ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 338 เป็นแค่ขนไก่กระจายเต็มพื้น-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 338 เป็นแค่ขนไก่กระจายเต็มพื้น-1

กระท่อมหญ้าคาแห่งหนึ่งในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

ในลานบ้านเลี้ยงไก่ตัวผู้ตัวใหญ่สองสามตัว

ยามนี้ไก่ตัวผู้เหล่านั้นกลับผิดแผกไปจากเดิม

กำลังขันรับดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกดินอย่างต่อเนื่อง

ไก่ตัวผู้ที่อื่นล้วนขันตอนเช้า

เหตุใดไก่ตัวผู้ในกระท่อมหญ้าคาแห่งนี้ถึงขันตอนเย็นล่ะ

ชายคนหนึ่งได้ยินไก่ขันแล้วเดินออกจากกระท่อมหญ้าคา

เขายืดแขนเล็กน้อย

ท่าทางเพิ่งตื่นไม่นาน

ไก่นี้ตามเจ้าของ

เจ้าของตื่นตอนอาทิตย์ตกดิน เช่นนั้นตอนอาทิตย์ตกดินก็คือตอนเช้าของไก่และเจ้าของ

คนผู้นี้เดินถึงกลางลานบ้าน

ตรงนั้นมีแท่นเหล็กวางไว้อันหนึ่ง

บนแท่นรองหม้อใบหนึ่งอยู่

แต่ในหม้อไม่ได้ต้มอาหาร ใต้หม้อก็ไม่มีฟืนลุกไหม้

กลับเป็นในหม้อที่ไฟโหมไหม้ลุกโชน

คนผู้นี้เงยหน้าเห็นระดับไฟอ่อนลงเล็กน้อย

จึงฉวยหยิบกิ่งไม้จากพื้นโยนเข้าไปจำนวนหนึ่ง

แสงไฟพลันลุกโชนอีกครั้ง สูงครึ่งจั้งเห็นจะได้

แต่ถูกกองไฟที่ไม่เคยดับทั้งวันทั้งคืนนี้รบกวนการรับรู้เวลา

มันถึงได้ขันตอนฟ้ามืด

เพราะฟ้ามืดแล้วกองไฟยังสว่างเช่นเดิม

พวกมันเห็นกองไฟเป็นดวงอาทิตย์รุ่งสาง

คนแบบไหนกันถึงจะจุดกองไฟไว้ในลานบ้านทั้งวันทั้งคืน

แน่นอนว่าเป็นชาวทุ่งหญ้า

นี่เป็นความเคยชินและที่พึ่งพิงของพวกเขา

ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ขอแค่มีกองไฟที่นั่นก็ถือเป็นบ้านเกิดได้

เมื่ออาทิตย์ยามเย็นสะท้อนบนใบหน้าด้านข้างของจิ้งเหยาอีกครั้ง

เขาก็ใช้มีดสลักรอยเส้นหนึ่งไว้บนเสาหน้าประตู

รวมกับทุกอันก่อนหน้านี้เป็นเส้นที่สี่แล้ว

ทุกเส้นคือหนึ่งวัน

ดังนั้นเขาอยู่ในกระท่อมหญ้าคาแห่งนี้มาสี่วันแล้ว

ดูออกว่าเขาใช้ชีวิตสบายใจเฉิบไม่น้อย

คนที่ปล้นเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึง ก่อกวนทั้งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องจนวุ่นวายไม่สิ้นสุดยามนี้กลับนอนอยู่บนเก้าอี้โยกไม้

โยกเสียงเอี๊ยดอ๊าด

ในมือถือสุราไหหนึ่งกับผักกาดเขียวต้นหนึ่ง

สุราเอาไว้ดื่ม

ผักกาดเขียวเอาไว้ให้อาหารไก่

ทุกครั้งที่จิ้งเหยาดื่มสุราอึกหนึ่งเขาก็จะดึงใบผักกาดเขียวโยนไปทางด้านหลังของกลุ่มไก่ตัวผู้เล็กน้อย

“เจ้าดู ไก่พวกนี้เหมือนคนของทางการอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องมากใช่หรือไม่”

จิ้งเหยายิ้มกล่าว

แม้ไก่ตัวผู้เหล่านี้เห็นจิ้งเหยาดึงใบผักแล้ว

แต่สายตาของพวกมันกลับเห็นไม่ชัดว่าใบผักนี้โยนไปตรงไหนกันแน่

ต้องร้องระงมหาอยู่พักหนึ่งถึงจะหาเจอ

แต่ทุกครั้งกลับเป็นไก่ตัวผู้ที่ดูไม่โดดเด่นที่สุดเป็นตัวหาเจอ

สีขนของมันไม่ได้สวยสดเท่าพวกพ้อง

โดยเฉพาะหาง

สวยอย่างเดียว

แต่ไม่ได้เล่นแสงแวววามแม้แต่น้อย

จิ้งเหยาจ้องไก่ตัวนั้น

ในดวงตากลับเปี่ยมด้วยความโกรธและเคียดแค้น

“เอาไก่นั่นตุ๋นเย็นนี้!”

จิ้งเหยาสั่ง

คนข้างกายตอบรับคำหนึ่งก็จะเข้าไปจับไก่

แต่ไก่ตัวนั้นเหมือนรับรู้ได้ล่วงหน้า

ยังกินใบผักในปากไม่หมดก็คายทิ้ง

ตีปีกพยายามบินไปบนหลังคา

หลังคาอยู่ด้านหลังจิ้งเหยา

เพียงเห็นเขาย้ายไหสุรามามือซ้าย

มือขวาวางตรงเอว

พลิกมือดาบเดียว

ฟันหัวไก่ตัวนั้นลงมาทันที

หัวไก่กลิ้งบนหลังคา

ตกอยู่ข้างเท้าของจิ้งเหยา

เปลือกตาสั่นระริก ปากแหลมอ้าๆ หุบๆ

จิ้งเหยาจ้องมองครู่หนึ่ง จากนั้นใช้ปลายดาบโยนออกนอกลานบ้าน

“ท่านผู้นำหน่วย…ไก่นั่น ยังกินหรือไม่ขอรับ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้งเหยาเอ่ยถาม

ในยามนี้เอง เลือดไก่หยดหนึ่งหยดจากบนหลังคาลงในไหสุราของจิ้งเหยาพอดี

จิ้งเหยาเห็นแล้วกลับแกว่งไหสุราโดยไม่สนใจสักนิด

เหมือนอยากให้เลือดไก่หยดนั้นผสมเข้ากับน้ำสุรามากกว่าเดิม

ในเมื่อมีหยดแรกแล้ว ก็จะมีหยดที่สอง ที่สาม ที่สี่…

เลือดไก่ทุกหยดล้วนหยดลงไหสุราของจิ้งเหยาอย่างสมบูรณ์แบบ

แต่เขาไม่ได้แกว่งไหสุราอีกแล้ว

กลับเงยหน้าดื่มอึกใหญ่

“ไม่กินแล้ว…ข้าแค่เห็นไก่ตัวนั้นรกลูกตาเฉยๆ…ดึงมันลงมาจากหลังคาทั้งตัวแล้วโยนลงกองไฟ”

จิ้งเหยากล่าว

เหตุใดผู้นำหน่วยผู้สง่าผ่าเผยถึงมีเรื่องกับไก่ตัวหนึ่ง

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ไม่เข้าใจ

แต่ในเมื่อเจ้านายของตนสั่งแล้ว เช่นนั้นก็ทำตามนี้ไม่มีพลาด

ชั่วขณะที่ร่างของไก่ตัวนี้ถูกโยนเข้ากองไฟ จิ้งเหยาพลันหัวเราะ

เหมือนเขาเห็นฉากหลิวรุ่ยอิ่งถูกตนบดกระดูกโปรยขี้เถ้าในแสงไฟที่ลุกโชน

จิ้งเหยายังกำดาบไว้ในมือขวา

ตอนเขาเตรียมเก็บดาบเข้าฝักกลับเห็นบนคมดาบมีรอยหัก

ดาบเล่มนี้รบเหนือสู้ใต้กับเขามาสิบกว่าปีไม่มีเสียหาย

แต่ตัวดาบดันมาเสียหายหนักเพราะอานุภาพจากกระบี่นั้นของหลิวรุ่ยอิ่ง

จะไม่ให้จิ้งเหยาเกลียดชังอย่างไรไหว

ไก่ที่ตายตัวนั้นทำให้เขานึกถึงหลิวรุ่ยอิ่งเพราะมันหาใบผักเจอก่อนเพื่อนเสมอ

ทั้งที่เป็นแค่นายกองตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ดูแล้วก็ไม่มีอะไรโดดเด่น

กลับทำให้ตนแพ้อย่างหนักชนิดไม่เคยมีมาก่อน

แม้เบี้ยหวัดอยู่ในมือแล้ว

เป้าหมายใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบใด

แต่ในใจจิ้งเหยาก็ไม่อาจก้าวข้ามเนินนี้ไปได้…

อีกอย่างเขามีแผนของตัวเองเหมือนกัน

แม้เกาเหรินบอกเขาแล้วว่าจากนี้ต้องทำอย่างไร

แต่ไหนเลยจิ้งเหยาจะไม่รู้

หากทำตามทุกเรื่องตนก็กลายเป็นหมากตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ

ถูกคนหยิบเล่นอยู่ในกำมือ

เขาคิดจะพลิกเป็นคนได้เปรียบอยู่เสมอ

แม้เขาเป็นผู้นำหน่วยแห่งทุ่งหญ้า แม้ตำแหน่งที่ตัวอยู่ตอนนี้คืออาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

แต่ความคิดเช่นนี้กลับไม่เคยสั่นคลอนแม้แต่น้อย

………………………

เขา ‘ซื้อ’ กระท่อมหญ้าคาหลังนี้มาจากชาวเขาครอบครัวหนึ่ง

นั่นคือสามีภรรยาเฒ่าคู่หนึ่ง

ดูท่าทางอายุเจ็ดสิบ

มีลูกสาวแค่คนเดียว ออกเรือนไปนานแล้ว

จะกลับมาเยี่ยมแค่ตอนปีใหม่ฉลองเทศกาล

ชาวเขาคู่นี้ตั้งหลักอยู่ที่นี่มารุ่นสู่รุ่น

ล้วนเป็นคนซื่อไม่สู้คน

แม้ชีวิตยากจน แต่กินอยู่ในภูเขาเฝ้าหลุมศพบรรพบุรุษก็มีความสุขไม่น้อย

ตอนจิ้งเหยาอยากซื้อกระท่อมหญ้าคาแห่งนี้

แต่พูดอย่างไรสามีภรรยาเฒ่าชาวเขาคู่นั้นก็ไม่ขาย

บ้านใช้เงินสร้างใหม่ได้ ภูเขาก็หาที่อื่นได้เหมือนกัน

แต่หลุมศพบรรพบุรุษย้ายไม่ได้

และไม่อาจแตะต้อง

คนที่ปล้นเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงคนหนึ่งย่อมกล้าบอกราคาสูงยิ่ง

แต่พูดอย่างไรสองสามีภรรยาเฒ่าก็ไม่ยอมขาย

จิ้งเหยาพยักหน้า

เดิมเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับคนของอาณาจักรอ๋องอยู่แล้ว

ต่อให้เป็นเด็กกับคนแก่มือเปล่าก็เป็นเช่นนี้

ใจเขาคิดว่าแม้สามีภรรยาเฒ่าคู่นี้ก็อายุมากแล้ว

แต่ไม่แน่ตอนหนุ่มสาวอาจจะเป็นแนวหน้าต่อต้านทุ่งหญ้าก็ได้

หากพวกเขามีลูกชายอีกคน

จะถูกส่งไปเกณฑ์ทหาร

แล้วกลายเป็นหนึ่งในคนที่สังหารพี่น้องท้องเดียวกับจิ้งเหยาหรือไม่

ดังนั้นจิ้งเหยาจึงไม่มีความเห็นใจจุดนี้แต่อย่างใด

ในเมื่อสามีภรรยาเฒ่าอาลัยหลุมศพบรรพบุรุษขนาดนั้น

เฝ้าอยู่ข้างนอกยังไม่สู้ส่งทั้งสองคนเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย

เขาส่งสายตาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง สามีภรรยาเฒ่าชาวเขาคู่นี้ก็ล้มจมกองเลือด

เลือดคนกับเลือดไก่เป็นสีเดียวกัน

เพียงแต่ข้นเหนียวกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

จิ้งเหยาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฝังร่างสองคนนี้ลงในหลุมศพบรรพบุรุษที่พวกเขาคิดถึงทุกเช้าค่ำ

เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นคนรักษาคำพูด

จากนั้นสั่งให้คนตักดินเหลืองจากที่อื่นมากลบรอยเลือดบนพื้นดิน

ไม่อย่างนั้นปล่อยไว้นานก็จะส่งกลิ่นเหม็นดึงดูดแมลงวัน

บินหึ่งๆ ทำให้คนรำคาญใจนัก

………………………

จิ้งเหยาก็ไม่นับว่าโง่

ขณะที่ข้างนอกเกิดเรื่องวุ่นวายเพราะเขา เขากลับพักอยู่ในกระท่อมหญ้าคาแห่งนี้เงียบๆ ไม่ได้ไปไหน

สำหรับเขา ตอนนี้ศัตรูอยู่ที่แจ้งข้าหลบซ่อน

ขอเพียงถ่วงเวลาเล็กน้อย ข่าวคราวและสถานการณ์มักจะค่อยๆ คลี่คลาย

แต่เป้าหมายสำคัญที่สุดหาใช่สิ่งนี้

เขารอคนอยู่

ผ่านมาสี่วันแล้วคนผู้นี้ยังไม่มา

แต่จิ้งเหยามีความอดทนมากพอที่จะรอ

และมั่นใจมากพอว่าเขาจะต้องมา

นอกลานบ้าน

มีเสียงฝีเท้าทอดมาจากหลังบ้านครู่หนึ่ง

แต่ฟังดูสับสนผิดปกติ

คนทั่วไปเดินถนนล้วนมีจังหวะและฝีเท้าที่แน่นอนของตัวเอง

แต่คนผู้นี้กลับเดินๆ หยุดๆ เดี๋ยววิ่งเดี๋ยวกระโดด

แทบไม่ต่างกับลิงโดยสิ้นเชิง

แค่ไม่รู้ว่าเขาจะปีนต้นไม้ได้หรือไม่

“นี่! เจ้าเดาสิข้าเจออะไร หัวไก่หัวหนึ่ง! ยังอุ่นๆ อยู่เลย!”

ประตูลานบ้านของกระท่อมหญ้าคาถูกผลักออก

คนตัวเล็กที่ยังสูงไม่ถึงครึ่งประตูลานบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามา

ในมือถือหัวไก่ กำลังจับเล่นอยู่

เป็นหัวไก่ที่เพิ่งถูกจิ้งเหยาใช้ปลายดาบปาดออกไป

จิ้งเหยารู้ว่าคนที่ตนรอมาถึงแล้วในที่สุด

แต่เห็นคนผู้นี้พุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังหัวไก่ในมือก็ไม่ได้เอ่ยปาก

เพียงรอพ้นความเสียสตินี้ไปแล้วค่อยพูด

“ข้าจะบอกให้ เมื่อก่อนสิ่งที่ข้าชอบกินที่สุดก็คือหงอนไก่ และจะตัดหัวไก่แล้วเอาหงอนไก่ออกไม่ได้ ต้องเฉือนหงอนไก่ออกมาตอนไก่ตัวผู้นี้ยังกระโดดเป็นๆ เช่นนี้ตุ๋นพะโล้ออกมาแล้วรสชาติถึงจะดีที่สุด!”

คนผู้นี้พูดอยู่ แต่สายตาเลื่อนไปยังหงอนไก่สีแดงบนหัวไก่ตัวผู้ตัวใหญ่สองสามตัวที่เหลือ

“เจ้าอยากกินก็ลงมือเอง ไม่คิดเงิน และไม่มีใครขวางเจ้า!”

จิ้งเหยากล่าวอย่างเฉื่อยชา

“คนมีเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงติดตัวอย่างเจ้ามีหน้ามาถามเอาเงินคนอื่นด้วยรึ?!”

คนตัวเล็กกล่าว

“เกาเหริน! ข้าไม่ได้รอเจ้ามากินไก่ แล้วก็ไม่ได้มาใช้ชีวิตยามแก่ในป่าเขานี้!”

จิ้งเหยาผุดนั่งจากเก้าอี้นอนขึ้นมากล่าวโดยพลัน

เก้าอี้นอนตัวนี้ค่อนข้างเก่า

จิ้งเหยาใช้งานหนักก็ถึงกับพังลงมา…

จิ้งเหยาลุกขึ้นทันใด

ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโยนเก้าอี้นอนที่พังแล้วเข้าในกองไฟนั้นทั้งหมด

“ในเมื่อเจ้าไม่อยากใช้ชีวิตยามแก่ที่นี่ แล้วเหตุใดไม่ไปทำตามที่ข้าบอก”

เกาเหรินเงยหน้ามองจิ้งเหยาพลางกล่าว

จิ้งเหยาสูงกว่าเขามาก

เงยหน้าตลอดเวลาเช่นนี้ทำให้เกาเหรินไม่สบายเอามาก

เขากวาดมองโดยรอบ ในลานบ้านมีแค่สุ่มไก่อันนั้นที่ยังนับว่าสูงอยู่

เกาเหรินจึงหมุนกายเดินไปหน้าสุ่มไก่และกระโดดขึ้นไป

“ทำไมข้าต้องไปทำตามที่เจ้าบอกด้วย!”

จิ้งเหยาสายตาดุดัน

มองตรงไปหาเกาเหริน

เกาเหรินกลับไม่สบสายตาเขา

แต่ยอบกายลงบนสุ่มไก่และมองขนไก่บนนั้นเล่น

เขาหยิบขนไก่ขึ้นมาอันหนึ่ง

วางไว้กลางฝ่ามือและเป่าทีหนึ่ง

ขนไก่ลอยขึ้นทันที

ร่วงลงพื้นช้าๆ

ไก่ตัวผู้เหล่านั้นนึกว่ามีของกินอีก

แย่งกันจิกขึ้นมากิน

แต่อย่างไรขนไก่ก็ไม่ใช่ใบผักกาดเขียว

อย่าว่าแต่คนไม่กิน ไก่ก็ไม่กินเหมือนกัน

จิกรอบหนึ่งแล้วพบว่ารสชาติผิดไป

พวกไก่ตัวผู้จึงแยกย้าย

เพียงแต่ขนไก่ที่เคยสมบูรณ์นั้นกลับถูกจิกจนแหลกกระจุย

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท