ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 466 หาทาง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 466 หาทาง

ต้นพลับถูกปกคลุมไปด้วยสีเงิน เผยให้เห็นความงามเงียบๆ

ลั่วเย่ว์จับมือตนเอง ครั้นต้องเอ่ยปากจริงๆ กลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย

จะว่าไปแล้ว อันที่จริงนางและพี่สามก็ไม่ได้สนิทกันเช่นนั้น…

ลั่วเซิงยิ้มถาม “น้องสี่มีธุระอะไรกันแน่”

ลั่วเย่ว์ใจเต้นระรัว

จะลังเลต่อไปไม่ได้แล้ว พี่สามอารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ หากท่านพี่หมดความอดทนแล้วไล่นางออกไปจะทำอย่างไร

“พี่สาม…” ลั่วเย่ว์ปริปาก ใจของนางเต้นแรงเมื่อต้องเผชิญกับดวงตาอันสงบนิ่งคู่นั้น “ข้าไม่อยากเข้าวังรับใช้ตาแก่!”

เมื่อพูดจบ สีหน้าลั่วเย่ว์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย นางรีบปิดปากทันที

แย่แล้ว ประหม่าไปหน่อยจนหลุดพูดความในใจออกมา

ถึงแม้นางต้องการจะสื่อความหมายนี้จริงๆ แต่การเรียกฮ่องเต้ว่าตาแก่หากเรื่องแพร่ออกไปจะกลายเป็นหายนะใหญ่หลวง!

ลั่วเย่ว์กะพริบตาสองสามที เห็นท่าทีที่ยังคงสงบนิ่งของลั่วเซิง นางก็วางใจลงเล็กน้อยและพูดละล่ำละลักว่า “พี่สาม ข้าหมายความว่า…ข้าไม่อยากเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนม”

ลั่วเซิงยิ้มพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”

ลั่วเย่ว์บีบมือและก้มหน้าเล็กน้อย “แต่ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ข้าจึงมาถามพี่สามว่ามีวิธีดีๆอะไรหรือไม่”

จนถึงตอนนี้นางเพิ่งสงบอารมณ์ลงและรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจกับพฤติกรรมของตนเอง

ชั่วขณะที่นางต้องการขอความช่วยเหลือ คนที่นางคิดถึงไม่ใช่ท่านพ่อ และก็ไม่ใช่พี่ใหญ่หรือพี่รองที่นางสนิท แต่คือพี่สามที่เคยเป็นคนโอหังอวดดีในสายตานาง

บางทีอาจเป็นนิสัยของพี่สามที่ทำให้นางกล้าที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อต้องเผชิญกับอำนาจที่สูงเท่าภูเขาของจักรพรรดิ

“วิธีดีๆ หรือ…” ลั่วเซิงพึมพำ พูดเสียงดังขึ้นว่า “ลองดูก่อนได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ ต้องพึ่งดวงด้วย”

ดวงตาของลั่วเย่ว์เป็นประกาย “พี่สามมีวิธีอะไรหรือ”

นางไม่ใช่เด็กเสียหน่อย ย่อมรู้ว่าไม่มีอะไรที่สามารถรับรองได้ว่าจะสำเร็จแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ยากลำบากเช่นนี้

ตราบใดที่สามารถลองได้ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ยอมรับชะตากรรม

ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดนางเคยคิดไว้แล้ว หากต้องถึงขั้นนั้นจริงๆ ก็คงทำได้เพียงยอมเชื่อฟังการจัดแจงของครอบครัว

นางเป็นคุณหนูสกุลลั่วมาสิบกว่าปี กินดีอยู่ดี มีคนคอยรับใช้ นางไม่ควรสร้างปัญหาให้ทั้งครอบครัวเพื่อผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัวของนางเองได้

เพียงแต่ว่านางยังไม่อยากแพ้ให้กับชะตากรรมของตัวเอง

มองดูเด็กสาวที่แววตาเป็นประกาย ลั่วเซิงพูดเสียงเบาว่า “วันนี้องค์หญิงฉางเล่อจะเสด็จมา…”

ลั่วเย่ว์ตั้งใจฟัง สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด

กลิ่นมันเทศเผาตลบอบอวลในห้องโถง กลิ่นหอมหวานชวนน้ำลายไหล

เสียงเคาะประตูดังขึ้นนอกหอสุรา

โค่วเอ๋อร์รีบเดินไปเปิดประตู คารวะองค์หญิงฉางเล่อที่ยืนหน้าประตูอย่างนอบน้อม

องค์หญิงฉางเล่อก้าวเข้าไปในห้องโถงโดยไม่เหลือบมองด้านข้าง นางสูดหายใจเข้าเบาๆ ถามว่า “อาเซิง นี่คือกลิ่นอะไรหรือ”

ทำอะไรอร่อยๆ อีกแล้วหรือ

ลั่วเซิงเดินมาต้อนรับ ยิ้มตอบว่า “กำลังเผามันเทศเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อกวาดตามองแล้วเห็นเก้าอี้และโต๊ะในห้องโถงถูกย้ายไปวางไว้ข้างๆ เตาเผาขนาดใหญ่ตรงกลางมีผู้คนล้อมอยู่ไม่น้อย ทุกคนถืออาหารที่กำลังร้อนระอุในมือ

องค์หญิงฉางเล่อดมกลิ่นหอมหวานในห้องโถงด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อร่อยหรือไม่”

อาหารเลิศรสนางย่อมทานมามากแล้ว ทว่ามันเทศที่ถูกเหล่าคนชั้นสูงดูแคลนนี้นางยังไม่เคยทานเลย

“บางคนชอบ บางคนไม่ชอบ แล้วแต่คนเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อเลิกคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าขอลอง”

ลั่วเซิงยิ้มพูดว่า “น้องสี่ ไปเผามันเทศให้องค์หญิงลูกหนึ่ง”

“เจ้าค่ะ” ลั่วเย่ว์ขานตอบอย่างเชื่อฟังแล้วเดินไปที่เตาเผา

องค์หญิงฉางเล่อเพิ่งตั้งใจมองลั่วเย่ว์ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ “อาเซิง นี่คือน้องสาวเจ้าหรือ”

ลั่วเซิงยิ้มน้อยๆ “เพคะ น้องสี่ข้า องค์หญิงจำไม่ได้แล้วหรือเพคะ”

คุณหนูลั่วเข้ากับพี่น้องทั้งสามไม่ได้ แต่กลับถูกชะตากับองค์หญิงฉางเล่อมาก สำหรับองค์หญิงฉางเล่อแล้ว คุณหนูของจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วมีเพียงคุณหนูลั่วเพียงคนเดียว ที่เหลือเป็นเพียงลูกแมวลูกสุนัข นางย่อมไม่เคยสังเกต

องค์หญิงฉางเล่อหรี่ตาที่เรียวยาวของตนลง มองดูเด็กสาวที่เดินถือมันเทศเข้ามาแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “จำไม่ได้แล้วจริงๆ”

ครานี้ลั่วเย่ว์เดินมาถึงข้างหน้าพลางย่อเข่าให้เล็กน้อย “เชิญองค์หญิงเสวยเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อมองมันเทศเผาที่มีผ้าสีขาวรองอยู่ข้างล่างแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

ของดำๆ แบบนี้ต้องปอกเปลือกกินหรือ

หลังจากคิดครู่หนึ่ง องค์หญิงฉางเล่อก็เรียกลี่ว์ฉี่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เด็กหนุ่มหน้าตางดงามนามลี่ว์ฉี่เดินเข้ามารับมันเทศเผา ทนร้อนปอกเปลือกที่ถูกเผาจนเกรียมออก เผยให้เห็นเนื้อมันเทศที่รสหวานเนื้อนิ่มข้างใน

“องค์หญิง” เด็กหนุ่มถือมันเทศที่ปอกเสร็จแล้วถวายข้างหน้าองค์หญิงฉางเล่อ

องค์หญิงฉางเล่อยื่นมือไปจะรับไว้ จู่ๆ ลั่วเย่ว์ก็พูดขึ้นว่า “องค์หญิงทรงรอสักครู่เพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อมองที่ไปนาง

ลั่วเย่ว์รีบเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบช้อนเงินมา “เชิญองค์หญิงเสวย”

องค์หญิงฉางเล่อรับช้อนเงินมา ดวงตาที่มองลั่วเย่ว์ปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย นางตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ช่างใส่ใจและมีน้ำใจจริงๆ”

องค์หญิงฉางเล่อใช้ช้อนตักเนื้อมันเทศกินไปสองคำก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “คิดไม่ถึงว่ารสชาติจะไม่เลว”

ลั่วเซิงยิ้มพูดว่า “องค์หญิงทรงชอบก็เสวยอีกเพคะ วันนี้เผาไปไม่น้อย”

“แค่ได้ชิมก็พอแล้ว” องค์หญิงฉางเล่อเหลือบมองเด็กหนุ่มงดงามสองคนที่ยืนข้างกาย “พวกเจ้าสองคนก็ลองกินเถอะ”

ลี่ว์ฉี่และตู๋โยวกล่าวขอบคุณพร้อมกัน “ขอบพระทัยองค์หญิง”

ลั่วเย่ว์ได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบมันเทศเผาสองหัวมา

องค์หญิงฉางเล่อยิ้ม “อาเซิง น้องสาวเจ้ากระตือรือร้นจริงๆ”

น้องสาวของอาเซิงหยิบของให้นายบำเรอของนางด้วยตนเอง จะว่าไปแล้วถือว่าให้เกียรติพวกเขาสองคน

“พวกเจ้ายังไม่ขอบคุณคุณหนูสี่อีก”

“ขอบคุณคุณหนูสี่” ลี่ว์ฉี่และตู๋โยวประสานมือขอบคุณลั่วเย่ว์

ลั่วเย่ว์รีบลดสายตาลง เมื่อลี่ว์ฉี่รับมันเทศไป แก้มของนางก็แดง

เนื่องจากองค์หญิงฉางเล่อสังเกตุลั่วเย่ว์มากขึ้นจึงเห็นท่าทีผิดแปลกนี้ นางเลิกคิ้วเล็กน้อย

คุณหนูน้อยหวั่นไหวเพราะความงามของลี่ว์ฉี่หรือ

องค์หญิงฉางเล่อไม่ได้รังเกียจสิ่งนี้ แต่กลับรู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย

ชายหนุ่มรูปงามเหล่านี้อาศัยในจวนองค์หญิง สำหรับนางแล้วก็แค่ของเล่นเท่านั้น ทว่าของเล่นในสายตาของนางกลับสามารถทำให้สตรีสูงศักดิ์หวั่นไหวได้

ลั่วเซิงยกมุมปากเล็กน้อย

ช่วงระยะเวลานี้ที่ได้ไปมาหาสู่กับองค์หญิงฉางเล่อ ลั่วเซิงพอจะรู้จักนิสัยใจคอพระองค์แล้ว เห็นทีนางคงจะเดิมพันถูก

มองดูพี่สาวที่ยกมุมปากเล็กน้อย ลั่วเย่ว์ก็รู้สึกโล่งใจ

เมื่อครู่นี้ต้องแสดงความเขินอายต่อหน้าเด็กหนุ่มนั่น ทรมานนางจะตายแล้ว!

โชคดีที่สำเร็จ ไม่เสียแรงที่นางฝึกฝนอยู่นาน

ในขณะที่ลั่วเย่ว์โล่งใจก็ยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย

องค์หญิงฉางเล่อจะให้ลี่ว์ฉี่เป็นรางวัลแก่นางตามที่พี่สามคาดเดาไว้หรือไม่นะ

ใช่แล้ว สำหรับลั่วเซิงแล้ว โอกาสในการหนีการเข้าวังของลั่วเย่ว์อยู่ที่องค์หญิงฉางเล่อ

ในฐานะที่เป็นบุตรสาวของผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน ตราบใดที่เข้าเกณฑ์การคัดเลือกพื้นฐานย่อมถูกเลือก การเคลื่อนไหวใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกนางสนมในเวลานี้จะนำมาซึ่งความหายนะสู่จวนแม่ทัพใหญ่

ภูเขาไม่มาหาข้า ข้าก็ไปหาภูเขาเอง ลั่วเย่ว์สร้างความเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่องค์หญิงฉางเล่อทรงทำได้

หากองค์หญิงฉางเล่อตกรางวัลเป็นบุรุษคนโปรดแก่คุณหนูสี่ลั่ว เช่นนั้นสตรีหนึ่งเดียวที่เข้าเกณฑ์ของจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วย่อมหมดสิทธิ์

นางสนมของจักรพรรดิจะมีชายอื่นได้อย่างไร

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท