ตอนที่ 463 ออกรบ
ในห้องโถงใหญ่ นอกจากลั่วเซิง ยังมีหงโต้วกับโค่วเอ๋อร์ที่กำลังแทะเมล็ดแตง รวมถึงผู้ดูแลหญิงที่กำลังจัดการสมุดบัญชี
เว่ยหานอมยิ้มเอ่ยเชื้อเชิญ “คุณหนูลั่ว ต้องการไปดูต้นพลับกลางลานหรือไม่”
ลั่วเซิงพยักหน้ารวดเร็ว “ได้”
ไคหยางอ๋องมาเร็วขนาดนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีธุระ
ทั้งสองคนไปยังลานด้านหลังด้วยกัน
ต้นพลับกลางลานที่ใบไม้ร่วงโกร๋นแข็งแกร่ง ไม่มีอาภรณ์หิมะสวมใส่จึงดูอัปลักษณ์และเรียบง่าย
ทั้งสองคนยืนเงียบๆ อยู่ข้างต้นไม้อย่างไม่รังเกียจครู่หนึ่ง ลั่วเซิงก็เอ่ยปากก่อน “ท่านอ๋องมาเช้าขนาดนี้ มีธุระใช่หรือไม่”
ตลอดทางที่เดินมาจากโรงน้ำชาจนถึงหอสุรา เว่ยหานตรึกตรองตลอดว่าจะเอ่ยปากเช่นไร และเมื่อเผชิญหน้ากับนัยน์ตากระจ่างและนิ่งสงบคู่นี้ ความคิดยุ่งเหยิงก็ถูกลืมทิ้งไปในทันที
เขาถามอย่างสัตย์ซื่อว่า “คุณหนูลั่ว หากว่าข้าไปสู่ขอกับบิดาเจ้า เจ้าจะยินยอมหรือไม่”
รอยยิ้มมุมปากลั่วเซิงแข็งค้าง ขมวดคิ้วมองเขา “สู่ขอกับบิดาข้าหรือ”
มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่นางไม่แน่ใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียบุรุษตรงหน้าก็ทำให้นางเข้าใจผิดคิดเข้าข้างตนเองหลายครั้ง
โชคดีที่เขาเคยเอ่ยสัญญาจะแก่เฒ่าไปด้วยกันกับนางใต้ต้นพลับต้นนี้
นี่ทำให้ลั่วเซิงมีความมั่นใจมากขึ้นเล็กน้อย เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าจำได้ว่า ครั้งนั้นเอ่ยกับท่านอ๋องชัดเจนแล้ว”
ความหวังที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งนัยน์ตาชายหนุ่มดับลงอย่างเงียบงัน จ้องมองดวงตาเฉยชาและสงบนิ่งคู่นั้นพลางถามเสียงเบาว่า “ดังนั้นข้าจึงถามอีกครั้ง”
แม้เขาจะรู้ว่า คุณหนูลั่วไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังคำสั่งบิดามารดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลา เขาก็โอบกอดความรู้สึกว่าจะโชคดีเหมือนกับคนส่วนมากทั่วไปเช่นกัน
ลั่วเซิงเบนสายตาไปจ้องกิ่งไม้เปลือยเปล่าของต้นพลับ “ข้ารู้สึกว่าเป็นสหายกับท่านอ๋องนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว”
นางชะงัก เมินเฉยความรู้สึกไม่สบายใจพลางเอ่ยอย่างเฉยชา “หากท่านอ๋องปล่อยวางไม่ได้ เช่นนั้นก็รักษาระยะห่างกันสักหน่อยเถอะ”
ในไม่ช้าเขากับคุณหนูลั่วก็จะอยู่กันคนละที่ รักษาระยะห่างนั้นยังสามารถทำได้
สิ่งที่เขาทำไม่ได้คือการปล่อยวาง
เขาไม่อยากปล่อยคนในใจไป แม้ว่านี่จะเป็นคำขอร้องของคุณหนูลั่วก็ตาม
“ข้าทราบแล้ว คุณหนูลั่ววางใจเถอะ” เว่ยหานโค้งริมฝีปาก
รอยยิ้มเบาบางและอ่อนโยนนั้นมองดูแล้วเหมือนปกติ
“ท่านอ๋องยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” ลั่วเซิงถาม
“ไม่มีแล้ว ข้ามีนัดกับผู้อื่น ต้องขอตัวก่อน”
“เช่นนั้นท่านอ๋องเดินทางปลอดภัย”
เว่ยหานรอครู่หนึ่งก็ไม่เห็นลั่วเซิงมีท่าทีจะไปส่งจึงเอ่ยยิ้มๆ “คุณหนูลั่ว ไว้พบกัน”
เดิมอยากจะบอกเรื่องที่เขาจะไปออกรบกับคุณหนูลั่ว แต่ทว่าเอ่ยเรื่องการสู่ขอแต่งงานออกไปก่อน ตอนนี้เอ่ยเรื่องพวกนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นการแสดงว่าตนเองน่าสงสารเพื่อให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น
