บทที่ 402 สรรพสิ่งแปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม
เหตุไม่คาดฝันมักจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน สร้างเกลียวคลื่นท่วมจมจิตใจคน
ดั่งเช่นในตอนนี้ สวี่ชิงแค่ฟังปลัดเขตปกครองบรรยายประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฟังเรื่องราวในอดีตของเผ่ามนุษย์ จมอยู่ในนั้นไปโดยสัญชาตญาณ ภายใต้การไม่ได้มีการเตรียมตัวใดๆ ก็ได้ยินชื่อคนที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด
และพิจารณาจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของปลัดเขตปกครอง เหมือนว่าคนคนนี้…เคยสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่กับเผ่ามนุษย์ด้วย
สวี่ชิงไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ความคิดของเขาเรียบง่ายมาก หาอีกาตัวนั้นให้เจอแล้วฆ่ามันเสีย
ส่วนอีกฝ่ายเคยทำอะไร เป็นเหมือนกับที่ปลัดเขตปกครองพูดมาจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่ชนรุ่นหลังแต่งขึ้นมา สวี่ชิงคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องไปขบคิดพิจารณา
ในโลกนี้บางทีอาจจะมีนิยามของดีเลวจริงๆ แต่ในส่วนใหญ่ระหว่างมนุษย์ด้วยกันไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น แต่แฝงไว้ด้วยความซับซ้อน
ดังนั้นดีเลวในความหมายที่แท้จริงนั้นน้อยมาก ทุกอย่างสรุปแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากความแตกต่างของจุดยืน
คนหนึ่งคนเพื่อที่จะมีชีวิตต่อไป แย่งลูกกลอนขาวเม็ดสุดท้ายจากชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง คนคนนั้นจึงกลายพันธุ์ตายด้วยเหตุนี้ และคนที่แย่งชิงมาทำเรื่องแบบนี้มากมาย สุดท้ายก็มีชีวิตต่อไป
เช่นนั้นในสายตาของคนที่ถูกทำร้ายตายและในสายตาของคนทั้งโลก เขาเป็นคนเลว
แต่หลังจากที่เขามีชีวิตรอดต่อมาในอนาคตได้ช่วยคนมากมาย ทำให้คนอื่นไม่ตาย เช่นนั้นมองจากมุมมองของคนเหล่านี้ เขาเป็นคนดี
เช่นนั้นสรุปแล้วเขาเป็นคนเลวหรือคนดี
บางเรื่องความจริงแล้วยากที่จะแบ่งแยก เพราะไม่ว่าจะเลือกอย่างไรก็ไม่ถูก ไปวิเคราะห์พฤติกรรมการกระทำความจริงแล้วแฝงไว้ด้วยจุดยืนมุมมองที่ต่างกัน
คำตอบที่ได้จากทุกจุดยืน มุมมองก็แตกต่างกัน
เหตุผลนี้ในตอนที่สวี่ชิงยังเด็กก็ได้เห็นตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงมากมาย และมีที่ไม่เข้าใจ
เดินมาตลอดทางจนกระทั่งวันนี้ แม้เขาจะยังไม่ทะลุปรุโปร่ง แต่ก็พอจะรู้ทิศทาง
มั่นคงมิแปรผัน
เพียงพอแล้ว
เจ้าจะฆ่าข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้า
เจ้ามาแย่งข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้า
เจ้าจะทำร้ายข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้า
เจ้าฆ่าพ่อแม่ข้า ข้ายิ่งต้องฆ่าเจ้า!
ศีรษะของสวี่ชิงเปลี่ยนจากก้มหน้าเป็นเงยหน้า แววตาใสกระจ่าง มองไปทางปลัดเขตปกครองที่อยู่ข้างบน
ตอนนี้ปลัดเขตปกครองก็บรรยายประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์จบพอดี และกำลังมองไปทางอัจฉริยะโดดเด่นเผ่ามนุษย์ของรุ่นนี้ในตำหนักใหญ่ สายตากวาดมองทุกคน มองเห็นสวี่ชิง
ทั้งสองคนประสานสายตากัน
ปลัดเขตปกครองพยักหน้า
“ต่อไปข้าจะบรรยายให้พวกเจ้าฟังว่าในยามคับขัน อาศัยต้นไม้ใบหญ้าช่วยเหลือตัวเองอย่างไร แน่นอนว่านี่มีข้อจำกัดบางอย่าง นั่นก็คือในยามคับขันที่เจ้าอยู่ต้องมีต้นไม้ใบหญ้า
“เรื่องนี้ความจริงแล้วก็พบเห็นบ่อย จำนวนของพืชพรรณในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มากกว่าหมื่นเผ่าพันธุ์
“หากยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดแล้วก้มหน้ามองทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พวกเจ้าก็จะพบว่าหากลบหมื่นเผ่าแล้ว แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่หากลบต้นไม้ทั้งหมดออกไป การเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในสายตาพวกเจ้าก็จะชัดเจนมาก”
เสียงของปลัดเขตปกครองแฝงความแหบพร่า ภายใต้การขับเน้นจากเงาร่างที่แก่ชราของเขา เสียงนี้ก็เหมือนแฝงไว้ด้วยห้วงเวลาที่ไหลผ่าน ค่อยๆ ดังเข้ามาในจิตใจของคนทั้งหลาย
“ข้าจะไม่สอนวิธีโดยละเอียดให้กับพวกเจ้า เรื่องนี้หลังจากที่พวกเจ้าเรียนแล้วจำต้องขบคิดเอง ข้าจะสอนเพียงกรอบความคิดให้กับพวกเจ้าเท่านั้น นี่ก็เป็นทิศทางในการค้นคว้าหลายปีมานี้ของข้า
“นั่นก็คือ…เปลี่ยนคุณลักษณะเฉพาะของต้นไม้ต้นหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนต้นหญ้าธรรมดาๆ ให้เป็นสมุนไพร ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนสมุนไพรวิญญาณให้เป็นสมุนไพรพิษ หรือยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนต้นไม้พิษให้กลายเป็นต้นหญ้าวิญญาณ นี่จะทำให้พวกเจ้ามีวิธีการช่วยเหลือตัวเองเพิ่มขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นวิกฤตอันตราย”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด ทิศทางนี้ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเหมือนกัน
จากคำของปรมาจารย์ไป่ สามารถใช้วิชาปรับสมดุลเพียบพร้อมหยินหยาง นำสมุนไพรที่เก็บมาตามหลักการปรุงยา ใช้สมุนไพรอื่นๆ ไปผสม ก็จะทำให้เปลี่ยนไปได้
ทว่าวิธีนี้ยังมีข้อบกพร่องบางอย่างอยู่ สมุนไพรบางอย่างหยินหยางเพียบพร้อมไม่สามารถเปลี่ยนมันได้
ในตอนที่สวี่ชิงครุ่นคิด คนอื่นๆ ก็กำลังขบคิดเช่นกัน
คนทั้งหลายที่นี่แม้ความรู้ความเข้าใจในสมุนไพรจะธรรมดา แต่จะมากจะน้อยก็ล้วนมีบ้างเล็กน้อย อย่างไรเสียในโลกนี้ ลูกกลอนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ปลัดเขตปกครองยิ้มพลางมองคนทั้งหลาย จากนั้นก็สะบัดมือเอากระถางดอกไม้ออกมากระถางหนึ่ง ในนั้นมีดอกไม้ดอกเล็กๆ สีแดงสดดอกหนึ่ง
ดอกไม้นี้มีก้านสีเขียวคราม ดอกสีแดง มีสามกลีบ แต่ละกลีบมีเกล็ดเล็กๆ มากมาย เมื่อประกอบด้วยกันก็เต็มไปด้วยความสวยงามแปลกประหลาดชั่วร้าย
“ดอกเกล็ดแดง” สวี่ชิงจำได้ในทันที นี่เป็นดอกไม้ที่มีพิษร้ายแรงอย่างหนึ่ง อีกทั้งมีน้อยมาก เป็นประเภทที่หยินหยางเพียบพร้อมไม่สามารถเปลี่ยนได้ประเภทนั้น
“พวกเจ้าดูให้ดี”
ปลัดเขตปกครองยกมือหยิบขวดเล็กใบหนึ่งออกมา เทของเหลวในนั้นไปในดิน จากนั้นก็สังเกตการเปลี่ยนแปลงของดอกเกล็ดแดง แล้วเทน้ำยาอีกตัวลงไป
ทำพวกนี้เสร็จมือทั้งสองของเขาก็ยกขึ้นสะบัด ทันใดนั้น พลังบำเพ็ญหนักแน่นมหาศาลก็ถ่ายลงไปที่กระถางดอกไม้ ทำให้ยาที่ซึมไปในดินถูกดอกเกล็ดแดงดูดซับได้เร็วยิ่งขึ้น
ภาพอันน่าอัศจรรย์ค่อยๆ ปรากฏ
สีของดอกเกล็ดแดงค่อยๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นสีขาว ยิ่งกว่านั้นคือมีกลิ่นหอมลอยมา ตลบฟุ้งไปทั่ว
คนทั้งหลายในตำหนักต่างประหลาดใจ สวี่ชิงยิ่งตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ภาพนี้ดูเหมือนง่าย แต่ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งตื่นตะลึง
สวี่ชิงรู้ดีว่าวิธีหยินหยางเพียบพร้อมไม่อาจเปลี่ยนดอกเกล็ดแดงได้ แต่ตอนนี้วิธีที่ปลัดเขตปกครองใช้ทำจุดนี้ได้ นี่ทำให้ในดวงตาสวี่ชิงฉายแสงแรงกล้า
“พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”
“อยากจะเปลี่ยนสภาวะสมุนไพรต้นหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีหวือหวา และไม่จำเป็นต้องใช้หยินหยางปรับเปลี่ยน สำหรับข้า สิ่งที่ต้องใช้คือหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งด้วยความเงียบงัน
“ท่ามกลางความเงียบงันไม่รู้ตัว เจ้าเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่มันอยู่ เปลี่ยนแปลงสารอาหารหล่อเลี้ยงที่มันต้องการ ทำให้มันดูดซับช้าๆ โดยไม่รู้ตัว ได้รับอิทธิพลจากภายใน
“พูดให้ถูกต้องคือ ข้าไม่ได้ไปเปลี่ยนสภาวะของมัน แต่เป็นพลังของมันเปลี่ยนแปลงสภาวะของตัวเอง สิ่งที่ข้าทำก็แค่สร้างสภาพแวดล้อมและสารอาหารหล่อเลี้ยงชักนำทิศทางการเปลี่ยนแปลงมันก็เท่านั้น”
ปลัดเขตปกครองยิ้มพลางเอ่ย ในดวงตาแฝงแววให้กำลังใจ มองคนทั้งหลายในตำหนักใหญ่ที่ต่างจมอยู่ในห้วงความคิด
“นี่คือกรอบที่ข้าสอนพวกเจ้า พวกเจ้าใช้มันเป็นพื้นฐาน แล้วค่อยไปศึกษาวิถีพืชสมุนไพร ก็จะออกแรงน้อยแต่ได้ผลมากอย่างแน่นอน
“ความรู้ศาสตร์นี้ ในเจ็ดวันหลังจากนี้ข้าจะมาบรรยายให้พวกเจ้าฟังบ้าง หลังจากเจ็ดวันหากพวกเจ้าไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้จะใช้แต้มกองทัพของพวกเจ้ามาเรียนกับข้าที่จวนปลัดเขตปกครองก็ได้”
พูดจบปลัดเขตปกครองก็เดินไปข้างนอก
คนทั้งหลายในตำหนักใหญ่ต่างเคร่งขรึมจริงจัง โค้งคารวะปลัดเขตปกครอง
สวี่ชิงก็เช่นกัน วิชานี้สำหรับเขาแล้วเปิดแนวคิดให้ได้อย่างมหาศาล
วิชาวันนี้ก็จบสิ้นลงจากการจากไปของปลัดเขตปกครอง คนทั้งหลายต่างเดินออกไปจากตำหนักใหญ่
ตอนนี้ข้างนอกเลยเวลาโพล้เพล้มาแล้ว จันทร์กระจ่างลอยขึ้นฟ้า
ดวงจันทร์วันนี้งดงามนัก ท้องฟ้าไร้เมฆ แสงจันทร์นวลกระจ่างประดุจแม่น้ำดาราเทลงมา
สวี่ชิงที่ไปจากตำหนักใหญ่ด้วยกันกับนายกองเตรียมกลับสำนักย่อย เพิ่งเดินออกมาข้างหลังก็มีเสียงสบายๆ ของข่งเสียงหลงดังมา
“สวี่ชิง”
“วันหน้าทุกคนล้วนเป็นสหายร่วมรบกัน ข้าอยากชวนเจ้าไปดื่มด้วยกัน ข้าไม่อ้อมค้อมให้ยุ่งยาก ข้าอยากคบค้าเป็นสหายกับเจ้า
“อีกทั้งสหายสนิทของข้าพวกนั้นก็สงสัยในตัวเจ้ามาก เจ้าเพิ่งมาเมืองหลวงเขตปกครอง อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจวังครองกระบี่นัก อีกเดี๋ยวข้าจะแนะนำให้เจ้าด้วยเช่นกัน
“เจ้าว่าอย่างไร”
สวี่ชิงได้ยินชะงักฝีเท้า หันไปมองข่งเสียงหลงที่เดินมา ใบหน้าของอีกฝ่ายแฝงด้วยความจริงใจ รอยยิ้มยิ่งเป็นเช่นนั้น ข้างหลังมีพวกซานเหอจื่อเดินตามอยู่
สวี่ชิงลังเล อีกฝ่ายเชื่อเชิญอย่างจริงใจถึงเพียงนี้ อีกทั้งเขาก็อยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ครองกระบี่มากขึ้นจริงๆ แต่ว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่ค่อยชอบนายกองสักเท่าไร
“สหายเฉิน หากเจ้าไม่มีเวลา…” ข่งเสียงหลงดูเหมือนไม่ละเอียด แต่นั่นเป็นแค่นิสัย แค่ขี้เกียจจะคิดก็เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาโง่ ตอนนี้ย่อมมองเห็นความลังเลของสวี่ชิง
จึงสะกดความระแวงระวังเฉินเอ้อร์หนิว เอ่ยราบเรียบ
“มีเวลา!” นายกองกระแอมขึ้นทีหนึ่ง พอใจที่สวี่ชิงดูแลตนมากๆ
สวี่ชิงพยักหน้า
ข่งเสียงหลงก็ไม่ได้สนใจว่าจะมีคนเพิ่มขึ้นหรือไม่ ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะกับสวี่ชิง ในตอนที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังจะเดินจากไป เยี่ยหลิงก็ดึงชิงชิวที่กำลังจะไปเอาไว้
ชิงชิวจนปัญญา ทำได้แค่เพียงไปด้วย
พวกเขาทั้งเจ็ดคนเหมือนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งก็เหินออกไปจากวังครองกระบี่เช่นนี้เอง
ข้างหลังพวกเขา จางซืออวิ้นเดินออกมาจากตำหนักประสิทธิ์วิชา มองภาพนี้พลางแค่นลมหายใจ จากไปเพียงลำพัง
พวกข่งเสียงหลงโตมาในเมืองหลวงเขตปกครอง ย่อมรู้จักสถานที่กินดื่มเป็นอย่างดี แต่ว่าร้านที่เลือกกลับไม่ใช่ร้านหรูหรา แค่เป็นร้านเหล้าธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง
ในนั้นมีแขกไม่มาก เจ้าของร้านเป็นคู่สามีภรรยาชรา เห็นได้ว่ารู้จักเคยคุ้นกับพวกข่งเสียงหลงเป็นอย่างดี ในตอนที่ยกอาหารออกมา เห็นพวกเขามาก็รีบเผยรอยยิ้ม
“เสี่ยวข่งมาแล้วหรือ ครั้งนี้มีสหายใหม่เพิ่มด้วยหรือนี่”
“อาโจว อาสะใภ้โจว” ข่งเสียงหลงเมื่อมาถึงก็รีบวิ่งไปรับจานอาหาร ช่วยนำไปส่งให้กับโต๊ะข้างๆ แขกของโต๊ะนั้นเห็นพวกเขากลุ่มผู้ครองกระบี่ก็ไม่ได้กลัว ยิ้มให้พลางหยอกล้อ
“เสี่ยวข่งมาช่วยอีกแล้วหรือ”
“พวกเจ้ายืนกันอยู่ทำไม นั่งสิ เหล้าของที่นี่ข้าเป็นคนหมักเองเชียวนะ ไม่ผสมน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว” ข่งเสียงหลงดึงคนทั้งหลาย หาโต๊ะนั่ง วางเหล้าลง ท่าทางเหมือนเจ้าของร้าน
ภาพนี้ทำให้ชิงชิวแปลกใจนัก สวี่ชิงก็มองข่งเสียงหลงอยู่หลายครั้ง นายกองกลับทำท่าเหมือนรู้ตั้งนานแล้ว
