บทที่ 1471 ผู้ที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจ
“หรือว่ามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้เปิดเผยออกมาข้างนอก” ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด พอฮูหยินหลูคิดแล้วก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
“ท่านยาย ท่านหมายความว่ามีคนจงใจยับยั้งเรื่องของท่านพี่ไว้หรือ” พอฟางเพ่ยหยาคิดแล้ว ต้องเป็นเหตุผลนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นย่อมเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก ทว่าเหตุใดจึงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย
อย่างน้อยในร้านอาหารและในโรงน้ำชา เมื่อคุณหนูหรือคุณชายตระกูลใดเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข่าวนั้นก็จะต้องถูกพูดถึงในสถานที่ที่คนพลุกพล่านเช่นนี้ก่อน
เรื่องราวของสตรีที่มีความรู้ความสามารถนั้น ไม่ใช่ว่าจะเริ่มแพร่กระจายจากสถานที่เหล่านี้ก่อนหรือ
“เป็นผู้ใดกันที่มีอำนาจมากขนาดนั้น มีผู้คนเข้าร่วมงานเลี้ยงมากมายก็สามารถยับยั้งไว้ได้” ในหัวของฟางเพ่ยหยามีแสงแวบผ่าน เงาของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ในตอนนี้ก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว
“ท่านยาย ข้าเข้าใจแล้ว ต้องเป็นหมิงตูจวิ้นจู่แน่ ๆ นางจงใจยับยั้งเรื่องของท่านพี่ไว้ มิฉะนั้นผู้คนมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ผู้ใดก็ตามที่พูดมากก็สามารถเผยแพร่เหตุการณ์ในวันนั้นได้ แต่ถ้าหากหมิงตูจวิ้นจู่ไม่ต้องการให้คนพวกนี้พูด เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดกล้าพูดแล้ว” ฟางเพ่ยหยาคิดถึงสาเหตุที่เกี่ยวโยงกันตรงนี้ก็โกรธไม่หยุด “คนผู้นี้จิตใจคิดร้ายมาก ตั้งใจเชิญสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลที่มีชื่อเสียงมา และยังตั้งใจให้มีการแสดงมากมายขนาดนั้นออกมาก่อน สุดท้ายยังให้ผู้คนมากมายมาหัวเราะเยาะพี่สาว แต่คิดไม่ถึงว่าพี่สาวจะเป็นผู้ที่แตกต่างจากที่นางคิดไว้ แผนการของนางนั้นไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงจงใจปกปิดเรื่องของพี่สาวเอาไว้”
แม้ว่าฟางเพ่ยหยาจะดูถูกกลอุบายพวกนั้นหลอก แต่ว่าก็แค่ดูถูกเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะทำไม่เป็น
หลังจากที่ฮูหยินหลูได้ฟังการวิเคราะห์ของฟางเพ่ยหยาแล้วก็พยักหน้า แต่ก็ยังมีความสงสัยอยู่ “หมิงตูจวิ้นจู่เป็นผู้สูงศักดิ์ เหตุใดจึงต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้ที่ไม่คุ้ยเคยสถานที่อย่างเสี้ยนจู่อันผิงด้วย หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว ถึงแม้ว่าหมิงตูจวิ้นจู่นั้นจะเย่อหยิ่งถือตัว แต่ว่าก็คงจะไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับแม่นางที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวง”
“ท่านยาย หากนางมองว่าใครขัดตาก็คือขัดตา จะยังมีเหตุผลมากมายขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน” ได้ยินถึงตรงนี้ ฟางเพ่ยหยาก็พูดอย่างโกรธเคือง
เป็นเพราะแค่นางอ้วนเท่านั้น ยังถูกหมิงตูจวิ้นจู่ด่ากระทบกระเทียบไปแล้วตั้งหลายครั้ง เมื่อพบหน้ากันก็ดุด่า ต่อมาหลังจากนั้นคุณหนูคนอื่น ๆ เองก็ดุด่านางทั้งตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างเป็นบางคราว ก็เพื่อเอาใจหมิงตูจวิ้นจู่
ฮูหยินหลูพยักหน้า แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ง่ายขนาดนั้นแน่
หมิงตูจวิ้นจู่ตั้งใจขัดขวางเสี้ยนจู่อันผิง ต้องเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวนางเองได้รับการคุกคามอำนาจแน่ แต่ว่าคำพูดนี้ฮูหยินหลูไม่ได้บอกให้ฟางเพ่ยหยาฟัง และยังถามต่อไปว่า “เจ้ากับเสี้ยนจู่อันผิงมีนัดเจ็ดวันกันนั้น เป็นเรื่องใดกัน”
“ท่านยาย” ฟางเพ่ยหยาได้ยิน ดวงตาก็สว่างขึ้น เอื้อมมือไปล้วงถุงผ้าไหมใบหนึ่งออกมาจากในแขน และหยิบของข้างในออกมาพลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านยาย นี่เป็นวิธีที่ท่านพี่ตั้งใจทำให้ข้า บอกว่าถ้าทำตามวิธีของนาง ข้าจะต้องผอมลงแน่นอน”
พอได้ยินว่าฟางเพ่ยหยาสามารถผอมลงได้ ฮูหยินหลูเองก็ตื่นเต้นไม่หยุด “รีบเอามาให้ยายดูเร็วเข้า” หลังจากที่กวาดสายตามองวิธีที่ฟางเพ่ยหยาส่งมาแล้ว นางก็รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย “แค่นี้ก็สามารถผอมลงได้แล้วหรือ”
“ข้ายังไม่ได้ลองดู แต่พี่สาวบอกว่าถ้าหากทำตามวิธีนี้ของนางจะต้องได้ผลแน่นอน ตอนแรกพี่สาวบอกว่าเจ็ดวัน หลังจากที่รอให้ข้าทำตามวิธีของนางได้เจ็ดวันแล้ว หลังจากเจ็ดวันนั้นก็ค่อยไปหานางอีก แต่ว่าข้ายังไม่ได้ทำตามเลย จนลืมแม้กระทั่งวันที่ได้นัดกับนางเอาไว้” ฟางเพ่ยหยาพูดอย่างจนใจเล็กน้อย แต่ในดวงตานั้นเป็นประกาย
ฮูหยินหลูคืนของในมือให้ฟางเพ่ยหยาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เริ่มตั้งแต่วันนี้ เจ้าก็ทำตามวิธีนี้ที่เขียนขึ้นมา ยายจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่ แม่ของเจ้านั้นก็มียายดูแลอยู่ เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลมากแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำอย่างเต็มที่ในตอนนี้ก็คือจะต้องผอมลง หากแม่ของเจ้าดีขึ้นแล้วพบว่าเจ้าผอมลง ไม่รู้ว่านางจะมีความสุขมากแค่ไหนกัน”
ฮูหยินหลูกล่าวอย่างจริงใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เหวินซินนั้นไม่ได้อ้วน ฟางเจิ้งสิงเองก็ไม่ได้อ้วน แต่ฟางเพ่ยหยานั้นกลับอ้วน ในวัยนี้อ้วนท้วนกว่าคุณหนูที่อายุรุ่นคราวเดียวกัน เมื่ออ้วนแล้วจะดูดีได้อย่างไร