ไม่พูดแล้วกัน ตอนเย็นมาร่ำสุราค่อยพูดก็ได้
เว่ยหานเดินไปทางประตูที่จะนำไปสู่ห้องโถงใหญ่จากลานด้านหลัง เมื่อเดินไปถึงบริเวณประตูก็เลิกม่านประตูผ้าฝ้ายผืนหนาขึ้นแล้วอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองแวบหนึ่ง
ข้างต้นพลับว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเงาร่างคุ้นเคยสายนั้นหายไปเมื่อใด
เว่ยหานหยุดอยู่ที่บริเวณประตู เสี้ยววินาทีหนึ่งถึงได้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ภายในห้องโถงใหญ่ สือเยี่ยนค่อนข้างมีประสบการณ์อำพรางความเคลื่อนไหวในการแอบมองก็เขยิบเข้าไปถามด้วยความระมัดระวัง “นายท่าน ท่านจะกลับแล้วหรือขอรับ”
แม้จะไม่ได้ยินว่านายท่านกับคุณหนูลั่วคุยอะไรกัน แต่ดูจากท่าทาง คงจะถูกคุณหนูลั่วทำร้ายความรู้สึกอีกแล้วสินะ
แปลกจริงๆ นายท่าน นอกจากกินจุไปหน่อยก็ไม่มีข้อเสียอะไร ทำไมคุณหนูลั่วถึงไม่ชอบนะ
เว่ยหานไม่สนใจสือเยี่ยน ก้าวเท้ายาวเดินออกไป
แม่ทัพใหญ่ลั่วยังรออยู่ที่โรงน้ำชา เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังนอกประตูก็รีบแสดงสีหน้ารอคอยอย่างเคร่งขรึม
เว่ยหานผลักประตูเข้าไป สีหน้ามองดูแล้วไม่มีความผิดปกติอะไร ขณะเดินเข้ามานั่ง
“ท่านอ๋องพูดคุยกับบุตรสาวข้าแล้วหรือ”
“พูดคุยแล้ว” เว่ยหานหลุบตาจ้องโต๊ะ
จอกชาที่วางเอาไว้ตอนออกไปยังคงตั้งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ราวกับนายของมันไม่เคยจากไปมาก่อน
“คุณหนูลั่วไม่ยินยอม”
“เซิงเอ๋อร์ไม่ยินยอมหรือ” เมื่อได้ยินวาจานี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วกลับตะลึงอยู่บ้าง
ช่วงเวลาที่ไคหยางอ๋องออกไป เขาตรึกตรองอยู่นานมาก มักจะรู้สึกว่าบุตรสาวไม่ได้ไร้ความรู้สึกต่อไคหยางอ๋องเสียทั้งหมด
คงไม่ใช่เพราะคิดว่าแต่งงานแล้วจะไม่สามารถเลี้ยงดูนายบำเรอได้อีกหรอกนะ
นึกถึงความเป็นไปได้นี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ปวดหัวแล้ว
ต่อให้เขาตามใจบุตรสาวมากเพียงใดก็ทำเรื่องเฉกเช่นการให้นายบำเรอกลุ่มหนึ่งออกเรือนตามบุตรสาวไปไม่ได้
นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ
หากเป็นยามปกติ ไม่ยินยอมก็ไม่ยินยอมเถอะ แม้ว่าเขาอยากจะแต่งบุตรสาวออกไปมาก แต่กลับไม่อยากฝืนใจบุตรสาว แต่ว่าฮ่องเต้กลับยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ด้วย…
แม่ทัพใหญ่ลั่วปวดศีรษะยิ่งกว่าเดิม มีความรู้สึกคับข้องใจประหนึ่งติดอยู่ในหล่มโคลน
เว่ยหานสังเกตเห็นถึงความรู้สึกลำบากใจของแม่ทัพใหญ่ลั่วจึงเข้าใจและพิจารณาเอ่ยถามว่า “เรื่องที่แม่ทัพใหญ่เอ่ยกับข้า…เป็นความต้องการของฮ่องเต้ใช่หรือไม่”
แม่ทัพใหญ่ลั่วนัยน์ตาหดวูบ
เว่ยหานยกน้ำชาที่เย็นชืดขึ้นมาจิบคำหนึ่งแล้ววางจอกชาลงพร้อมกับลุกขึ้น “แม่ทัพใหญ่ไม่จำเป็นต้องลำบากใจ ข้าจะไปคุยกับเสด็จพี่เอง”
“ท่านอ๋อง…” แม่ทัพใหญ่ลั่วลุกขึ้นตาม ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอันใดไปชั่วขณะ
เว่ยหานยิ้มบ้างๆ “เรื่องการแต่งงานผูกความสัมพันธ์ เดิมก็เป็นเรื่องการยินยอมของทั้งสองฝ่าย ข้าไปเอ่ยกับเสด็จพี่ให้ชัดเจนก็เรียบร้อยแล้ว แม่ทัพใหญ่ไม่ต้องกังวล”
ท่าทางสบายๆ ของเว่ยหานทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วงุนงงเล็กน้อย
ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายหรือ ฟังดูแล้วคล้ายจะมีบางสิ่งผิดปกติ แต่นึกไม่ออกว่าผิดปกติตรงไหนไปชั่วขณะ
“เรื่องในวันนี้ แม่ทัพใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยกับคุณหนูลั่วแล้ว” เว่ยหานเอ่ยจบก็ก้าวเท้ายาวจากไป
พักใหญ่ แม่ทัพใหญ่ลั่วถึงได้สติคืนมา
การแต่งงานไม่เคยมีวิธีการพูดที่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายนะ ล้วนมีแต่วาจาที่กล่าวว่าให้ความสำคัญกับคำสั่งและการจัดการของบิดามารดา ไคหยางอ๋องไปเอ่ยเช่นนี้กับฮ่องเต้จะไม่ถูกบริภาษเอาหรือ
ไคหยางอ๋องเอ่ยกับฮ่องเต้อย่างไรนั้น แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่มีทางรู้ได้ ไคหยางอ๋องถูกฮ่องเต้บริภาษหรือไม่นั้น แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ไม่มีทางรู้ได้เช่นกัน
แต่ในเมื่อไคหยางอ๋องยินยอมรับเรื่องนี้เอาไว้ หายนะครั้งนี้ก็นับว่าหลีกเลี่ยงไปได้แล้ว
นึกถึงองค์จักรพรรดิที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ โหดเหี้ยมอำมหิตแล้ว หัวใจของแม่ทัพใหญ่ลั่วก็หนักอึ้งคล้ายกับมีหินไร้รูปลักษณ์ก้อนหนึ่งกดทับอยู่ด้านบน
เข้าวังไปจัดการปัญหาของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ออกมาจากเมืองจักรพรรดิโอ่อ่าน่าเกรงขามอีกครั้ง อาทิตย์อัสดงก็อาบย้อมเมฆที่ขอบฟ้าจนกลายเป็นสีแดงคล้ำแล้ว
เว่ยหานตรงไปหอสุราก็ไม่เห็นเงาร่างคุ้นเคยสายนั้นในห้องโถงใหญ่
ไม่รอให้เขาเอ่ยปากถาม สือเยี่ยนก็เอ่ยว่า “นายท่าน คุณหนูลั่วกลับจวนไปแล้วขอรับ”
กลับจวนตอนนี้น่ะหรือ
ชั่วขณะหนึ่ง เว่ยหานนึกว่ามาผิดเวลา แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่า คุณหนูลั่ว กำลังหลบหน้าเขาหรือ
ความคิดนี้ได้รับการยืนยันในยามที่เผชิญกับสายตาเห็นอกเห็นใจขององครักษ์
เว่ยหานโค้งมุมปากเล็กน้อย เดินไปนั่งข้างหน้าต่างแล้วสั่งว่า “เอาสุรามา”
สือเยี่ยนอุ้มสุราสองไหใหญ่มาอย่างรวดเร็ว
เว่ยหานนิ่งเงียบแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “เปลี่ยนเป็นสองกาก็พอแล้ว”
คุณหนูลั่วหลบเลี่ยงเขา หากมีข่าวลือไปว่าเขาร่ำสุราดับทุกข์จะไม่งาม
“นายท่าน สองกาไม่พอกระมังขอรับ”
“พอแล้ว”
สือเยี่ยนถอนหายใจ ทำได้แค่อุ้มสุราสองไหกลับไป
เว่ยหานร่ำสุราด้วยสีหน้าปกติ กินอาหารแล้วออกจากหอสุราไปเงียบๆ วันถัดไปที่มาหอสุราก็ยังคงไม่ได้พบคุณหนูลั่ว
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เว่ยหานนำทัพออกจากเมือง จักรพรรดิหย่งอันและขุนนางนับร้อยมาส่ง ประชาชนในเมืองตามแห่กันมามุงดูตามถนน
ครั้งนี้ประชาชนที่มามุงดูมีสีหน้าเคารพยำเกรง บรรยากาศจริงจังอยู่บ้าง
เว่ยหานขี่อาชาสีขาวเดินนำอยู่หน้าขบวน ขณะที่กองทัพเดินไปถึงนอกประตูเมือง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะดึงบังเหียนม้า หันกลับไปมอง