียมงานเลี้ยงหรือ” ลู่เซิ่งมองเขาปราดหนึ่ง “เตรียมไปเพื่ออะไร พวกคนต่ำต้อยมากเล่ห์อย่างพวกเจ้าประเมินความกล้าของข้าได้หรือ นำทาง! ”
เขาแค่นเสียง ยืนเอามือไพล่หลัง ดูมีบุคลิกทีเดียว
ทุกคนสีหน้าแข็งทื่อ ก้มหน้าไม่กล้าพูดมากอีก เพียงนำทางไปเท่านั้น
ลู่เซิ่งบินตามพวกเขา ยิ่งใกล้ตำหนักเท่าไร ความบิดเบี้ยวสองกลุ่มที่เหมือนหลุมดำก็ยิ่งมอบความรู้สึกคุกคามให้แก่เขา
และในตอนที่เข้าใกล้ชั้นบรรยากาศ เขาก็หยุดลง
“เอาตรงนี้ก็แล้วกัน! การตัดสินของพวกเราอย่าให้ลามไปถึงคนบริสุทธิ์เลย ป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์สูญสิ้น” เขายกมือกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังทันที
“ผู้อาวุโสลู่คงไม่ได้กลัวกระมัง” บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ข้ากลัวหรือ” ลู่เซิ่งหรี่ตา
ทันใดนั้นเขายกมือขึ้นฟาดใส่
เปรี้ยง!
ร่างท่อนบนของบุรุษวัยกลางคนถูกตีจนระเบิด! กลายเป็นเศษเนื้อ จิตวิญญาณถูกทำลายกระจัดกระจายไปในทันทีเช่นกัน
คนอื่นตอบสนองไม่ทัน ถูกชิ้นส่วนที่แตกกระจายออกมากระแทกใส่จนเต็มไปด้วยรูพรุน เสียชีวิตทันที
เลือดเนื้อกระจายว่อนกลางความว่างเปล่าผืนนี้ น่าอนาถจนทนดูไม่ได้
จันทราม่วงกับเจิ้งเจวี๋ยซวินที่ติดตามอยู่ด้านหลังหนังตากระตุกเล็กน้อย เริ่มเข้าใจนิสัยของลู่เซิ่งมากขึ้นแล้ว
“ก่อนหน้านี้ที่ไม่ฆ่าพวกเจ้า ก็เพราะข้ารังเกียจการข่มเหงคนอ่อนแอ แต่ขยะอย่างพวกเจ้ากล้ากล่าววาจาเยาะเย้ย ไม่รู้จักที่ตาย” ลู่เซิ่งชักมือกลับ ตอนนี้ไม่เหลือคนนำทางแล้ว
“ตอนนี้ยังจะไปต่อหรือไม่” จันทราม่วงถามอย่างระอา
“ไม่มีคนนำทางแล้ว คนที่ไม่รู้มารยาทแบบนี้ ไปต่อกับผายลมสิ” ลู่เซิ่งโมโห
พวกจันทราม่วงสูดลมหายใจเย็นเยียบ
คนนำทางถูกท่านฆ่าไปแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องไปต่อหรือ…ความหน้าด้านนี้…
“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี” เจิ้งเจวี๋ยซวินรู้สึกว่าพวกนางสามคนลอยหน้าลอยตาอยู่หน้าประตูบ้านคนอื่นแบบนี้ ออกจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“จะทำอย่างไรได้เล่า ลุยเลย!” ลู่เซิ่งกระโดดขึ้นไป ร่างพลันระเบิดออก เผยร่างจริงออกมา แล้วฟันใส่ดาวเคราะห์
ใบหน้าสามใบหน้าหนึ่งใหญ่สองเล็กบนร่างหลักมหึมามากกว่าหมื่นหมี่ พ่นไอดำออกมาพร้อมกัน พวกมันรวมตัวเป็นดาบดำยักษ์ สองมือจับด้ามดาบ แล้วใช้พละกำลังทั้งหมดฟันลงด้านล่างอย่างดุดัน
“ผลาญดวงดาว!”
ดาบดำขนาดยักษ์ฟันใส่คนของสำนักวิญญาณไตรอริยะที่ตั้งทัพรอรับอยู่บนผิวดาว
สำหรับผู้บำเพ็ญบนดาวเคราะห์ ดาบนี้เหมือนกับท้องนภาถล่มลงมา ฟ้ามืดลงในเวลาสั้นๆ
ดาบยักษ์ขนาดหลายแสนหมี่ฟันลงอย่างดุดัน เหมือนดาบดำขนาดยักษ์ที่พาดขวางท้องฟ้าในครั้งที่เผ่าผลึกม่วงสิ้นสูญ
พลังคมดาบน่าหวาดผวาจนทำให้คนสิ้นหวัง ฟันใส่ตรงกลางตำหนักยักษ์อย่างจัง
“โอหัง!” กลิ่นอายยิ่งใหญ่สายหนึ่งระเบิดขึ้นจากด้านในตำหนัก ประกายกระบี่แหลมคมสีขาวปลอดแทงใส่ดาบดำ
ติ๊ง!
ดาบดำตรงจุดที่ถูกประกายกระบี่แทงใส่พากันกันแหลกสลาย แต่คลื่นหลงเหลือในจุดอื่นๆ มีพื้นที่ใหญ่เกินไป ประกายกระบี่เพียงพอจะทำลายพื้นที่ราวครึ่งหนึ่งได้เท่านั้น จากนั้นก็หมดพลัง โดนไอดำที่อยู่บนดาบกลืนกินโดยสิ้นเชิง
ตูม!
คมดาบฟันใส่ผิวดาวเคราะห์อย่างรุนแรง
ดาวเคราะห์ทั้งดวงพลันสั่นไหว การหมุนรอบตัวเองหยุดลง ลำแสงสีขาวบริสุทธิ์หลายสายพุ่งออกมาจากแกนดาว
“ลู่เซิ่ง!” เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังมาจากในตำหนัก
เจ้าสำนักวิญญาณไตรอริยะหลี่ซิวลาถือกระบี่คู่โผขึ้นฟ้า ทั่วตัวปล่อยเงากระบี่กึ่งโปร่งแสงจำนวนเหลือคณานับราวกับดวงอาทิตย์
“ข้าจะฆ่าเจ้า! ค่ายกลกระบี่ลวงฟ้า! สังหาร”
……………………………………….
[1] งานเลี้ยงหงเหมิน หมายถึง งานเลี้ยงที่มีวัตถุประสงค์ร้ายซุกซ่อนอยู่ มาจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เซี่ยงหยี่เชิญชวนหลิวปังไปร่วมงานเพื่อหลอกฆ่า