ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 465 ขอความช่วยเหลือ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 465 ขอความช่วยเหลือ

ในช่วงเวลาละเอียดอ่อนเช่นนี้ ฮ่องเต้จะเติมวังหลังให้เต็ม นั่นหมายความว่าอะไร ไม่ต้องพูดก็รู้ได้

บางคนปีติยินดี บางคนวิตกกังวล

คนที่ปีติยินดีมองเห็นโอกาส

ถ้าหากว่าส่งเด็กสาวในตระกูลเข้าวัง เมื่อมีประสูติกาลพระโอรสก็สามารถสู้จนได้มาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวยมหาศาล

สำหรับเซียวกุ้ยเฟย ได้รับความโปรดปรานเพียงคนเดียวแล้วอย่างไร ใครจะรับประกันได้ว่า นางจะมีประสูติกาลเป็นพระโอรสแน่นอน? แม้ว่าจะมีประสูติกาลพระโอรส สำหรับฮ่องเต้ที่มีทายาทน้อยนิดแล้ว ทายาททุกคนล้วนล้ำค่า อย่างไรเสียอายุเยาว์วัยนั้นก็ตายก่อนวัยอันควรได้อย่างง่ายดาย เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างราบรื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ขอแค่เข้าวังได้ก็มีโอกาส ใช้เด็กสาวคนหนึ่งมาช่วงชิงโอกาสนี้นั่นคุ้มค่ามาก

และสำหรับตระกูลที่พอใจในสิ่งที่ตนมี รักและทะนุถนอมบุตรสาวจำนวนหนึ่งก็เริ่มจะวิตกกังวลแล้ว

ฮ่องเต้ผ่านอายุห้าสิบมาแล้ว ส่งบุตรสาวเข้าวัง ความเป็นไปได้ที่จะสามารถมีประสูติกาลพระโอรสนั้นไม่มาก แม้ว่าจะให้กำเนิดองค์ชายก็มีเซียวกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานคนเดียวอยู่ด้านหน้า ตระกูลต่างๆ จับต้องตาเป็นมันอยู่ด้านหลัง จะสามารถปกป้องบุตรให้เติบโตได้อย่างปลอดภัยหรือไม่นั้นก็พูดได้ยาก

บุตรสาวที่เลี้ยงดูมาอย่างดีได้แต่งกับเด็กหนุ่มรูปงาม พฤติกรรมดีงามและเหมาะสมคนหนึ่งถึงจะถูกต้อง

แต่ทว่า ไม่ว่าตระกูลต่างๆ จะยินดีหรือว่าเป็นทุกข์ พระราชโองการคัดเลือกพระสนมก็ลงมาในไม่ช้า ‘เมืองหลวง เมืองเยี่ยนและเป่ยเหอสามแห่งนี้ ขอแค่เป็นขุนนางขั้นห้าขึ้นไป รวมถึงตระกูลขุนนางผู้มีคุณูปการ แต่ละตระกูลต้องส่งเด็กสาวนางหนึ่งเข้ารับการคัดเลือก สตรีชนชั้นสูงต้องอายุสิบห้าปีเต็ม และน้อยกว่ายี่สิบปี’

ตระกูลหวังซึ่งเคยเป็นรองเจ้ากรมราชรถ ในตอนนี้ทำได้แค่เรียกว่าคฤหาสน์ตระกูลหวังแล้ว

จวนผิงหนานอ๋องได้รับโทษ ในฐานะที่เกี่ยวดองกับจวนผิงหนานอ๋องผ่านการแต่งงาน ตระกูลหวังสูญเสียบุตรสาวไปคนหนึ่งนั้นไม่เอ่ยถึง รองเจ้ากรมหวังก็ถูกริบตำแหน่งกลายเป็นประชาชนคนธรรมดาเช่นกัน