ข่งเสียงหลงกำลังจะเอ่ยปาก อีกโต๊ะหนึ่งก็เรียกเก็บเงิน เขารีบลุกวิ่งไป ท่าทางชำนาญคล่องแคล่ว ราวกับว่าเป็นคนละคนกับที่ทรงอำนาจน่าเกรงขามที่วังครองกระบี่วันนั้น
“พี่ข่งยากจนตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กทำงานทั่วไปที่วังครองกระบี่ เขาในตอนนั้นอยู่ข้างนอกก็ทำงานพิเศษอีกหลายงานเพื่อหาเงิน” เยี่ยหลิงมองพวกสวี่ชิงแวบหนึ่ง เอ่ยปากอธิบาย
“ร้านเหล้าแห่งนี้เขาเป็นเสี่ยวเอ้อร์อยู่สามปี หลังจากฝึกบำเพ็ญออกไปทำภารกิจข้างนอกบ่อยถึงได้ลาออก แต่ทุกครั้งที่พวกเรารวมตัวกันก็จะเลือกที่นี่ เพราะอาโจวและอาสะใภ้โจวดีกับเขามาก
“พี่ข่งเป็นคนที่ไม่ลืมมิตรภาพเก่า” ซานเหอจื่ออยู่ข้างๆ สีหน้ารักษาความเคร่งขรึมจริงจังไปโดยนิสัย เอ่ยอย่างเย็นเยียบ
สวี่ชิงเงยหน้ามองข่งเสียงหลงที่ยุ่งวุ่นวาย คนแบบนี้ ตั้งแต่เขาเด็กจนโตก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน
ไม่นานนักข่งเสียงหลงก็กลับมา นั่งลงยกกาเหล้าขึ้น หัวเราะกับทุกคน
“วันนี้มีความสุขนักได้รู้จักสหายใหม่ มา เหล่าสหายทั้งหลาย พวกเราดื่ม!”
พวกซานเหอจื่อยกกาเหล้าขึ้นมา สวี่ชิง นายกอง และชิงชิวก็ยกขึ้นเช่นกัน คนทั้งหลายหลังจากมองหน้ากันก็ดื่มเหล้าลงไปพร้อมกัน
ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาวกันทั้งนั้น ทั้งยังดื่มกันเร็ว แม้สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วสุราไม่นับเป็นอะไร แต่จะอย่างไรก็สามารถทำให้บรรยากาศครึกครื้นได้ โดยเฉพาะข่งเสียงหลงเสียงหัวเราะก้องกังวาน กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้การผลักดันของเขา บรรยากาศเริ่มไม่ได้จืดชืดแบบนั้นทีละน้อยๆ
และความองอาจห้าวหาญของเขาก็ดูได้จากการดื่มเหล้า เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนชอบดื่มเหล้า ดื่มไปกาแล้วกาเล่า
สวี่ชิงและชิงชิวก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เพียงแค่ทั้งสองคนก็ยังต่างขัดหูขัดตาซึ่งกันและกัน ต่างไม่สนใจกัน
ส่วนนายกองเข้ากับคนง่าย ดื่มกับพวกซานเหอจื่อไม่หยุด
“เสี่ยวเหอ เยี่ยหลิงแล้วก็หวังเฉิน ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสามคนไม่ยอมรับสวี่ชิงกับคำที่บอกว่ามหาจักรพรรดิคัดเลือก แต่ข้าจะบอกพวกเจ้า ระหว่างพวกเราเผ่ามนุษย์สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดก็คือความอิจฉาริษยานะ ประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์วันนี้พวกเจ้าก็ได้ยินแล้ว พวกเราเผ่ามนุษย์ก็ไม่ได้แข็งแกร่งแบบในอดีต หากยังสู้กันเองภายใน อนาคตน่าเป็นห่วงนัก
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไร แต่สวี่ชิง ข้านั้นยอมรับ หมื่นจั้งก็คือหมื่นจั้ง”
ข่งเสียงหลงทอดถอนใจ ด้วยคำพูดของเขา พวกซานเหอจื่อทั้งสามคนสีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ลองพยายามสัมผัสกับสวี่ชิง ทว่ากับทางนายกองทางนั้นก็ระแวดระวังอย่างเห็นได้ชัด ไม่ผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย
ก็เป็นเช่นนี้ ในยามที่เหล้าวนครบสามรอบ อาหารเลิศรสยกมา ข่งเสียงหลงก็ยิ้มไปหาสวี่ชิง
“สวี่ชิง พวกเจ้ายังไม่ได้ไปสัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิใช่หรือไม่ เยี่ยหลิงน้อยก็เช่นกัน ปีที่แล้วข้าสัมผัสรับรู้สำเร็จ ดีเลย ข้าจะแบ่งประสบการณ์บางอย่างให้พวกเจ้า”
สวี่ชิงได้ยินก็หวั่นไหวเล็กน้อย ประสบการณ์การสัมผัสรับรู้ล้ำค่ามาก ปกติแล้วน้อยคนนักที่จะพูดออกมา นายกองในใจยังตกใจ ชิงชิวยิ่งเงยหน้าขึ้นมา
“ท่าทีของพวกเจ้ามันอะไรกัน ก็แค่ประสบการณ์สัมผัสรับรู้เอง” ข่งเสียงหลงหัวเราะฮ่าๆ
หวังเฉินที่อยู่ข้างๆ พูดน้อยมาโดยตลอด ตอนนี้เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า
“พี่ข่งก็เป็นเช่นนี้ ตะเกียงแห่งชีวิตของข้าก็เป็นเขาที่ให้มา”
“ตะเกียงแห่งชีวิตของเจ้าข้าไม่ได้ให้นะ เป็นของที่ข้ากับเจ้าไปชิงมาด้วยกันต่างหาก” มือใหญ่ๆ ของข่งเสียงหลงตบไปที่ไหล่ของหวังเฉิน แล้วทะลุผ่านไป
“พี่ข่ง ร่างจริงของข้ากำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกฝน…”
ข่งเสียงหลงหัวเราะ ไม่ได้สนใจ แนะนำประสบการณ์สัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิให้พวกสวี่ชิงฟัง
เวลาก็ได้หมุนผ่านไปช้าๆ เช่นนี้ พวกเขาดื่มกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนายกองเอาเหล้าวิญญาณที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตหมักเองออกมา เหล้าประเภทนี้คนทั่วไปดื่มไม่ได้ จะเมาตายเอา
แต่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วเป็นสุราหมักชั้นเลิศ
นี่ทำให้ความรู้สึกของข่งเสียงหลงที่มีต่อนายกองดีขึ้นมาเล็กน้อย
ทว่าจนถึงท้ายที่สุดแล้วต่อให้คนทั้งหลายจะเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ก็ยังเมากันเล็กน้อย
เพราะไม่มีใครโคจรพลังบำเพ็ญกำจัดไอเหล้า
คำพูดคำจาก็เป็นธรรมชาติขึ้นมาก ระหว่างนั้นซานเหอจื่อไม่เคร่งขรึมอีกต่อไป แต่สบถก่นด่าตระกูลเหยารัวๆ ในคำพูดไม่พอใจที่ตระกูลเหยาสนิทสนมกับต่างเผ่าเอามากๆ
ทั้งยังพูดถึงเจ้าเขตปกครองและปลัดเขตปกครอง ฝ่ายหน้าพวกเขาทอดถอนสะท้อนใจ ยิ่งมีความเข้าใจและความเคารพเลื่อมใส ฝ่ายหลังต่างยอมรับว่ามีความรู้กว้างขวางลึกซึ้ง มีความสามารถเหนือใคร สร้างความสงบร่มเย็นให้เมืองหลวงเขตปกครอง
สุดท้ายนายกองยิ่งแข่งดื่มเหล้ากับข่งเสียงหลง ทำให้ความสนุกสนานครึกครื้นพุ่งไปถึงขีดสูงสุด
จวบจนกลางดึก คนทั้งหลายถึงได้ไปจากร้านเหล้า ต่างแยกย้ายกันไป
การรวมตัวกันครั้งนี้แม้ไม่อาจทำให้พวกเขากลายเป็นสหายกันได้ในทันที แต่ต่างฝ่ายจะมากจะน้อยก็คุ้นเคยกันขึ้น
ระหว่างทางกลับสำนักย่อย นายกองโอบไหล่สวี่ชิง ทำท่าเหมือนสั่งสอนชี้แนะ
“ข้าจะบอกเจ้าให้นะอาชิงน้อย คนพวกนี้คอไม่ได้เรื่องเลย ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าคนนี้เพิ่งจะแสดงออกมาเพียงส่วนเดียว ข่งเสียงหลงนั่นยิ่งแย่ เขาดื่มสู้ข้าไม่ได้!”
สวี่ชิงยิ้มๆ พยักหน้าเห็นด้วย
ไร้คำพูดจาตลอดคืน
หกวันหลังจากนั้น วิชาเรียนที่ตำหนักประสิทธิ์วิชาดำเนินไป พวกเขาผู้ครองกระบี่หน้าใหม่เหล่านี้สิ่งที่ได้เรียนส่วนมากล้วนเป็นเคล็ดวิชาลับผู้ครองกระบี่ เรียนรู้เข้าใจความรู้มากขึ้น
ระหว่างนั้นวังครองกระบี่ยังทำการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อช่วยในวิชาเรียน
ภายใต้การจัดการของวังครองกระบี่ แม้วิชาเรียนบางวิชาจะเรียนในตำหนักบางแห่งในวังครองกระบี่ แต่ในนั้นแปรเปลี่ยนสรรพสิ่ง กลายเป็นมิติ
ภายใต้การแบ่งกลุ่มตลอด คนทั้งหลายก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากแปลกหน้ามาคุ้นเคยกัน
ครั้งหนึ่งสวี่ชิงถูกจับให้มาอยู่กลุ่มเดียวกันกับชิงชิว ทั้งสองคนทำการทดสอบดักซุ่มโจมตีด้วยกันสำเร็จ แม้จะเย็นชาใส่กัน แต่การร่วมมือกันอย่างไร้รูปร่างกลับสามัคคีกลมเกลียวกัน นี่ทำให้จิตใจของชิงชิวสับสนอยู่นาน
แล้วยังมีอีกครั้งหนึ่งเป็นข่งเสียงหลงจับกลุ่มกับนายกองไปทำการร่วมค้นหา
แต่ว่าล้มเหลว
เพราะวัตถุที่พวกเขาหา นายกองอดไม่ได้แทะไปคำหนึ่ง
หลังจากครั้งนั้น ข่งเสียงหลงแอบเตือนพวกซานเหอจื่อ ให้พวกเขาระวังเฉินเอ้อร์หนิว
“เจ้านั่นมีจมูกสุนัข หาของอาศัยสัญชาตญาณ ดวงตายังยิงแสงได้ ยิ่งชอบไปกัดแทะ วันหน้าถ้าพวกเจ้าออกทำภารกิจกับเขาจะต้องคอยระวังวัตถุที่เป็นภารกิจให้ดี!”
เวลาเจ็ดวันเพียงพริบตาก็ผ่านไปเช่นนี้ การฝึกฝนลับจบสิ้น
ต้องบอกเลยว่าผลของการฝึกฝนลับเจ็ดวันของวังครองกระบี่มีมากนัก เมื่อเจ็ดวันก่อนพวกเขาต่างแปลกหน้ากัน แต่เจ็ดวันหลังนอกจากจะคุ้นเคยกันแล้ว ยังมีมิตรภาพเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยด้วย
แม้จะไม่มาก แต่นี่คือเมล็ดพันธุ์
เมล็ดพันธุ์ที่จะงอกเงยเป็นสหายร่วมรบ
แน่นอนว่ายกเว้นจางซืออวิ้น
และในตอนที่คนทั้งหลายเข้าร่วมการทดสอบสุดท้ายของการฝึกฝนลับ สวี่ชิงก็ได้รับคำสั่งหน้าที่ บอกว่าไม่ต้องเข้าร่วมการทดสอบ ให้ไปรายงานตัวรับตำแหน่งกับเจ้าวังทันที
เจ้าวังไม่ได้อยู่ที่วังครองกระบี่
เขาอยู่ที่กรมราชทัณฑ์
นี่คือหน้าที่ของเจ้าวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรทุกรุ่น ดูแลปกครองกรมราชทัณฑ์
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไปจากตำหนักประสิทธิ์วิชา ถือป้ายคำสั่ง มุ่งหน้าตรงไปยังคุกอันดับหนึ่งเขตปกครองผนึกสมุทรบนพื้นดินแห่งนั้น