ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 474 คืนหิมะตก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 474 คืนหิมะตก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น จูอู่เดินมาเปิดประตูอย่างไม่รีบร้อน เขาตาโตทันที “ลุงซิ่ง?”

ลุงซิ่งเบียดตัวเข้าไป พูดเสียงเบาว่า “ปิดประตู”

จูอู่รีบปิดประตู รีบเดินไปถามลุงซิ่งที่เดินเข้าไปด้านใน “ลุงซิ่ง เหตุใดท่านจึงมาเวลานี้”

“มีธุระ”

จูอู่ชะงักฝีเท้า รีบดึงลุงซิ่งไว้ “ลุงซิ่ง หากมีธุระ เราไปคุยกันในลานเถอะ ข้าคิดว่าในลานปลอดภัยกว่าในเรือน”

ครานั้นถูกคุณหนูลั่วแอบฟัง ทำเอาเขาลืมไม่ลงจริงๆ

ลุงซิ่งกระตุกมุมปาก น้ำเสียงเปลี่ยนไป “มีอุโมงค์อีกหรือ”

จูอู่ยิ้มหยัน “หากมีแต่ยังหาไม่เจอเล่า…”

ลุงซิ่งเงียบ กวาดตามองในลานก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนขั้นบันได

จูอู่นั่งลงข้างลุงซิ่ง ลุงซิ่งมาหายามนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

ลุงซิ่งพูดขึ้นสองสามคำด้วยน้ำเสียงสงบ “การสังหารจะเริ่มขึ้นแล้ว”

จูอู่สีหน้าจริงจังขึ้นมา “สังหาร?”

ลุงซิ่งพูดเสียงเบายิ่งกว่าเดิม “ข้ากลัวว่าเขียนจดหมายมาจะไม่ปลอดภัยก็เลยไม่ได้บอกเจ้า ข้าเข้าเมืองหลวงครั้งนี้พาองค์รักษ์จูเชวี่ยสิบกว่านายมาด้วย มีแผนจะลอบสังหารตัวประกันเหล่านั้น!”

จูอู่ม่านตาหดลง “ท่านหมายถึงท่านอ๋องน้อยเหล่านั้นหรือ”

ลุงซิ่งสายตาเยือกเย็น น้ำเสียงเย็นชากว่าเดิม “ติ้งตงอ๋องก่อกบฏ เหล่าอ๋องกำลังลังเล ทายาทของพวกเขาอยู่ในมือของจักรพรรดิ ตอนนี้ลูบหน้าปะจมูก ยังไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น หากว่าตัวประกันเหล่านี้ตายในตอนนี้ เกรงว่าผู้ที่กบฏคงไม่ได้มีแค่ติ้งตงอ๋องคนเดียวแล้ว…”

จูอู่ฟังจนตาเป็นประกาย พยักหน้าไม่หยุด

ลุงซิ่งยืดกายตรง มองไปทางใต้พลางพึมพำว่า “องครักษ์จูเชวี่ยเก็บตัวมานานเช่นนี้ ถึงเวลาต้องทำอะไรเพื่อจวนเจิ้นหนานอ๋องบ้างแล้ว”

“ลุงซิ่ง องครักษ์จูเชวี่ยที่ท่านพามาเล่า”

“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องสนใจ พวกเขาพรางตัวแยกย้ายกันไปอยู่คนละจุดแล้ว รอแค่ทุกอย่างพร้อมแล้วค่อยลงมือ”

“ท่านจัดแจงอย่างไร เรื่องนี้ให้หลานเป็นหัวหน้าเถอะ”

ลุงซิ่งส่ายศีรษะ “เจ้าไม่ต้องเข้ามาเกี่ยว”

จูอู่ร้อนรน “ลุงซิ่ง?”

ลุงซิ่งมองหลานชายแล้วถอนหายใจ “อู่หลัง เจ้าคือหนึ่งเดียวในบรรดาพวกเราที่สามารถมีตัวตนเปิดเผยได้ และยังเป็นผู้ดูแลบัญชีของคุณหนูลั่ว สถานะนี้สามารถเป็นเกราะป้องกันให้กับเจ้า การปฏิบัติงานคราวนี้หากโชคดีมีคนรอดออกมาได้ ข้าอยากให้เจ้าช่วยหาทางปกปิดให้พวกเขา ดีกว่าให้เจ้าออกหน้ามากนัก”

จูอู่ฟังเงียบๆ ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างยากลำบาก “ข้าจะฟังท่าน”

คืนวันนี้หิมะโปรยปรายอีกครั้ง ในตอนแรกหิมะตกลงมาเป็นเม็ดเล็กๆ แต่แล้วหิมะก็ค่อยๆ หนักขึ้น ในไม่ช้าก็ก่อตัวเป็นชั้นๆ บนพื้น

แทบจะไม่เห็นผู้คนบนท้องถนน ท้องฟ้าที่มืดลงทำให้แสงไฟหลายหมื่นดวงสว่างไสว

เมื่อค่ำคืนค่อยๆ ผ่านไป แสงไฟก็ดับลงทีละดวง ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งใช้ประโยชน์จากความมืดเคลื่อนตัวไปยังทิศทางของศาลาว่าการกรมพิธีการ

ในยามดึกนี้มีเพียงยามและเจ้าหน้าที่ที่ติดตามการลาดตระเวนตอนกลางคืนเท่านั้นที่จะออกมา แต่คืนที่หิมะตกเช่นนี้ ชวนให้ผู้คนรู้สึกเกียจคร้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากยามที่ต้องเดินซุกคอบนถนนและแบกฆ้องแล้วก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนอื่นเลย

ชายชุดดำกลุ่มนี้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยใช้บ้านเรือนและต้นไม้ปกคลุม รอยเท้าที่ทิ้งไว้บนหิมะก็ถูกหิมะใหม่ที่ตกลงมาปกคลุมอย่างรวดเร็ว

ลานหลังศาลาว่าการกรมพิธีการถูกใช้เป็นที่พำนักของเหล่าซื่อจื่อ ในยามนี้ แสงไฟส่องสว่าง มีผู้คนกำลังร้องเพลงและร่ายรำ

วันนี้คือวันเกิดของผิงซีอ๋องซื่อจื่อ ซื่อจื่อที่อยู่ภายใต้ชื่อของการคุ้มกันแต่แท้ที่จริงแล้วถูกกักบริเวณรู้สึกอึดอัดมาเป็นเวลานานจึงได้ถือโอกาสนี้ออกมาฉลองร่วมกัน

ในห้องโถงทั้งเสียงเพลงและเสียงร้องรำดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เหล่าซื่อจื่อเริ่มมีอาการมึนเมา

จอกสุราจอกหนึ่งร่วงลง จิ้งเป่ยอ๋องซื่อจื่อทุบโต๊ะพลางพูดว่า “ข้าทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว เราต้องถูกขังไว้จนถึงเมื่อไหร่กันแน่!”

ผิงซีอ๋องซื่อจื่อยิ้มขื่น “วันนี้มีสุราให้ดื่มก็ดื่มเสียให้พอเถอะ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์”

ซื่อจื่ออีกคนหนึ่งปริปาก “จะไม่คิดได้อย่างไร พวกเจ้าลองคิดถึงจุดจบของบุตรชายติ้งตงอ๋องสิ นอกจากจะถูกเฉือนเนื้อนับพันครั้งแล้ว ยังถูกตัดศีรษะส่งไปทางใต้…”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซื่อจื่อคนหนึ่งก็ปล่อยโฮ “ฮือๆๆ บุตรคนรองของติ้งตงอ๋องช่างน่าสงสารจริงๆ เราจะเป็นเหมือนเขาหรือไม่…”

เมื่อเห็นพวกเดียวกันต้องมาตายไป เหล่าซื่อจื่อจะไม่เห็นใจกันได้อย่างไร เมื่อคิดถึงชะตากรรมของบุตรชายคนรองติ้งตงอ๋อง เมื่อคิดว่าพวกเขาอาจจะลงเอยเช่นนี้ในภายหน้า ความกลัวก็เพิ่มทวีราวกับวัชพืชในฤดูใบไม้ผลิ

ผิงซีอ๋องซื่อจื่อตบปลอบซื่อจื่อที่ร้องไห้คนนั้นเบาๆ “อย่าคิดไปไกลเลย ติ้งตงอ๋องมีใจแปรพักตร์จึงทำร้ายบุตรชาย…”

ซื่อจื่อคนนั้นผลักผิงซีอ๋องซื่อจื่อออกแล้วร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม “หลอกตัวเอง หลอกตัวเองกันทั้งนั้น…”

อารมณ์ที่แหลกสลายปกคลุมทุกคนอย่างรวดเร็ว

บางคนเช็ดน้ำตา บางคนกระดกสุราอย่างบ้าคลั่ง บางคนนั่งเหม่อลอย…

สิ่งที่พวกเขามีเหนือกว่าบุตรชายคนรองของติ้งตงอ๋องก็คือสถานะซื่อจื่อ แต่ใครจะมั่นใจว่าจะได้กลับจวนแบบมีชีวิตกันเล่า

ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดจวนอ๋อง โดยปกติแล้วท่านพ่อย่อมให้ความสำคัญ แต่เมื่อสถานการณ์วุ่นวายมากพอ สิ่งล่อใจมากพอ ทุกอย่างก็พูดยากแล้ว

การบรรเลงเพลงที่น่าฟังและการร่ายรำที่สวยงามกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อในเวลานี้ ความหวาดกลัวอันยิ่งใหญ่เข้าครอบงำจิตใจของทุกคน

จิ้งเป่ยอ๋องซื่อจื่อตาแดง ตะคอกใส่นางระบำที่กำลังร่ายรำในห้องโถง “ไสหัวออกไปให้หมด!”

นักร้องเหล่านั้นชะงักครู่หนึ่งก่อนจะก้มศีรษะถอยออกไปทันที

“มาๆๆ ดื่มต่อ” จิ้งเป่ยอ๋องซื่อจื่อชูจอกให้ผิงซีอ๋องซื่อจื่อ “วันนี้คือวันเกิดของพี่สาม ไม่ง่ายที่ทุกคนจะได้ฉลองด้วยกัน อย่าพูดเรื่องน่าทุกข์ใจเหล่านั้นเลย…”

ผิงซีอ๋องซื่อจื่อชนจอกกับเขา ยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “ขอบคุณน้องชายแล้ว”

จู่ๆ ลมหนาวก็พัดเข้ามา

เหตุใดจึงหนาวเช่นนี้นะ

ผิงซีอ๋องซื่อจื่อที่เพิ่งดื่มสุรากลั่นลงไปเพิ่งผุดความคิดนี้ขึ้นก็เห็นแสงดาบวาบ จากนั้นตามมาด้วยเสียงร้องอนาถดังขึ้น

“ทหาร มีมือสังหาร…” ซื่อจื่อที่ร้องไห้จนตาแดงเมื่อครู่นี้ตะโกนเสียงดังลั่น ทว่าคำพูดของเขาก็พลันชะงักไป

เขาก้มหน้ามองดาบที่จมเข้าไปในทรวงอกอย่างยากลำบาก ความคิดหนึ่งผุดขึ้นก่อนที่ความเจ็บปวดและความมืดมิดจะกลืนกิน หลอกตัวเองกันทั้งนั้นจริงๆ ที่แท้ก็ไม่รอดตั้งแต่คืนนี้แล้ว…

ห้องรับรองตกอยู่ในความโกลาหล เสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่หยุด

กองกำลังทหารที่ได้ยินเสียงเอะอะพุ่งเข้ามาต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำที่ลอบสังหารเหล่าซื่อจื่อ

เพื่อรับรองความปลอดภัยของตัวประกันแล้ว รอบนอกที่ดูเหมือนเงียบสงบมีองครักษ์เฝ้าอยู่ถึงร้อยกว่านาย ถึงแม้กลุ่มคนชุดดำที่ลอบเข้ามาเหล่านี้ล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่า การสูญเสียจึงค่อยๆ เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

หลังจากได้รับการแจ้งเตือน ทหารองครักษ์ก็เร่งเดินทางมามากขึ้นกว่าเดิม

เหล่าคนชุดดำกลับไม่มีผู้ใดล่าถอยจนเมื่อเหลือเพียงสองคน หนึ่งในนั้นก็ปล่อยให้ตนเองถูกดาบฟาดฟัน เขาถือดาบเสือกเข้าใส่หัวใจของผิงซีอ๋องซื่อจื่อที่กำลังถูกองครักษ์จำนวนหนึ่งปกป้องและกำลังจะถอยหนี

“เจ้าสี่…” ชายชุดดำอีกคนหนึ่งตะโกนเรียก

ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าสี่ไม่ได้หันกลับมา เขาเอ่ยสองคำออกมาอย่างยากลำบาก “รีบไป!”

คมดาบฟาดฟันใส่ร่าง ทว่าเขากลับยังคงจับดาบที่แทงเข้าไปในหัวใจของผิงซีอ๋องซื่อจื่อแน่นไม่ยอมปล่อย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท