บทที่ 793 เยี่ยมเยียนสำนักพ่อมด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 793 เยี่ยมเยียนสำนักพ่อมด

วินาทีต่อมาเขาก็ขจัดอารมณ์หยุมหยิมออกไป ข้อมูลที่เว่ยเยวียนให้เขาแวบเข้ามาในสมอง

มารดาผู้ให้กำเนิดมีนามว่าจีไป๋ฉิง น้องสาวของเจ้าเมืองเฉียนหลง วิทยายุทธ์บำเพ็ญคู่แบ่งเป็นหลอมปราณขั้นแปดและสังเวยปราณขั้นเจ็ด หลังกลับจากเมืองหลวงมาที่เมืองเฉียนหลงเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนก็ถูกคุมตัวมาโดยตลอด ไม่ให้ออกจากที่พักสักย่างก้าว

เขาสูดหายใจลึกก้าวเข้าไปในลาน แล้วเคาะประตูที่ปิดแน่นเบาๆ

ในห้องเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงนุ่มนวลของสตรีที่ข่มความตื่นเต้นผสมความประหม่าเล็กน้อยดังออกมา

“ขะ เข้ามา…”

หลายวันมาแล้วที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนที่แห่งนี้ นางจึงเดาออกว่าใคร

สวี่ชีอันผลักประตูเข้าไปก็มองเห็นกำแพงที่แขวนด้วยภาพวาดหมึกเป็นอย่างแรก ชั้นวางสูงตั้งอยู่สองข้างม้วนภาพ บนชั้นจัดวางด้วยไม้กระถางเขียวชอุ่มตลอดปีสองกระถาง

ด้านซ้ายเป็นฉากกั้นสี่บานพับ ด้านหลังฉากกั้นเป็นอ่างอาบน้ำ

ม่านลูกปัดห้อยอยู่ด้านขวา หลังม่านมีโต๊ะกลมและเตียง สตรีที่อยู่ในชุดกระโปรงสีอ่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม ไม้จันทน์พริ้วไหวลอยล่อง

ใบหน้าของนางอวบอิ่ม มีใบหน้ารูปไข่ที่งามทุกอิริยาบถ คิ้วตาแสนประณีต ทว่าเกาะตัวด้วยความเศร้าเบาบาง ริมฝีปากอวบอิ่ม ผมถูกรวบขึ้นสูง

แม้นางจะอายุมาก แต่ความงามไม่เสื่อมคลาย สาวงามคุณภาพสูงที่หาได้ยากในช่วงวัยแรกรุ่น

หากข้าสืบทอดใบหน้าของนาง ก็คงไม่ต้องแก้ไขพันธุกรรมด้วยยาคืนชีพ…ขณะที่สวี่ชีอันมองสำรวจนางผ่านม่านลูกปัด หญิงหลังม่านก็กำลังมองเขาเช่นกัน ดวงตาวาวใส คล้ายกับมีหยาดน้ำตาประกายแสง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“หนิงเยี่ยนหรือ”

เสียงเรียกหนิงเยี่ยนนี้ช่างเป็นธรรมชาติและเข้ากันอย่างหาที่สุดไม่ได้ คล้ายกับแอบฝึกซ้อมนับครั้งไม่ถ้วน

…สวี่ชีอันเตรียมใจสักพักก็ยังมิอาจออกเสียงคำว่า ‘แม่’ ออกไปได้ แล้วทำเสียง ‘อืม’ โดยไม่แสดงอารมณ์อะไร

จีไป๋ฉิงผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยความหวัง

“มาคุยกันที่โต๊ะเถิด”

“ขอรับ!” สวี่ชีอันเลิกม่านออกและนั่งลงที่โต๊ะ

ระหว่างนี้หญิงสาวมองเขาอยู่ตลอด สายตามองหัวจรดเท้าตั้งแต่ใบหน้าถึงหน้าอกจรดลงเท้า คล้ายกับอยากจ้องมองเพื่อชดเชยที่พลาดไปเมื่อยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา

น่าเสียดายที่แม้นางจะมองอย่างตั้งใจและถี่ถ้วนก็มิอาจชดเชยเวลายี่สิบเอ็ดปีที่หายไปได้

ทั้งสองคนที่ควรจะสนิทสนมกันที่สุด แต่กลับกลายเป็นแปลกหน้าที่สุดนั่งอยู่ด้วยกัน บรรยากาศจึงตึงเครียดเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้