นี่อายุก็ใกล้จะสิบห้าปีแล้ว ถ้าหากจะมาสู่ขอก็ต้องมาสู่ขอตั้งนานแล้ว แต่เพ่ยหยานั้นกลับไม่มีวี่แววอะไรเลย ผู้ใดก็รู้ว่าเป็นเพราะว่านางอ้วนมากเกินไป
ถ้าหากว่าสามารถผอมลงมาได้จริง ๆ ตามรูปร่างของหลูเหวินซินแล้ว เพ่ยหยาเองก็คงดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อถึงเวลานั้น อาศัยฐานะที่เป็นบุตรสาวสายตรงของขุนนางระดับสอง หากอยากแต่งงานกับตระกูลที่ดีนั้นก็หาไม่ยากเลย
ฟางเพ่ยหยาไม่รู้ว่าท่านยายนั้นสามารถคิดไปไกลถึงเรื่องที่ผอมลงและแต่งงานกับตระกูลที่ดีแล้ว นางก็พยักหน้าและพูดว่า “ตกลงท่านยาย เช่นนั้นนอกจากข้ากินและออกกำลังตามวิธีนี้แล้ว เวลาที่เหลือข้าก็จะอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ คอยดูแลท่านแม่”
“ได้ ๆ หลานที่ดีของข้า” ฮูหยินหลูเห็นฟางเพ่ยหยากตัญญูเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกโล่งใจมาก
อย่างน้อยในตระกูลฟางที่ไม่มีแม้แต่ความรัก เหวินซินยังมีบุตรสาวที่กตัญญูขนาดนี้อยู่เป็นเพื่อน คิดแล้วก็คงจะไม่ทุกข์ใจมากเกินไปนัก
……
เมื่อได้ยินว่าฮูหยินหลูรีบพาหลูเหวินซินและฟางเพ่ยหยาไปตระกูลหลูแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในเมื่อฮูหยินหลูใช้ความพยายามอย่างมากในการพาหลูเหวินซินกลับไปยังตระกูลหลู เช่นนั้นก็ยืนยันได้ว่ายังสามารถช่วยชีวิตของหลูเหวินซินได้
ถ้าหากมีการช่วยเหลือแล้ว ข่าวลือที่ว่าหลูเหวินซินกำลังจะตายนั้นไม่ได้มีคนตั้งใจกุเรื่องขึ้นเพื่อทำให้ฟางเพ่ยหยาหวาดกลัว ก็ต้องมีคนต้องการให้หลูเหวินซินตายจริง ๆ และนางเองก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
“ท่านพี่ ถ้าหากครั้งนี้ท่านไม่คิดวิธีที่ดีเช่นนี้ออกมา เกรงว่าฮูหยินฟางนั้นจะเคราะห์ร้ายจริง ๆ แล้ว หลิวซื่อผู้นั้นนางใช่คู่ต่อสู้ของฮูหยินฟางเสียที่ไหนกัน” ถานอวี้ซูพูดอย่างหวาดกลัว
ใช้ฮูหยินหลูไปกดหัวหลิวซื่อไว้ วิธีนี้ช่างดีจริง ๆ
มารดาอยากจะไปเยี่ยมดูบุตรสาว หลิวซื่อนั้นจะขัดขวางได้หรือ
แม้ว่าฟางเจิ้งสิงจะรู้ว่าฮูหยินหลูพาหลูเหวินซินกลับไปแล้ว คนก็พาจากไปแล้ว หรือว่าจะไม่สามารถวิ่งไปตระกูลหลูเพื่อพาคนกลับมาได้สำเร็จ
ฟางเจิ้งสิงก้าวสู้เส้นทางขุนนางนี้ได้อย่างไร ปากของคนหลายคนนั้นถูกอำนาจของฟางเจิ้งสิงปิดเอาไว้ แม้ไม่มีผู้ใดพูด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้
ถ้าหากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของตระกูลหลู ฟางเจิ้งสิงอยากจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็ต้องดูตัวเองว่ามีความสามารถเท่าใดแล้ว
ในตอนนี้พอมีอำนาจในมือก็ลืมตระกูลหลูที่ช่วยเหลือเขาเสียแล้ว ถ้าหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของฝ่าบาท ก็ต้องดูว่าฟางเจิ้งสิงนั้นจะอธิบายอย่างไรแล้ว