โชคดีที่ตระกูลหวังเตรียมตัวเอาไว้บ้างแล้วจึงพอจะฝืนตั้งหลักในเมืองหลวงได้ สำหรับรสชาติความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไรกันแน่ก็มีเพียงแต่ตัวคนตระกูลหวังเท่านั้นที่รู้

ข่าวคราวการคัดเลือกสนมของฮ่องเต้ลอยไปเข้าหูคุณหนูใหญ่หวังกับคุณหนูรองหวัง สองพี่น้องล้วนมีสีหน้าหวาดหวั่น

“พี่สาว ตระกูลพวกเราตกต่ำเป็นชาวบ้านทั่วไป การใช้ชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบากฉับพลัน เดิมข้ายังรู้สึกแย่อยู่บ้าง ตอนนี้ดูท่าจะโชคดียิ่ง”

นางกับพี่สาวล้วนสอดคล้องกับเงื่อนไขเรื่องอายุในการคัดเลือกสนมครั้งนี้ หากท่านปู่ยังมีตำแหน่งรองเจ้ากรมราชรถขั้นสี่อยู่ก็คงมีคนหนึ่งที่หนีไม่พ้นต้องเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าวัง

คิดดูสิว่า ต้องกลายเป็นสนมของฮ่องเต้ชราอายุห้าสิบกว่าคนหนึ่ง ต่อสู้กับสตรีกลุ่มหนึ่งไม่มีสิ้นสุด คุณหนูรองหวังจึงกลัวจนตัวสั่น

คุณหนูใหญ่หวังโอบน้องสาว เอ่ยเสียงเบาว่า “ใช่แล้ว นี่คือมีทุกข์ก็มีสุขได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้เช่นกันล่ะนะ”

ได้ฟังวันเวลาที่ท่านปู่เปิดเผยออกมา รอปีหน้าก็อาจจะย้ายครอบครัวจากเมืองหลวง หลังจากกลับไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านเดิมแล้ว ค่อยมองการเรื่องการแต่งงานที่เหมาะสมให้กับพวกนางพี่น้อง

คิดได้ว่าจะได้ไปจากสถานที่กว้างใหญ่อย่างเมืองหลวง ความอบอุ่นเรียบง่ายของภูมิลำเนาเดิม คุณหนูใหญ่หวังก็สบายใจมากขึ้น

ในจวนแม่ทัพใหญ่ คุณหนูสี่ลั่วเย่ว์นั้นลนลานเสียแล้ว

พี่ใหญ่เคยยกเลิกการหมั้นหมาย อาศัยเพียงแค่เรื่องนี้ก็ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขแล้ว พี่รองขาเดินไม่คล่องแคล่วก็มีเหตุผลที่จะไม่เข้าร่วมการคัดเลือกอย่างชอบด้วยเหตุผล

พี่สาม…พี่สาม นางเลี้ยงดูนายบำเรอไง!

นับไปนับมา ก็มีเพียงนางที่อายุเหมาะสม เงื่อนไขสอดคล้อง

ฮือๆๆ รู้แต่แรก นางจะเลียนแบบเลี้ยงดูนายบำเรอเหมือนกับพี่สามแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าตัดสินใจทำไม่ลงมาตลอดหรอกหรือ

จะลงมือเคลื่อนไหวในตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว

ก็เหมือนกับตระกูลจำนวนหนึ่งที่ไม่ยินยอมส่งบุตรสาวเข้าวัง ฮ่องเต้มีพระราชโองการคัดเลือกพระสนมลงมาแล้ว หากชิงหมั้นหมายในเวลานี้เพื่อหลบเลี่ยงการคัดเลือกสนม นั่นมีโทษตาย

ในฐานะบุตรสาวของผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน จุดนี้นางยังเข้าใจอยู่

ลั่วเย่ว์ทุบหมอน ยิ่งคิดก็ยิ่งสิ้นหวัง หน่วยตาแดงระเรื่อแล้ว

นางไม่อยากเข้าวัง นางไม่อยากปรนนิบัติตาแก่คนหนึ่ง!

ในอดีต ทำไมนางจึงได้คิดไม่ตกกันนะ มองดูฟู่เสวี่ย หมิงจู๋ หลิงเซียว และเฟยหยางของพี่สามสิ…

เด็กหนุ่มซึ่งมีผิวพรรณขาวเนียน รูปโฉมงดงามแวบผ่านเข้ามาในสมองต่อเนื่อง คุณหนูสี่ร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว

ร้องไห้ไปครู่หนึ่ง ลั่วเย่ว์ก็ลุกขึ้นทันที

ไม่ได้ นางไม่อาจนั่งรอความตายเฉยๆ ได้!

“ไปถามสิว่า คุณหนูสามอยู่ในจวนหรือว่าไปหอสุราแล้ว” ลั่วเย่ว์ไล่สาวใช้ไปสอบถามที่เรือนเสียนอวิ๋นย่วน

ไม่นานนักสาวใช้ก็วิ่งกลับมารายงาน “คุณหนู พี่สาวที่เรือนเสียนอวิ๋นย่วนบอกว่า คุณหนูสามออกไปแล้วเจ้าค่ะ”

ลั่วเย่ว์ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ออกไปข้างนอกแล้วพาสาวใช้ออกจากประตูจวนไป

ข่าวลอยเข้าหูแม่ทัพใหญ่ลั่ว เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง มองใบตองซึ่งถูกหิมะกลบทับนอกหน้าต่างแล้วถอนหายใจยาว

ผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน ตำแหน่งนี้เหมือนกับเดินอยู่บนคมดาบ ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็ตายโดยไร้ที่กลบฝัง

เพื่อทั้งจวนลั่ว มีบางเรื่องที่จำเป็นต้องประนีประนอม

คล้ายกับเริ่มตั้งแต่กุ้ยเฟยตั้งครรภ์ ความรู้สึกไร้ทางเลือกแบบนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

แม่ทัพใหญ่ลั่วแววตาเคร่งขรึม นึกถึงความหวาดกลัวของบุตรสาวคนเล็กในยามนี้ก็ทำได้แค่บีบตนเองให้ใจแข็ง

ลั่วเย่ว์รีบร้อนไปถึงหอสุราก็เห็นองครักษ์คนนั้นของไคหยางอ๋องกำลังทุ่มเทกำลังกวาดหิมะ

ระยะนี้หิมะหยุดตกแล้ว หยุดเพียงชั่วครู่ก็ไม่ได้หยุดอีก

เพราะรีบร้อนออกมาจึงไม่ได้พกเตาอุ่นมือมาด้วย ลั่วเย่ว์ประกบมือเย็นเยียบเข้าด้วยกัน พลางถามว่า “พี่สามของข้าอยู่หรือไม่”

สืออี้ยืดตัวขึ้น เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “คุณหนูลั่วอยู่ขอรับ”

“ขอบใจมาก” ลั่วเย่ว์เอ่ยขอบคุณโดยไม่คิดอันใดแล้วยกชายกระโปรง รีบร้อนเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่และชนเข้ากับสือเยี่ยน

ลั่วเย่ว์อึ้งไปครู่หนึ่ง ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ที่แท้ไคหยางอ๋องก็ทิ้งหนึ่งในพี่น้องฝาแฝดอีกคนไว้ที่นี่ด้วย

ไคหยางอ๋องอยากจะทิ้งคนไว้คุ้มครองพี่สามมากขึ้นอีกคนสินะ

ความคิดนี้แวบผ่านไป ลั่วเย่ว์เม้มปาก

พี่สามมีนายบำเรอที่รูปงามประหนึ่งบุปผาและยังมีการดูแลจากไคหยางอ๋อง ทั้งยังไม่ต้องเข้าวังไปปรนนิบัติตาแก่ด้วย…

ไม่ได้การ หากคิดต่อไปจะต้องริษยาจนบิดเบี้ยวแน่ๆ นางควรจะรวมกลุ่มกับพี่สามนานแล้ว!

คุณหนูน้อยที่เสียใจในตอนนี้ก็สายไปแล้ว ตะโกนเสียงดัง “พี่สาม…”

ลั่วเซิงได้ยินเสียงก็เลิกม่านเดินเข้ามาจากด้านหลัง เมื่อเห็นว่าเป็นลั่วเย่ว์ก็บอกไม่ได้ว่าประหลาดใจ

นางกำลังสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ

เรื่องการคัดเลือกสนม ทุกคนล้วนมีมุมมองแตกต่างกัน บางคนบอกว่าเป็นเรื่องที่ดี บางคนบอกว่าเป็นเรื่องที่อันตรายถึงแก่ชีวิต นางคิดว่า การเข้าวังไปเป็นพระสนมก็คือ การมุดเข้าไปในกรงขัง แต่กลับไม่มั่นใจในความคิดของลั่วเย่ว์

ถูกต้อง เมื่อข่าวคราวการคัดเลือกสนมแพร่ออกมา คนที่นางคิดถึงก็มีแค่ลั่วเย่ว์

จวนลั่วมีคุณหนูสี่คน คนที่เงื่อนไขสอดคล้องมีแค่ลั่วเย่ว์คนเดียว

แต่ละคนมีความต้องการ ความปรารถนาไม่เหมือนกัน หากลั่วเย่ว์ดีใจที่ได้เข้ารับการคัดเลือก อย่างมากที่สุด นางก็เอ่ยเตือนสองสามประโยค หากลั่วเย่ว์ไม่ยินยอมแล้วมาขอความช่วยเหลือจากนาง นางก็จะช่วยเหลือสุดกำลัง

ลั่วเซิงมองเด็กสาวที่บุกเข้ามาแล้วยกริมฝีปากยิ้ม

คุณหนูน้อยดีๆ คนหนึ่งไปปรนนิบัติตาแก่คนหนึ่ง ทั้งยังต้องแย่งชิงกับคุณหนูน้อยอีกมากมาย สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนเสียดายอยู่ดี

“น้องสี่มีเรื่องอันใดหรือ” ลั่วเซิงถามเสียงอ่อนโยน

“พี่สาม…” ลั่วเย่ว์คว้าข้อมือลั่วเซิง รู้สึกได้ถึงสายตาอยากรู้อยากเห็นที่มองมาหลายคู่ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา “พวกเราไปดูต้นพลับกันเถอะ”

ลูกพลับที่เก็บจากต้นพลับในลานด้านหลังหอสุรานั้นหวานมาก นางเคยชิมแล้ว

เรื่องเกี่ยวกับการคัดเลือกสนม ไปคุยกันที่นั่นดีกว่า ที่นี่มีผู้คนคอยวิพากษ์วิจารณ์มากมาย

เมื่อได้ยินวาจานี้ของลั่วเย่ว์ ลั่วเซิงก็มีสีหน้าแปลกๆ เล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้า

สือเยี่ยนมองม่านประตูซึ่งทำจากผ้าฝ้ายที่สั่นไหวเบาๆ แล้วลูบหน้า พลางหันหน้าไปถามหงโต้วที่กำลังกินมันเทศเผาอย่างงุนงงว่า “พี่ใหญ่หงโต้ว หรือว่าต้นพลับต้นนั้นจะมีข้อดีอะไรที่ไม่มีใครรู้”

รอนายท่านกลับมา ไม่ต้องเอ่ยถึงคุณหนูลั่ว คงไม่ใช่ว่ากระทั่งต้นพลับก็รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้วหรอกนะ

หงโต้วกลอกตามองบน “ต้นพลับไม่ได้กลายเป็นปีศาจที่จะสามารถแอบซ่อนข้อดีของมันเอาไว้ได้สักหน่อย”

สือซานหั่วโง่งมขนาดนี้ เหมือนใครกันนะ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท