บทที่ 791 จัดการเหตุต้นผลกรรมเสร็จสิ้น (2)
เขาหักสูงเท่าครึ่งหนึ่งของกำแพงเมือง เมื่อเทียบกันแล้ว ร่างของสวี่ชีอันไม่อาจเทียบกับแมลงเม่าได้ เป็นได้แค่แมลงวันตัวหนึ่ง แมลงวันที่ถูกกระบี่เล่มหนึ่งแทง
ผิวหนังบนมือทั้งสองลอกออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดงอ่อน และกล้ามเนื้อก็ลอกออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน
พลังปราณกับพลังชีวิตของเขาหมดลงอย่างรวดเร็ว ถูกพายุหมุนยึดเอาไป
ภายในหุบเขารอยแยกขนาดใหญ่ สวี่ผิงเฟิงมองดูฉากนี้ด้วยตาที่เป็นประกาย
พลังวิเศษของ ‘ไป๋ตี้’ เหนือความหมายของเขาจริงๆ ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว เหมือนจะทำให้สวี่ชีอันเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
“อย่าเข้ามา!”
สวี่ชีอันตะคอกใส่ลั่วอวี้เหิงที่จะเข้ามาช่วย และแสยะปากกล่าว
“ดูให้ดีนะ ให้เจ้าได้เห็นถึงพลังดุเดือดของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง”
น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุดลง เสื้อผ้าบนตัวสวี่ชีอันก็ระเบิดออก เผยให้เห็นร่างกายที่สะอาดและแข็งแรง กล้ามเนื้อที่เรียบลื่นและบึกบึนเปิดเผยต่อหน้าลั่วอวี้เหิง
กล้ามเนื้อรอบตัวเขาเคลื่อนไหวขยุกขยิกอย่างไร้สุ้มเสียง พลังอันน่าหวาดกลัวส่งจากลำแข้งไปยังต้นขา พุ่งขึ้นมาบนเอว และถูกผลักเข้าไปที่แขนโดยตรง
“อ๊าก อ๊าก อ๊ากกก…”
สวี่ชีอันแหงนหน้าแผดเสียงคำรามดังก้องจนหูแทบหนวก
แขนทั้งคู่ของเขายิงแสงสีทองพุ่งทะลุท้องฟ้า
ทั่วทั้งมหาสมุทรเดือดพล่านขึ้นมา น้ำทะเลมหาศาลพวยพุ่งม้วนตัวขึ้นกลางอากาศ ฟองสีขาวพุ่งทะลัก
เมฆดำพวยพุ่งบนฟ้า ฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นประกายวูบวาบบนชั้นเมฆ ราวกับเป็นภาพเหตุการณ์วันสิ้นโลก
ลั่วอวี้เหิงตกใจมาก ในขอบเขตการมองเห็นที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง ส่วนประกอบต่างๆ ทั่วทั้งฟ้าดินยุ่งเหยิง ราวกับปรากฏสรรพสิ่งที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ทำให้ระเบียบของมหามรรควิถีเกิดความผิดพลาด
ลั่วอวี้เหิงมองไปที่สวี่ชีอันอีกครั้ง ‘มอง’ เห็นองค์ประกอบฟ้าดินหลบเลี่ยงเขา ไม่กล้าเปื้อนตัวเขา ลวดลายลึกลับแปลกประหลาดที่เขาหักแผ่ขยายออกมา ก็ค่อยๆ ถูกเขาผลักออก
นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับจอมยุทธ์ที่เคยได้ยินมาก่อน
ขั้นสุดยอดของจอมยุทธ์ก็คือมุ่งบ่มเพาะตนเอง ไม่ติดต่อกับโลกภายนอก กลายเป็นฟ้าดินของตนเอง
‘เปรี๊ยะๆ!’
ท่ามกลางเสียงแตกหักที่ดังชัดเจน เขาแกะที่สูงเท่ากับครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองก็เกิดรอยแตกร้าวเล็กๆ นับไม่ถ้วน และลวดลายลึกลับที่ปกคลุมบริเวณรอบๆ ก็สลายไปก่อนหน้านั้นแล้ว
‘เป๊าะ!’
ปลายแหลมของเขาแพะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถูกจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งหักด้วยพลังที่ดุดัน
พายุหมุนที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งสลายไป
เขาแกะโค้งงอร่วงลงไปทางหุบเขารอยแยกขนาดใหญ่ตรงก้นทะเลอย่างรวดเร็ว กลับสู่หน้าผากของ ‘ฮวง’ อีกครั้ง บริเวณที่หักถูกประกบร่องอย่างสนิทแน่นราวกับไม่เคยหักมาก่อน แต่ปลายเขาแหลมที่ถูกสวี่ชีอันหัก ยากที่จะหายสนิทได้
สวี่ชีอันยืนอยู่ท่ามกลางระหว่างท้องฟ้ากับทะเลด้วยความภาคภูมิ มือทั้งสองสูญเสียเลือดเนื้อไปทั้งหมด เหลือแค่กระดูกสีขาวโพลนเท่านั้น กลิ่นอายของเขาไม่แข็งแกร่งอีกต่อไป ตกร่วงลงสู่ขั้นสองอยู่รำไร แน่นอนว่าระดับขั้นยังอยู่ที่ขั้นหนึ่ง
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สวี่ชีอันก็คำรามไปที่ก้นทะเลด้วยสีหน้าดุร้าย
“สังหารเขา!”
เสียงคำรามดุเดือดราวกับฟ้าร้อง
ภายในหุบเขารอยแยกขนาดใหญ่ตรงก้นทะเล ลวดลายบนเขาแพะตรงหัวของฮวงเปล่งแสงออกมาฉับพลัน ‘ฟู่!’ พายุหมุนถือกำเนิดขึ้นมา
‘สังหารข้าหรือ’ สวี่ผิงเฟิงใจสั่นสะท้าน เขาต้องการแสดงวิชาเคลื่อนย้ายโดยสัญชาตญาณ
แต่สายไปเสียแล้ว พายุหมุนห่อหุ้มและตรึงเขาไว้กับที่
จากนั้นเลือดเนื้อของเขาก็ลอกออกอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนถูกกลืนเข้าไปกลางพายุหมุน
เสียงถอนหายใจของฮวงดังก้องในหุบเขารอยแยกขนาดใหญ่
“สถานการณ์ในอวิ๋นโจวผ่านพ้นไปแล้ว เจ้าไม่ได้สำคัญอย่างที่เจ้าคิด…จิตวิญญาณของข้าเสียหาย ยังไม่ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ สำหรับข้าแล้วการประนีประนอมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเหนือกว่าที่ข้าจินตนาการไว้…รอสวี่ชีอันสิ้นอายุขัยในอีกร้อยปีให้หลังหรือ ไม่ทันการณ์แล้ว กระแสของยุคสมัยเริ่มวิ่งห้อตะบึงกันอุตลุด มหาเคราะห์กำลังจะมาถึง…เจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นพันธมิตรกับข้าเลย มีแค่ขั้นหนึ่งที่สามารถเข้าร่วมในมหาเคราะห์ได้ สำหรับข้าแล้วการกลืนกินเจ้าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว โชคชะตากับจิตวิญญาณสำคัญเท่ากัน และเจ้าก็เป็นโหรหลอมปราณ!”
ท่ามกลางเสียงพูดละเมอของฮวง ร่างของสวี่ผิงเฟิงค่อยๆ ละลาย ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง จิตเดิมคำรามออกมาอย่างกระหืดหอบ
“ไม่ เจ้าสังหารข้าไม่ได้ อย่าสังหารข้า…”
ความไม่พอใจและสีหน้าอาฆาตแค้นนั้น หนาแน่นราวกับเป็นธาตุแท้
ทันใดนั้น เขาเงยหน้ามองผ่านแกนกลางพายุหมุน มองเห็นสวี่ชีอันกำลังมองดูรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดของเขาอย่างเมินเฉย
“เรื่องที่ข้าเสียใจที่สุดในชีวิตก็คือ ไม่ได้บีบคอเจ้าให้ตายตั้งแต่แรก”
สวี่ชีอันยกฝ่ามือขึ้น พลังปราณเกาะตัวเป็นหอกยาว และกล่าวขึ้นเบาๆ
“วันนี้สังหารเจ้า! จะมีชื่อว่าสังหารทรราชคนหนึ่ง ไม่ได้มีชื่อว่ากระทำปิตุฆาต”
เขาใช้พลังเขวี้ยงหอกพลังปราณแทงทะลุหน้าอกสวี่ผิงเฟิง
ร่างของสวี่ผิงเฟิงสลายอย่างสมบูรณ์ จิตเดิมดับสูญ
ดูเหมือนโหรหลอมปราณระดับสุดยอดของขั้นสองผู้นี้ จะคิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีจุดจบเช่นนี้
ภายใต้การผลักดันของบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก ทำให้เขาเสียชีวิตในเงื้อมมือของทายาทเทพมาร
…
น้ำทะเลที่กระเพื่อมค่อยๆ สงบลง เมฆครึ้มที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าก็สลายไป
สวี่ชีอันยืนอยู่กลางอากาศ โค้งเอวและหอบหายใจอย่างรุนแรง
เหตุผลที่เขาเป็นฝ่ายไปรับเขายาวของ ‘ฮวง’ ก่อน ด้านหนึ่งคือไม่อยากให้ลั่วอวี้เหิงเสี่ยงอันตราย อีกด้านหนึ่งคือต้องการ ‘กำราบ’ มัน ทำให้มันเข้าใจสิ่งหนึ่ง
แม้เจ้าจะแข็งแกร่ง แต่หากข้าต้องการเสี่ยงชีวิตกับเจ้า เจ้าก็ต้องเสี่ยงชีวิตกับข้าด้วยเช่นกัน
เมื่อมองผ่านพายุหมุนที่ลั่วอวี้เหิงสร้างขึ้นมา จะเห็น ‘ฮวง’ นอนหลับใหล และชี้ขาดได้ว่าเกิดปัญหากับร่างเดิมของมันจริงๆ ในใจสวี่ชีอันจึงวางแผนนี้ขึ้นมา
อีกทั้งรู้ว่าจะต้องได้ผล!
แกนกลางสำคัญก็เหมือนกับที่เจียหลัวซู่ถอยออกจากที่ราบกลาง เหตุใดข้าต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับพันธมิตรผู้หนึ่งอย่างย่อยยับเช่นนี้
อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่หมดสิ้นหนทางแล้ว
ตั้งแต่ตอนที่กองทัพอวิ๋นโจวพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรทั้งสามของพวกเขาก็ไม่มั่นคงแล้ว เพราะไม่มีเป้าหมายร่วมกันในระยะเวลาสั้นๆ
เป็นดังที่คาดไว้จริงๆ ตอนที่เขาขยี้เขายาวของ ‘ฮวง’ จนแหลกละเอียด และแสดงท่าทีไม่ตายไม่เลิกรานั้น ‘ฮวง’ ก็เลือกที่จะประนีประนอมแล้ว
“จัดการต้นเหตุผลกรรมเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องราวในอดีตลบล้างหมดสิ้น!”
สวี่ชีอันอ้าแขนไปทางท้องฟ้าสีคราม ราวกับโอบกอดชีวิตใหม่ไว้
คิ้วและตาของลั่วอวี้เหิงดูอ่อนโยน เป็นครั้งแรกที่นางเผยรอยยิ้มนุ่มนวลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ดูเหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงขมวดคิ้วกล่าว
“ท่านโหราจารย์ตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่”
สวี่ชีอันอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง
“คงจะยังมีชีวิตอยู่นะ ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจเขา ก็แค่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าผู้หนึ่ง ไม่มีประโยชน์ใดๆ ”
ท่านโหรจารย์ไม่สามารถช่วยกลับมาได้อย่างแน่นอน อีกอย่างสวี่ชีอันคิดว่าจะห่วงใครก็อย่าได้ห่วงเฒ่าเหรียญปากผี
เจ้าจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่
…
ก้นบึ้งทะเลที่มือเอื้อมลงไปไม่ถึง ร่างขนาดมหึมาลอยอยู่ในน้ำ และล่องลอยไปยังโพ้นทะเลที่ไกลออกไป
มันหลับตาราวกับหลับลึก ล่องลอยตามกระแสน้ำไปยังทิศทางที่ไกลออกไป
มีเสียงถอนหายใจของท่านโหราจารย์ดังออกจากหนึ่งในเขาแพะที่โค้งงอ
“ก็บอกแล้ว เขาไม่สังหารบิดาผู้ให้กำเนิดก็จะไม่เลิกรา เจ้าดันไม่เชื่อความชั่วร้าย ครั้งนี้สบายใจแล้วล่ะสิ จิตวิญญาณขาดเขาไปหนึ่งเขา”
ฮวงกล่าวราบเรียบ
“รสชาติของโหรไม่เลวเลยจริงๆ พลังของข้าเพิ่มขึ้นอีกแล้ว”
ท่านโหราจารย์พูดฉอดๆ ไม่หยุด
“มหาเคราะห์ใกล้จะมาถึง เจ้ายังจะไปโพ้นทะเลอีกหรือ”
น้ำเสียงอันเลื่อนลอยของฮวงดังเข้ามา
“เจ้าอยากรู้ว่าโพ้นทะเลมีอะไรหรือไม่ พาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง ข้าจะเตรียมการสำหรับมหาเคราะห์ที่ใกล้มาถึง”
…
ลั่วอวี้เหิงมองดูชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงที่อยู่บนฝ่ามือ และกล่าว
“เกาะหลังเต่ามีเงินและเสบียงสำรองอยู่มากมาย กำลังจะถูกนำกลับไปบรรเทาสถานการณ์ขาดแคลนเสบียงและเงินของราชสำนักได้พอดี”
สวี่ชีอันยกกระดูกนิ้วที่แฝงไปด้วยเส้นเลือดสะกิดแก้มนุ่มลั่วอวี้เหิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านราชครู ข้าบาดเจ็บสาหัสจำเป็นต้องบำเพ็ญคู่เพื่อรักษาเร่งด่วน”
ลั่วอวี้เหิงเผยสีหน้าไร้ความรู้สึก และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนงานราชก็ทำไปตามหน้าที่
“ข้าเป็นเซียนครองพิภพแล้ว เรื่องบำเพ็ญคู่ไม่ต้องพูดถึง เจ้ากับข้าไม่มีความสัมพันธ์แบบชายหญิงอีก”
เทพบุปผาพี่น้องที่แสนดีของเจ้าก็พูดทำนองเดียวกัน แต่หันหลังกลับแป๊บเดียวก็หนีบเอวข้าทำเสียงอี๊อ๊าแล้ว…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจไปหนึ่งประโยค
…
เขตตงไห่
ตำหนักมังกรตงไห่ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา
ในห้องโถงด้านใน ตงฟางหว่านหรงที่มีใบหน้าสวยหยาดเยิ้มและสวมกระโปรงยาวสีเขียวยกถาดไม้เข้ามา หลังจากวางน้ำชาไว้ตรงหน้าน่าหลันเทียนลู่แล้ว ก็กล่าวอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ขอแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์ที่ปั้นกายเนื้อขึ้นมาใหม่”
น่าหลันเทียนลู่มีผมสีขาวเป็นดอกเลา ใบหน้าผ่ายผอม เขายิ้มและพยักหน้า
เขามองดูใบหน้ารูปไข่สวยหยาดเยิ้มของศิษย์รัก และถอนหายใจในบัดดล
“เดิมทีหลังจากข้าคิดหาวิธีฟื้นฟูกายเนื้อได้แล้ว ก็จะส่งเจ้าไปนิกายสวรรค์ ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นสัญญาหมั้นหมายกับเจ้าตลอดชีวิต ต่อให้อาจารย์จะล่วงเกินต่อนิกายสวรรค์ ก็ต้องให้เขาแต่งเจ้าให้ได้ แต่เมื่อครู่พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ส่งข่าวให้ข้า เรียกข้ากลับไปเมืองจิ้งซานโดยไว”
ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้ว
“เพราะเหตุใด”
น่าหลันเทียนลู่เผยสีหน้าแปลกๆ หลังจากเรียบเรียงถ้อยคำอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นมา
“สงครามในที่ราบกลางได้ยุติลงแล้ว สวี่ชีอันเลื่อนขั้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า เทพพ่อมดถ่ายทอดคำสั่งเรียกพ่อมดในใต้หล้ากลับเมืองจิ้งซาน เจ้าก็ต้องตามไปด้วย”
เขามองดูสีหน้างงงวยของตรงฟางหว่านหรง และกล่าวทีละคำ ทีละประโยค
“มหาเคราะห์กำลังจะมา”
…
อรัญตา
ใต้ต้นโพธิ์ พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มองดูพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่สวมชุดสีขาวราวหิมะ และมีผมดำราวกับน้ำตกก่อนกล่าวว่า
“ต่อไปข้ากับกว่างเสวียนจะประสานพลังช่วยเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บ ให้เจ้าฟื้นฟูตบะของเจ้า”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีถาม
“เจ้าเคยไปเจอเขาแล้วหรือ”
เจียหลัวซู่ตอบรับ “อืม”
“มหาเคราะห์ในยุคเทพมารใกล้มาถึงแล้ว พวกเราเตรียมตัวรับมือกับมหาเคราะห์ให้ดี อีกอย่างสวี่ชีอันเบียดตัวเข้าไปสู่ขั้นหนึ่ง กลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุค โอกาสที่เผ่าพันธุ์ปีศาจรอคอยมาถึงแล้ว อรัญตาจะเผชิญหน้ากับภัยสงครามก่อน”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีกับพระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่มีภาพลักษณ์เป็นภิกษุหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม
…
เมืองชิงโจว
บรรดาผู้ลี้ภัยที่สวมชุดขาดรุ่งริ่ง ผมยุ่งเป็นกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม ยืนเบียดเสียดอยู่ตรงประตูเมือง เพื่อฟังเจ้าพนักงานอธิบายเนื้อหาบนประกาศ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชิงโจวจะสร้างสมุดปกเหลืองขึ้นมาใหม่ ผู้ที่ลงทะเบียนในสมุดไม่พัวพันกับอดีตอีก…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ราชสำนักจะเปิดคลังเสบียง ผู้ใดก็ตามที่เข้าร่วมการสร้างชิงโจวขึ้นมาใหม่ ล้วนได้รับการจัดสรรที่นา ก่อนเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เพิงโจ๊กจะไม่ถูกถอนออก”
ใบหน้าสกปรกและเคยด้านชาเหล่านั้นเปล่งประกายความหวังขึ้นมาใหม่ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
กำแพงติดประกาศทั้งหมดในสิบสามโจวของต้าฟ่ง ล้วนติดประกาศเหมือนกัน
ความมืดมิดสิ้นสุดลง รุ่งอรุณเข้ามาเยือน
…
พระราชวัง
จักรพรรดินีสวมชุดคลุมมังกรที่มีความน่าเกรงขามไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ เดินขึ้นไปบนหอสูง ใบหน้าปะทะกับลมเบาๆ ในฤดูใบไม้ผลิ เย็นชุ่มชื่นแต่ไม่หนาวยะเยือก
นางยืนเอามือไพล่หลัง เชิดคางขาวผ่องขึ้น ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก
มีหัวใจเพื่อโลกหล้า มีชีวิตเพื่อปวงประชา
สร้างสันติสุขชั่วลูกชั่วหลาน!
…
หอเฮ่าชี่
‘ตึกตัก…’
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าอันเชื่องช้า สวี่ชีอันสวมชุดเครื่องแบบของฆ้องเงินเดินขึ้นชั้นเจ็ด มองเห็นห้องน้ำชาที่คุ้นเคย การจัดวางที่คุ้นเคย ด้านหลังโต๊ะน้ำชามีคนชุดสีเขียวที่คุ้นเคยนั่งขัดสมาธิอยู่
ชายที่มีผมจอนเป็นสีขาวเล็กน้อยเผยรอยยิ้มและกล่าวอย่างอบอุ่น
“มาแล้วหรือ”
น้ำตาพร่ามัวในดวงตา สวี่ชีอันจัดระเบียบเสื้อผ้าที่สวมใส่ เสร็จแล้วก็กุมมือโค้งตัวคารวะอย่างในตอนนั้น
“ข้าน้อยคารวะเว่ยกง!”
โลกใบนี้มีผู้คนมากมาย มีแค่ท่านยังเป็นดังเช่นวันวาน