ตอนที่ 464 คัดเลือกสนม
ฝูงชนด้านหลังแออัด มืดฟ้ามัวดิน แต่กลับไม่มีคนที่เขาอยากพบคนนั้น
ความรู้สึกหดหู่นั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ทว่ากลับอยู่ในการคาดการณ์
ชายหนุ่มในเสื้อเกราะสีเงินซึ่งนั่งอยู่บนหลังอาชาชะงักไปแวบหนึ่งแล้วหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เสื้อคลุมสีแดงสดด้านหลังกับพู่แดงบนหมวกเกราะเงินแท้โบกสะบัดไปตามลม ขับเน้นให้เงาร่างสูงตระหง่านนั้นองอาจยิ่งขึ้น
กองทัพค่อยๆ เดินทางไปด้านหน้า ทะลุผ่านประตูเมืองไป
บนโรงน้ำชาแห่งหนึ่งบนถนน ลั่วเซิงจ้องมองเงาร่างคุ้นเคยสายนั้นหายลับไปจากวิสัยทัศน์ผ่านรอยแยกบานหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ เบื้องหน้าคล้ายกับยังมีเสื้อคลุมดุจเปลวเพลิงที่กำลังสั่นไหว
นางยื่นมือไปผลักหน้าต่างให้เปิดออก
ลมหนาวเย็นยะเยือกพัดเข้ามาทางหน้าต่างเปิดกว้าง ผ่านแก้มซีดเผือดของนางไปอย่างไร้ความปรานี
หงโต้วเขยิบเข้ามา มองผู้เป็นนายที่เหม่อลอยด้วยความไม่เข้าใจยิ่ง “คุณหนู ท่านสนิทกับไคหยางอ๋องขนาดนี้ อยากไปส่งเขา เหตุใดจึงไม่บุกขึ้นไปด้านหน้าล่ะเจ้าคะ ท่านหลบอยู่ที่นี่ เขามองไม่เห็นหรอกนะเจ้าคะ”
ลั่วเซิงเงียบ
หงโต้วถอนหายใจ “ล้วนพูดกันว่า ทำสงครามขึ้นมาครั้งหนึ่งก็หลายปี และไม่แน่ว่าจะสามารถกลับมาได้ หลังจากนี้หอสุราของพวกเราคงจะขาดลูกค้าประจำที่มีจิตใจแน่วแน่ท่านหนึ่งแล้ว…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไปกันเถอะ” ลั่วเซิงเหลือบมองสาวใช้ที่เอะอะโวยวายแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินไปทางประตู
เมื่อลงบันได เดินออกจากโรงน้ำชา ขุนนางบุ๋นบู๊กับชาวบ้านซึ่งมามุงดูที่มาส่งขบวนทัพล้วนตามออกนอกประตูเมืองไปแล้ว บนถนนจึงว่างเปล่าไร้ผู้คน
ก็เหมือนกับอารมณ์ความรู้สึกที่ว่างเปล่าของลั่วเซิงในตอนนี้
นางคิดว่า นางทำเช่นนี้ไม่ผิด
นางนึกว่าไคหยางอ๋องเป็นคนง่ายๆ คนหนึ่ง วันนั้นที่ถูกปฏิเสธจากการเชื้อเชิญให้นางร่วมแก่เฒ่าไปด้วยกันใต้ต้นพลับก็น่าจะปล่อยวางได้แล้ว
แต่เขาถามนางอีกเป็นครั้งที่สอง
เช่นนั้นก็ใจร้ายสักหน่อย ให้เขาได้ตัดใจซะ
หากจะบอกว่ามีความผิดก็น่าจะเป็นนางที่ควบคุมตนเองไม่ได้ หวั่นไหวไปกับเขา
ลั่วเซิงหลับตาลง ยิ้มเยาะตนเอง
สถานการณ์เช่นนี้ของนาง ไหนเลยจะมีคุณสมบัติไปหวั่นไหวกัน
ตอนที่กลับถึงหอสุราก็มีหิมะปลิวขึ้นมา
แรกเริ่มเป็นเพียงแค่เกล็ดหิมะและค่อยๆ กลายเป็นหิมะขนาดเท่าขนห่างซึ่งหมุนวนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นลงมาอย่างมีชีวิตชีวา
บนพื้นถนนค่อยๆ มีหิมะสะสมเป็นชั้นบางๆ ชั้นหนึ่ง ต้นพลับที่โกร๋นก็ถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์หิมะ มีลักษณะงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ
หงโต้วสั่งสือเยี่ยนให้นำที่โกยผงไปจับนกกระจอกบ้านที่หน้าประตู
ขอแค่สือเยี่ยนนึกถึงนกกระจอกบ้านที่ย่างจนหอมกรุ่นต้องลงไปอยู่ในท้องของพี่หงโต้วเสียกว่าครึ่ง ในใจก็เกิดความขี้เกียจจึงตะโกนเรียกสืออี้มาทำแทนเขา
เว่ยหานออกรบครั้งนี้ ทิ้งสืออี้เอาไว้
เทียบกับการแอบอู้ของพี่ชายแล้ว สืออี้จริงจังกว่ามาก นกกระจอกที่จับได้จึงมากมายอย่างรวดเร็ว
ขณะล้อมเตาไฟกินนกกระจอกบ้านที่ส่งกลิ่นหอมและน้ำมันหยด หางตาสือเยี่ยนก็กวาดมองเด็กสาวซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจแรง “เฮ้อ นายท่านคุ้นชินกับกินอาหารและสุราในหอสุราของพวกเรา การกินอาหารแห้งตลอดการเดินทางนั้นต้องทุกข์ทรมานแล้ว…”
ลั่วเซิงมองหิมะโปรยปรายนอกหน้าต่างราวกับไม่ได้ยิน
สือเยี่ยนถอนหายใจอีกครั้ง “นายท่านกระเพาะไม่ดี…”
ลั่วเฉินพลันลุกขึ้นทำให้วาจาด้านหลังขององครักษ์ถูกกลืนกลับไป
ลั่วเซิงสังเกตเห็นความผิดปกติจึงหันหน้ามา
เด็กหนุ่มมองนาง ถามนิ่งๆ ว่า “พี่สาว ไปดูต้นพลับไหม”
นอกจากความประหลาดใจแล้ว ลั่วเซิงก็สงสัยว่าลั่วเฉินต้องการจะเอ่ยอันใดจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
สือเยี่ยนเห็นสองพี่น้องเดินไปทางด้านหลังก็งุนงงเล็กน้อย “ทำไมคุณชายลั่วถึงได้เริ่มชื่นชอบการดูต้นพลับเสียแล้วล่ะ”
หรือว่ากระทั่งการได้รับการปฏิบัติที่พิเศษเช่นนี้ นายท่านก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ ช่างน่าสงสารจริงๆ!
ต้นพลับซึ่งยืนเงียบๆ กลางลาน เหมือนกับเด็กสาวสุภาพเรียบร้อยที่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่
ลั่วเซิงมองเด็กหนุ่มที่แก้มแดงน้อยๆ เพราะความหนาวเย็น พลางเอ่ยว่า “ลมหนาวและหิมะตกหนัก มีอะไรก็เข้าไปคุยกันในห้องเถอะ”
ลั่วเฉินพยักหน้า
สิ่งที่เขาต้องการก็คือสถานที่ซึ่งสะดวกในการพูดคุยจึงไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรกับต้นพลับนี่แน่นอน
สองพี่น้องทอดทิ้งต้นพลับที่โดดเดี่ยวเอาไว้แล้วเข้าไปในห้อง
ในห้องอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ต่างจากความหนาวเย็นด้านนอกโดยสิ้นเชิง
ลั่วเซิงนั่งลง รินชาร้อนจอกหนึ่งแล้วยื่นไป “พูดมาเถอะ”
เด็กหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกันรับจอกชามาแล้ววางไว้ข้างมือ
ดวงหน้าเขาที่มีกลิ่นหอมของชากั้นอยู่นั้นแสดงให้เห็นถึงความจริงจังหลายส่วน มองดูแล้วคล้ายจะเติบโตขึ้นหลายปี
ลั่วเซิงรอเด็กหนุ่มเปิดปากเงียบๆ
“วันนี้ไคหยางอ๋องออกจากเมืองหลวง เหตุใดพี่สาวจึงไม่ไปส่ง”
ลั่วเซิงมองลั่วเฉินด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง
นางนึกว่าสิ่งที่น้องชายจะถามคือเรื่องปอหลังกู่ คิดไม่ถึงว่าจะถามถึงไคหยางอ๋อง
“มีขุนนางบุ๋นบู๊ไปส่ง ขาดข้าไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร”
ได้ยินคำตอบของลั่วเซิงแล้ว แววตาที่ลั่วเฉินมองนางก็แฝงไปด้วยความสงสัยหลายส่วน “ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง”
“ไม่เข้าใจอันใดหรือ”
เด็กหนุ่มกำจอกชา ความอุ่นร้อนทะลุผ่านจอกชาส่งมาถึงกลางฝ่ามือเขา
“พี่สาวชอบไคหยางอ๋องสินะ?” หลังจากนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ลั่วเฉินก็เอ่ยเรียบๆ
ลั่วเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ถกเรื่องนี้กับน้องชาย คล้ายจะแปลกอยู่บ้าง
“ทำไมถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ” ลั่วเซิงเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
ลั่วเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะคิดไม่ออก พี่สาวไม่ใช่คนที่เคร่งครัดในธรรมเนียมปฏิบัติ ในเมื่อชอบแล้ว เหตุใดจึงหลบเลี่ยง”
เขาสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย เอ่ยความสงสัยที่วนเวียนภายในใจออกมา “นอกจากพี่สาวจะมีเรื่องในใจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ แต่ท่านพ่อเห็นพี่สาวเป็นแก้วตาดวงใจ ไม่มีทางก้าวก่ายการไปมาหาสู่กันของท่านกับไคหยางอ๋อง เช่นนั้นเรื่องในใจที่มิอาจเอื้อนเอ่ยของพี่สาวคืออะไรกัน”
เดิมเขาไม่สมควรถามเรื่องพวกนี้ แต่การกระทำของพี่สาวขัดแย้งกันเกินไป ทำให้เขากระวนกระวายใจแปลกๆ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่า กระทั่งการแย่งนายบำเรอยังทำตามอำเภอใจขนาดนั้น แต่กลับไม่กล้าไปส่งคนในใจ
ลั่วเซิงนิ่งเงียบนานมากแล้วยิ้มๆ “มีเรื่องในใจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้เสียที่ไหนกัน ก็แค่รู้สึกว่าไคหยางอ๋องจริงจัง และตอนนี้ข้าก็ไม่ยินยอมจะแต่งงานเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงไม่อยากทำให้เขาเสียเวลา”
เหตุผลนี้ ลั่วเฉินเชื่อหลายส่วน น้ำเสียงจึงจริงจังขึ้นมา “พี่สาวจะอายุสิบเจ็ดในเร็วๆ นี้แล้ว ควรจะโตได้แล้วเช่นกัน อย่ามัวแต่คิดเรื่องการเลี้ยงดูนายบำเรอ”
ลั่วเซิงหลุดหัวเราะ “รู้แล้ว เลี้ยงอีกสองสามปี ก็ไม่เลี้ยงแล้ว”
ลั่วเฉินยกจอกชาขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง สีหน้าบึ้งตึงพลางลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าไปกินนกกระจอกย่างแล้ว”
“ไปเถอะ หากยังไม่ไปอีก นกกระจอกบ้านก็น่าจะถูกพวกเขากินกันหมดแล้ว”
เด็กหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าต่าง มองเด็กหนุ่มที่เร่งฝีเท้าเดินไปทางห้องโถงใหญ่
บางทีหาโอกาสที่เหมาะสมหนึ่งได้แล้วก็สมควรจะบอกชาติกำเนิดที่แท้จริงกับน้องชาย แต่จะอธิบายถึงการรู้รายละเอียดของนางได้อย่างไรนั้น ยังเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว คงไม่สามารถบอกน้องชายว่า นางคือท่านหญิงชิงหยางที่คืนชีพมาหรอกนะ
หิมะตกหนักต่อเนื่องติดต่อกันหลายวัน ชายคาบ้านและถนนเต็มไปด้วยหิมะหนา
ตามการค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากเมืองหลวงของกองทัพปราบตะวันออก กระทั่งเมฆครึ้มที่เพลิงสงครามนำมาก็คล้ายกับจะลอยไปไกลแล้ว
ภัยพิบัติในที่ห่างไกล คล้ายจะเทียบกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ข้างกายที่ทำให้คนกลุ้มใจยิ่งกว่าไม่ได้
สำหรับประชาชนเป็นเช่นนี้ สำหรับขุนนางและชนชั้นสูงส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้
แต่หลังจากจักรพรรดิหย่งอันยอมรับความจริงที่ติ้งตงอ๋องก่อกบฏ โดยการส่งกองทัพปราบตะวันออกออกไปและจัดการประสานเรื่องการศึกสงครามของศาลาว่าการต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็เริ่มพิจารณาเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง ปัญหาเรื่องทายาท
ตอนนี้วังหลังมีเพียงเซียวกุ้ยเฟยที่ตั้งครรภ์ เดิมพันว่าเซียวกุ้ยเฟยจะมีประสูติกาลพระโอรสแน่นอนนั้นเสี่ยงเกินไปแล้ว
จักรพรรดิหย่งอันเป็นผู้ที่ชื่นชอบการเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อนึกว่า หากเซียวกุ้ยเฟยให้กำเนิดองค์หญิง ถึงตอนนั้นจะต้องเข้าสู่การเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย
ครุ่นคิดไปมา ยังคงต้องให้สนมและนางกำนัลมีข่าวคราวมากหน่อย ถึงจะมีหลักประกัน
แต่นางสนมเหล่านี้ไม่มีข่าวดีมานานหลายปีแล้ว แม้ว่าเซียวกุ้ยเฟยจะมีข่าวดีก่อน จักรพรรดิหย่งอันก็ไม่ได้มีความเชื่อมั่นในตัวพวกนางเท่าใดนัก
ดูท่าควรจะเติมวังหลังให้ล้นหลาม เลือกคนใหม่ๆ เข้ามาจำนวนหนึ่ง
ในไม่ช้าข่าวคราวการตัดสินพระทัยเลือกสนมของฮ่องเต้ก็แพร่ออกไป