สองแม่ลูกนั่งอยู่สักพัก จีไป๋ฉิงก็ทอดถอนใจทำลายความเงียบ

“ยามที่คลอดเจ้าในตอนนั้น เจ้ายังอยู่ในผ้าอ้อม ยี่สิบเอ็ดปีพริบตาเดียวเจ้าก็โตเช่นนี้แล้ว”

แววตาของนางมีทั้งความยินดีและความเสียใจ ในยุคที่ให้ความสำคัญกับลูกชายคนโต ความรักที่พ่อแม่ทั่วไปมอบให้ลูกคนแรก ลูกคนถัดไปมิอาจเทียบได้

สวี่ชีอันครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย

“ในเมื่อตอนนั้นหนีไปที่เมืองหลวง เหตุใดถึงยังต้องกลับมาที่เมืองเฉียนหลงอีก”

แววตาของจีไป๋ฉิงมืดลง แล้วเอ่ยเสียงเบา

“สวี่ผิงเฟิงขโมยชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของต้าฟ่งไป ตราบใดที่ท่านโหราจารย์ฆ่าเจ้าก็จะคืนชะตาบ้านเมืองให้ต้าฟ่งได้ ข้ากลัวว่าท่านโหราจารย์จะตรวจพบตัวตนของข้า จึงไม่กล้าอยู่นาน ยิ่งไปกว่านี้ ข้าทำลายแผนการใหญ่ของสวี่ผิงเฟิงกับตระกูล พวกเขาต้องการเป้าหมายระบายโทสะอยู่เสมอ หากข้ากลับไป อาจจะบีบให้พวกเขาเสี่ยงอันตราย เมื่อถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่เจ้าที่จะอันตราย น้องรองและน้องสะใภ้อาจจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

บางทีท่านโหราจารย์อาจจะจับจ้องเจ้าที่แท่นแปดทิศมานานแล้ว…สวี่ชีอันพยักหน้า ทำเสียง ‘อืม’

จีไป๋ฉิงมองเขาพร้อมอ้ำอึ้งอยู่นาน ก่อนจะกำสองมือเงียบๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว

“จะ เจ้าเกลียดข้าหรือไม่”

สวี่ชีอันครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ย

“ข้าเกลียดเมืองเฉียนหลงและสวี่ผิงเฟิง แต่ข้าไม่เกลียดท่าน”

ประโยคนี้ทำให้จีไป๋ฉิงน้ำตาไหลรินอาบใบหน้า นางร้องไห้แต่กลับยิ้มอยู่ ราวกับความปรารถนาสิ้นสุด คลายปมในใจที่มีมาอย่างยาวนาน

“ยี่สิบเอ็ดปีมานี้ ไม่มีวันเวลาใดที่ข้าไม่คิดถึงเจ้า แต่ก็กลัวที่จะได้พบเจ้า กลัวว่าเจ้าจะเกลียดข้า”

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม

“หากข้าเกลียดท่านก็คงไม่ไว้ชีวิตสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวที่ยงโจว”

“ข้ารู้ ข้ารู้…” นางเอ่ยพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบเต็มหน้า

ไม่นานนักนางก็สงบอารมณ์ แล้วเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าพร้อมเอ่ย

“สายเลือดของเมืองเฉียนหลงในตอนนี้บาดเจ็บล้มตายและทุกข์ยาก กองทัพอวิ๋นโจวพังพินาศ สวี่ผิงเฟิงกับพี่ใหญ่ของข้าสร้างอำนาจขึ้นอีกได้ยาก ในที่สุดก็คุกคามความปลอดภัยของเจ้าไม่ได้ ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นโหรขั้นสอง ถูกเจ้าบีบให้จนมุม เจ้าต้องป้องกันไว้”

พูดตามความจริง นางไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของคนที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้

ทว่าระหว่างสามีกับลูกชาย นางเลือกลูกชายอย่างไม่ลังเล สามีแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี และตลอดหลายปีมานี้ก็ผิดหวังกับสวี่ผิงเฟิงตั้งนานแล้ว ถึงขั้นเกลียดเข้ากระดูกดำ

สวี่ชีอันเป็นลูกชายคนโตที่นางอุ้มท้องมาเก้าเดือน ไม่ต้องบอกว่าอะไรสำคัญกว่ากัน

ดังนั้นเมื่อกลัวว่าสวี่ผิงเฟิงจะแอบมาแก้แค้น จึงต้องเอ่ยปากเตือน

สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“เขาตายแล้ว เจ้าเมืองเฉียนหลงก็ตายแล้ว ข้าฆ่าเองกับมือ”

จีไป๋ฉิงจ้องเขาอย่างตะลึงด้วยสีหน้างุนงง ไม่นานนักก็เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

“เรื่องจริงหรือ”

สวี่ชีอันทำเสียง ‘อืม’ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็เห็นนางเปลี่ยนจากสีหน้างุนงงเป็นสับสน บอกได้ยากว่าอยู่ในอารมณ์แบบใด

นางเอ่ยถามเสียงเบาหลังจากผ่านไปนาน

“หยวนซวงกับหยวนไหวล่ะ”

“ถูกขังอยู่ที่สำนักโหราจารย์!” สวี่ชีอันเอ่ย

จากนั้นก็เงียบอีก จีไป๋ฉิงนั่งลงอย่างตะลึง

สวี่ชีอันถือโอกาสลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ย

“พรุ่งนี้ข้าจะพาท่านกลับจวน จากนี้ก็อยู่ที่เมืองหลวงเถอะ อาสะใภ้ไม่ได้เจอท่านมายี่สิบปีแล้ว”

เขาคิดว่าต้องให้พื้นที่มารดาผู้ให้กำเนิดอยู่ตามลำพังสักหน่อย ช่วงเวลาบอกลาและระลึกถึงอดีต

‘อยู่ที่เมืองหลวง’…ดวงตาขาดชีวิตชีวาของจีไป๋ฉิงประกายแสงสว่างในที่สุด

สวี่ชีอันออกจากเรือนเล็กและตรงไปที่คุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ภายในห้องสอบสวนที่มืดและชื้นมองเห็นหนานกงเชี่ยนโหรวใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและไม่พอใจ

ร่างมนุษย์เลือดเนื้อเหวอะหวะนอนอยู่ข้างเตาถ่าน

ภายในที่ทำการปกครองทุกที่ในเมืองหลวงถูกขังเต็มไปด้วยนายพลของกองทัพอวิ๋นโจว ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมจำนนจะปล่อยผ่านไปได้ ความจริงแม้จะเป็นพลทหารธรรมดาก็ต้องสักหน้าและเนรเทศ

“จับตาดูแม่ของข้า อย่าให้นางทำเรื่องโง่ๆ พรุ่งนี้ข้าจะมารับนาง”

สวี่ชีอันมองสาวงามที่จากกันไปนานครึ่งปี

พูดตามความจริง เขาลืมหนานกงเชี่ยนโหรวไปแล้ว วิชาอำพรางความลับสวรรค์รับมือยากที่สุด มันเกี่ยวข้องกับเหตุต้นผลกรรมแต่กลับไม่เกี่ยวข้องกับชั้นยศเท่าไร

ยกตัวอย่างเช่น ซุนเสวียนจีปิดกั้นคนสัญจรคนหนึ่ง เช่นนั้นแม้สวี่ชีอันจะเป็นเทพยุทธ์ก็จำคนสัญจรผู้นี้ไม่ได้

เพราะเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนสัญจร ไม่ได้มีเหตุต้นผลกรรมใดๆ

สวี่ชีอันและหนานกงเชี่ยนโหรวมีความสัมพันธ์เป็นสหายข้าราชการธรรมดา เหตุต้นผลกรรมตื้นเกินไป ตรงข้ามกลับเป็นขุนนางเก่าเฉกเช่นซ่งถิงเฟิง เมื่อเห็นเครื่องมือทรมานที่หนานกงเชี่ยนโหรวคิดค้นขึ้นก็รู้สึกเสียวแปลบ

“นางจะตายไม่ตาย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า”

หนานกงเชี่ยนโหรวเย้ยหยัน

เขาต่างจากคนอื่น เมื่อพบกับการเติบโตของสวี่ชีอันและหลากหลายการกระทำอันรุ่งโรจน์ ความคิดก็ผันเปลี่ยนไปเอง

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่มีทางรู้สึกเกรงกลัวดุจเทิดทูนเทพเจ้ากับฆ้องเงินตัวเล็กผู้นี้ภายในเวลาอันสั้น

สวี่ชีอันคิดถึงหนานกงเชี่ยนโหรวที่มักจะถากถางตนในช่วงแรกและโอ้อวดโดยอาศัยพลังบำเพ็ญของขั้นสี่ จึงเอ่ยขึ้น

“หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง ข้าจะส่งเจ้าไปรับแขกที่สำนักสังคีต เว่ยกงก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

หนานกงเชี่ยนโหรวเปลี่ยนสีหน้า ทำเสียงฮึดฮัด

สวี่ชีอันเดินออกจากคุก หันกลับไปนั่งที่ห้องชุนเฟิงสักพักหนึ่ง ดื่มชากับหลี่อวี้ชุน แล้วไปหาซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวต่อเพื่อนัดพวกเขาไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกาในวันพรุ่งนี้

ท้องฟ้าสีคราม เมฆมงคลดูลอยล่องอย่างเชื่องช้า แต่ความจริงกลับฉับไว ไม่นานนักก็รีบกลับเมืองจิ้งซานในที่สุด

สายตาของน่าหลันเทียนลู่ทอดมองจิ้งซานอันเปล่าเปลี่ยวอยู่ห่างไกล แล้วถอนใจเอ่ย

“จิ้งซานจัดเป็นอันดับแปดถ้ำสวรรค์แดนสุขาวดีของจิ่วโจว ผู้มากพรสวรรค์ที่เกิดในสภาพแวดล้อมล้ำเลิศ ภูมิลักษณ์แฝงด้วยจิตวิญญาณ ก่อนจะออกรบด่านซานไห่ตอนนั้น ภูเขาลูกนี้เขียวชอุ่ม สัตว์ปีกวิญญาณและอสูรเหินเวหา หรือโสมหยกร้อยปีก็มีครบครัน คาดไม่ถึงว่าหวนกลับบ้านเกิดเมืองนอน จะกลายเป็นเช่นนี้แล้ว”

พลังวิญญาณที่จิ้งซานถูกซ่าหลุนอากู่พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ดูดจนสะอาดในตอนนั้น เดิมทีปลุกเสกร่างของเจินเต๋อเพื่อช่วยเขาฆ่าเว่ยเยวียน

ใครจะคิดว่าเว่ยเยวียนจะเรียกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำลายไม้ตาย

นกทะเลโบยบินอยู่ห่างไกล ไถลตัวติดกับผิวน้ำ ดิ่งหัวลงในบางครั้งเพื่อจับเหยื่อในน้ำ

ตงฟางหว่านหรงทอดมองผิวน้ำที่ประกายแสงวิบวับ แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ

“มีปราณชีวิตอยู่ในทะเลหรือ”

ครั้งล่าสุดที่นางมายังเมืองจิ้งซานก็รับหน้าที่ไปดินแดนประจิมทิศต้อนรับน่าหลันเทียนลู่เจ้าแห่งวัสสานกลับ

ตงฟางหว่านหรงจำได้อย่างแม่นยำว่า ตอนนั้นใกล้ชายฝั่งทะเลเงียบสงัด ในทะเลไร้ปลาและกุ้ง ปราศจากนกโบยบินในท้องนภา

น่าหลันเทียนลู่ได้ยินก็ปรายตามองผิวน้ำ

ไม่นานนักเขาก็ร่อนลงจากเมฆมงคล แล้วพาศิษย์น้องไปที่หน้าผาริมทะเล

ซ่าหลุนอากู่ในชุดคลุมยาวผ้าป่านเรียบง่าย เคราขาวบดบังครึ่งใบหน้า รออยู่นานก่อนจะยิ้มกริ่มพร้อมเอ่ย

“เมืองจิ้งซานมีเจ้าของแล้ว”

น่าหลันเทียนลู่เคยเป็นเจ้าเมืองจิ้งซานมาก่อน

“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่พบกันอีกแล้วขอรับ!”

น่าหลันเทียนลู่คารวะ จากนั้นก็ตรงเข้าประเด็น

“เทพพ่อมดได้คำนวณเวลาเฉพาะของภัยพิบัติครั้งใหญ่หรือไม่ รวมถึงสถานการณ์อย่างละเอียดด้วย”

ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้าช้าๆ ทอดมองแท่นบูชาสูงตระหง่านไกลออกไป รวมถึงชายหนุ่มที่สวมมงกุฎหนามบนแท่นบูชา

“วันที่เทพพ่อมดทำลายผนึก ย่อมได้รู้ทุกสิ่ง”

น่าหลันเทียนลู่ไม่ได้ถามอีก แล้วเอ่ยอย่างปลงตก

“สวี่ชีอันเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว นับแต่อู่จงก็ไม่เคยมีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปรากฏตัวในที่ราบลุ่มภาคกลางมานานกว่าห้าร้อยปี”

ตงฟางหว่านหรงที่เงียบขรึมและนอบน้อมอยู่บนขอบได้ยินก็ตกอยู่ในภวังค์โดยไม่รู้ตัว

ครั้งแรกที่นางรู้จักสวี่ชีอัน น้องสาวตงฟางหว่านชิงเกิดปะทะกับเขาระหว่างทางที่มุ่งไปเหลยโจว

ตอนนั้นร่างของสวี่ชีอันมีผนึก แม้แต่หว่านชิงก็เอาชนะไม่ได้

เวลาสี่เดือนเขากลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง

ตงฟางหว่านหรงรู้สึกเหมือนประจักษ์พยานประวัติศาสตร์ ในใจแปรปรวนและคร่ำครวญโดยไม่รู้ตัว

ซ่าหลุนอากู่เอ่ย

“หากข้าดูไม่ผิด สวี่ชีอันมีแนวโน้มว่าจะเป็นคนแห่งโชคชะตาเหมือนกับปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ชายชรามีชีวิตนานหลายพันปี ไม่เคยเข้าใจที่ราบลุ่มภาคกลาง คนแห่งโชคชะตาในยุคปัจจุบันมีทั้งหมดสามคน”

น่าหลันเทียนลู่เอ่ย

“สามคนไหน”

“เว่ยเยวียน สวี่ผิงเฟิง และสวี่ชีอัน” ซ่าหลุนอากู่เอ่ย “ในบรรดาสามคนนี้ มีเพียงสวี่ชีอันที่ก้าวถึงจุดนี้ หากเขาเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเมื่อครึ่งปีก่อน สำนักพ่อมดส่วนใหญ่คงถูกลบชื่อออกจากจิ่วโจวตั้งแต่ที่เมืองจิ้งซานครั้งนั้นแล้ว”

น่าหลันเทียนลู่ไม่ได้โต้แย้ง

ตงฟางหว่านหรงตกตะลึง แล้วทำใจกล้าเอ่ย

“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแกร่งกล้าเช่นนี้จริงหรือ”

นางแทบไม่อยากเชื่อ สำนักพ่อมดพ่ายแพ้ยุทธการด่านซานไห่ในตอนนั้น ยอดฝีมือทยอยกันปรากฏตัวไม่ดุเดือดเท่าสำนักพุทธแดนประจิม

ทว่าสำนักพ่อมดไม่อ่อนแอ มีสองปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณขั้นสาม ยังมีพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหนึ่งเฉกเช่นกัน

บัดนี้นางมองเห็นท่านอาจารย์น่าหลันเทียนลู่ข้างกายเปลี่ยนสีหน้าทันใด แล้วหันหน้ามองฟ้า

ตงฟางหว่านหรงมองตามสายตาเขาก็เห็นร่างหนึ่งย่ำความว่างเปล่าเดินเข้ามาทีละก้าว คล้ายกับเดินอยู่บนบันไดหิน

ชุดคลุมดำปักลายเมฆพริ้วไหวท่ามกลางสายลม รวบผมด้วยมงกุฎหยก สวมรองเท้าลายเมฆ ใบหน้ารูปงาม คล้ายกับคุณชายสูงศักดิ์และเทพเซียนจุติ

‘สวี่ชีอัน’…ม่านตาของตงฟางหว่านหรงหดตัว

เพิ่งจะพูดถึงคนผู้นี้ เขาก็ปรากฏกาย

ซ่าหลุนอากู่หรี่ตา แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

น้ำเสียงของเขาราบเรียบ เสียงก็ไม่ดัง ทว่าสวี่ชีอันที่ยืนอยู่บนฟากฟ้าห่างไกลกลับเหมือนได้ยินอย่างชัดเจน แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม

“ข้าได้ยินว่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งผลักทุกอิทธิพลใหญ่ออกไปได้ ดังนั้นจึงมาเพื่อฝึกมือ”

‘ขะ เขาจะพังเมืองจิ้งซานงั้นหรือ?!’ ตงฟางหว่านหรงหน้าซีดขาว โน้มตัวไปทางน่าหลันเทียนลู่โดยไม่รู้ตัว แต่กลับพบว่าสีหน้าของท่านอาจารย์จริงจังกว่าใคร ราวกับพบศัตรูตัวฉกาจ

สวี่ชีอันก้าวออกมาหนึ่งก้าว

‘วิ้ง!’

ศีรษะของเขาชนกำแพงอากาศ ในระยะร้อยลี้รอบเมืองจิ้งซานกำลังต่อต้านเขา ไม่ยอมให้เขาเข้าไป

ซ่าหลุนอากู่วางมือหนึ่งลงบนเอวและพลันดึงออกมา

‘ผัวะ!’

เงาดำสะบัดทั่วฟ้า แล้วฟาดลงบนร่างสวี่ชีอันอย่างแรงจนชุดคลุมดำขาดสะบั้น เผยให้เห็นกายเนื้อที่ขาวผ่องไร้ตำหนิ

“ชิ เจ็บแฮะ”

สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าฟาดต่อสิ ดูสิว่าแส้ทำลายเทพจะดึงจิตเดิมของข้าออกมาได้หรือไม่”

แก่นแท้ ลมปราณ และจิตของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งรวมเป็นหนึ่ง ไม่มีจุดอ่อนมานานแล้ว พ่อมดและลัทธิเต๋าที่ชำนาญในเขตแดนจิตเดิมก็อย่าคิดจะเล่นกับจิตเดิมของเขา

เขาต้านสิ่งกีดขวางไร้รูปด้วยมือเดียว กล้ามเนื้อแขนพลันขยายตัวจนแขนเสื้อปริแตก

‘ตูม!’ พลังปราณเอ่อล้นออกมาและทำลาย ‘พลัง’ ที่เกาะตัวในใต้หล้า ความว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยงจากพลังรุนแรงของจอมยุทธ์คล้ายกับกระจก

ลมกระโชกจากพลังปราณพัดผ่านจิ้งซานและพัดตรงไปที่ตงฟางหว่านหรง ภูเขาทั้งลูกสั่นไหวอย่างรุนแรง ภูเขาแยกแตก เศษหินกลิ้งไหล

‘ผัวะ!’

ทันใดนั้นชุดคลุมบนหน้าอกของซ่าหลุนอากู่ก็ขาดออก ปรากฏให้เห็นรอยแส้ ดวงตาของเขางุนงงเล็กน้อย คล้ายกับสติหลุดลอยในชั่วพริบตา

จิตเดิมสั่นไหว

สวี่ชีอันดิ่งลง ราวกับอุกกาบาตพุ่งชนเมืองจิ้งซาน

ในระหว่างนั้นหน้าอกพลันเว้าลึก เผยให้เห็นบาดแผลเกินจินตนาการ ทว่าก็ฟื้นตัวในชั่วพริบตา

นี่คือวิชาสาปสังหารที่ซ่าหลุนอากู่ร่ายใส่เขา

ในฐานะพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหนึ่งผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่มีปัญหาในการทำร้ายจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน ทว่าด้วยความทรหดอันน่าสะพรึงของจอมยุทธ์ บาดแผลนี้มีก็เหมือนไม่มี

ซ่าหลุนอากู่ยื่นแขนขวาออกมาและกันไว้ตรงหน้า ชั่วพริบตานี้ราวกับเขาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิ้งซานใต้ฝ่าเท้า ไร้ช่องโหว่และคงกระพันขึ้น

นี่เป็นหนึ่งในสองความสามารถเด่นของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่

หนึ่ง ยืมพลังฟ้าดิน

รับพลังจากฟ้าดินมาเป็นของตนและปลดล็อกสถานะที่แตกต่างตามสภาพของฟ้าดิน

อาศัยการกวาดล้างของภูเขาไฟปะทุดุจไฟ อาศัยความเร็วของพายุฝนฟ้าคะนองประหนึ่งอสนีบาต อาศัยความหนักแน่นของภูมิลักษณ์ภูเขาดั่งภูผา

‘ตูม!’

สวี่ชีอันไม่หยุดชะงัก พุ่งชนเข้าจิ้งซานอย่างแรง ชนยอดเขาทรุดไปครึ่งหนึ่ง ภูเขาถล่มพร้อมกับก้อนดินและมวลหินตกลงมาช้าๆ

ร่างเงาในเมืองจิ้งซานลอยขึ้นฟ้าทีละร่าง พ่อมดหนีออกมาอย่างบ้าคลั่งทีละคน หลีกเลี่ยงไปให้ไกล

พวกเขามองจิ้งซานทรุดตัวลงอย่างสะพรึงกลัว

ซ่าหลุนอากู่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อภูเขาที่เคยอยู่ใต้ฝ่าเท้าทรุดตัว เขาก็ลอยขึ้นฟ้า

อาศัยภูมิลักษณ์ภูเขาตั้งรับ ชั่วพริบตาที่ป้องกันสวี่ชีอันเอาไว้ไม่ได้ เขาจึงใช้ความสามารถที่สองของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ หลอมรวมกับ ‘ฟ้าดิน’ ทิ้งภาพสะท้อนไว้ที่เดิม

นี่เป็นวิธีรักษาชีวิตชั้นยอดของโลก

จุดอ่อนคือจำกัดจำนวนการใช้ มิอาจใช้ได้ตลอดเวลา ช่วงเวลาระหว่างที่ใช้แต่ละครั้งคือสามลมหายใจ มากที่สุดสิบห้าลมหายใจ ร่างแท้ก็จะกลับไปที่ภาพสะท้อน เวลานี้ก็รอรับชะตากรรมจากจอมยุทธ์ได้เลย

‘พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ประโยชน์จากเขาแม้แต่น้อย’…ตงฟางหว่านหรงเหินฟ้าซ่อนตัวอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นฉากนี้ก็ตื่นตระหนกในใจ

‘ตูมตาม!’

แท่นบูชาสั่นสะเทือน ปราณสีดำมหาศาลพุ่งออกมาจากในรูปปั้นหินสวมมงกุฎหนาม รวมตัวกับท้องฟ้ากลายเป็นใบหน้าคนเลือนราง จ้องสวี่ชีอันอย่างเยือกเย็น

เหล่าพ่อมดที่อยู่ไกลออกไป ก้มบูชาบนฟ้าพร้อมตะโกน ‘พ่อมดโปรดสังหารศัตรู’

กร๊อบแกร๊บ…สวี่ชีอันหมุนคอ เสียงดังออกมาจากกระดูก เขาแหงนหน้ามองเทพพ่อมดบนฟ้า แล้วเอ่ยพร้อมยิ้มแสยะ

“ลองเข้ามาฆ่าข้าดูสิ”

เทพพ่อมดเพียงจ้องลงมาอย่างเยือกเย็น

ซ่าหลุนอากู่ถอนใจ

“พูดมาเถอะ มาทำอะไร”

“มาเก็บดอกเบี้ยเล็กน้อย และถือโอกาสมาถามข้อมูลบางอย่าง” สวี่ชีอันไม่ได้ลงมืออีก แล้วยืนอยู่ท่ามกลางโขดหิน “ภัยพิบัติครั้งใหญ่คืออะไร สำนักพ่อมดเช่นพวกเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับผู้เฝ้าประตูบ้าง”

ซ่าหลุนอากู่ชี้ใบหน้าคนบนฟ้า แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“หากเป็นสองคำถามนี้ เจ้าก็ไปถามพระองค์เองเสียสิ หากเจ้าอยากได้ข้อมูล เช่นนั้นที่นี่ก็มีอยู่หนึ่งคนที่เจรจาได้”

สวี่ชีอันไม่เอื้อนเอ่ย

ซ่าหลุนอากู่เอ่ย

“ในสมัยโบราณ มีเทพมารตนหนึ่งนามว่า ‘ต้าฮวง’ พระองค์อยู่ระดับเดียวกับเทพเจ้ากู่และรอดชีวิตมาจากความโกลาหลครั้งนั้น ทว่ามีปัญหาในการสะสมพลังปราณ จึงปลอมตัวเป็นทายาทของเทพมารและซ่อนตัวอยู่ต่างแดน”

“ไป๋ตี้ก็คือต้าฮวงงั้นหรือ” สวี่ชีอันเลิกคิ้ว

เดิมที ‘ต้าฮวง’ ไม่ใช่ทายาทเทพมาร แต่เป็นเทพมารตัวจริงเสียงจริง ซึ่งเคยอยู่ระดับเดียวกับเทพเจ้ากู่งั้นหรือ มิน่าร่างกายเขาถึงน่ากลัวเช่นนี้ อยู่เหนือกว่าขั้นหนึ่ง…มิน่าเล่าถึงได้สนใจคนเฝ้าประตู สนใจสิ่งที่เรียกว่าภัยพิบัติใหญ่ เพราะเขาเป็นผู้มีส่วนร่วมในความโกลาหลครั้งใหญ่ในตอนนั้น…สวี่ชีอันเข้าใจปัญหามากมายในพริบตา

“ข้อมูลนี้มีค่าไม่พอ”

สวี่ชีอันยืดเส้นยืดสายพร้อมเอ่ย

“ต่อ!”

มงกุฎหนามบนศีรษะของรูปปั้นเทพพ่อมดลอยขึ้นในทันใด กลายเป็นแสงสีดำตกลงบนเหนือศีรษะของซ่าหลุนอากู่

ทันใดนั้นพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่มือถือแส้ทำลายเทพและสวมมงกุฎหนามก็ราวกับกลายเป็นเจ้าโลกใบนี้

เขาหัวเราะหึๆ

“เอาสิ! ไม่ได้ดูดจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมานานหลายปีแล้ว จะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติของจักรพรรดิเกาจู่ที่ถูกข้าดูดจนวิ่งเต้นไปทั่วทางตะวันออกเฉียงเหนือในตอนนั้น”

สวี่ชีอันหัวเราะในลำคอพร้อมหยิบมงกุฎขงจื๊อออกมาสวม มือซ้ายถือดาบสยบดินแดน มือขวาจับดาบไท่ผิง

แล้วเอ่ยพร้อมหัวเราะหึๆ

“ใครหนีคนนั้นเป็นหลานชาย!”

วันต่อมา

สวี่ชีอัน ซ่งถิงเฟิง และจูกว่างเสี้ยวออกจากหอคณิกาท่ามกลางหมอกยามเช้าด้วยความสดชื่น สวี่ชีอันตีโค้งขึ้นขี่แม่ม้าน้อยอย่างสวยงาม และออกเดินทางไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพร้อมกับทั้งสอง

เมื่อคืนค้างแรมที่หอคณิกา ฟังบรรเลงเพลง ดื่มสุรา และดูการแสดง ช่วงเวลาพักผ่อนที่ไม่ค่อยจะมี

ตอนนี้เขาไม่แตะต้องหญิงสาวธรรมดาแล้ว กลัวสาวงามจะทำงานหนัก

จูกว่างเสี้ยวเรียกเก็บเงิน

ซ่งถิงเฟิงตำหนิ

“ราชสำนักไม่ได้จ่ายเงินเดือนมาสองเดือนแล้ว หนิงเยี่ยน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อ ครั้งหน้าต้องให้เจ้าเลี้ยงแล้ว”

สวี่ชีอันเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“อ้อ เช่นนั้นครั้งหน้าก็ไม่ต้องไปหอคณิกาแล้ว”

“…” ซ่งถิงเฟิงด่าทอ

“จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งผู้ผ่าเผย ยังจะตระหนี่เช่นนี้อีก”

หากเสียเงินที่หอคณิกาก็ไม่หลงเหลือความอภิรมย์แล้วสิ…สวี่ชีอันไม่ตอบเขา ในหัวนึกย้อนถึงการต่อสู้กับซ่าหลุนอากู่เมื่อวานนี้

“เฮ้อ การแยกผลแพ้ชนะระหว่างขั้นหนึ่งยากจริงด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นหรือตาย โชคดีที่เมื่อวานคนที่เป็นหลานชายไม่ใช่ข้า” เขาพึมพำในใจ ยกมือเช็ดหน้า แล้วเปลี่ยนใบหน้าของสวี่เอ้อร์หลางกลับมา

ตัวตนและสถานะของเขาในตอนนี้ไม่เหมาะจะไปที่หอคณิกาอีกเป็นแน่

ครั้งหน้าปลอมเป็นหน้าอารองไปหอคณิกาดีกว่า

เมื่อเข้ามาที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาตรงไปที่เรือนหลังเล็กก็มองเห็นมารดาผู้ให้กำเนิด

จีไป๋ฉิงเห็นเขามาตามที่สัญญาไว้ จึงยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ข้าไม่ได้พบเสี่ยวหรูมายี่สิบปีแล้ว ไม่รู้ว่านางจะยังจำพี่สะใภ้ใหญ่คนนี้ได้หรือไม่”

ความเศร้าเบาบางบนหว่างคิ้วของนางจางหาย คล้ายกับบอกลาอดีตและได้รับชีวิตใหม่

…………………………………………..

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท