บทที่ 794 ป้ามู่

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 794 ป้ามู่

สำนักอวิ๋นลู่ เขาชิงอวิ๋น

ภายในสำนักอวิ๋นลู่ที่ปกคลุมไปด้วยร่างแห่งปราณเที่ยงธรรม หนังตาของหยางกงสั่นเล็กน้อยก่อนจะเบิ่งตา

สิ่งที่เขาสัมผัสได้เป็นอย่างแรกคือความเจ็บปวดที่เจาะกระดูกเข้าถึงหัวใจ กล้ามเนื้อทั้งตัวฉีกขาด เส้นลมปราณแตกสลาย ตามด้วยเพลิงลุกแผดเผาที่ส่วนปอด ปากแห้งลิ้นเหือด การหายใจแต่ละครั้งล้วนส่งผลถึงอาการบาดเจ็บ

ทว่า สภาพจิตใจของเขายังดีมาก ความคิดทะลุปรุโปร่ง แสงใสสว่างอันเบาบางจนไม่อาจสังเกตเห็นแฝงเร้นอยู่ในเลือดเนื้อทุกกระเบียดนิ้วและทุกเนื้อเยื่อของเขา

การขยับมือเท้ากินแรงเล็กน้อย หยางกงเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นหลังจากพยายามลุกขึ้นนั่งแต่ไร้ผลว่า

“ชาจงมา”

กาน้ำชาบนโต๊ะลอยมายังมุมปากบนของเขาด้วยตัวมันเอง จากนั้นก็เอียงปากของกาลง และรินชาลงด้วยความเร็วที่ไม่ช้าไม่เร็ว

‘อึก อึก’ …หยางกงอ้าปากรับน้ำชา และดื่มจนอิ่มไปครึ่ง อาการไฟลุกแผดเผาที่ส่วนปอดและปากแห้งลิ้นเหือดจึงทุเลาลงไปมาก

หลังจากบรรเทาความกระหาย หยางกงสังเกตรอบห้องอย่างละเอียด พบว่านี่คือที่อยู่ในสำนักศึกษาของตนเอง

‘ข้าถูกพาตัวกลับมาที่สำนักศึกษาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่ายงโจวถูกปกป้องไว้ได้หรือไม่ บรรดานายทหารที่ติดตามข้ากลับมายังมีชีวิตอยู่หลายคน’…พอหยางกงนึกถึงสถานการณ์รบ ภายในหัวใจก็รู้สึกหนักหน่วงขึ้นมา

ความประหลาดใจที่รอดจากเหตุการณ์อันเลวร้ายจึงลดลงตามด้วยเหตุนี้

‘ข้าสลบไปนานเท่าไรแล้ว การศึกชายแดนตอนเหนือ ด้วยกำลังทหารในปัจจุบันของยงโจว หากรักษาพื้นที่อย่างสุดชีวิต คงไม่มีคนรอดมาได้เท่าไรนัก’…หยางกงยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ ฝืนขยับตัวอยู่ครู่หนึ่งอย่างสุดชีวิต จนในที่สุดก็ลุกขึ้นมานั่งได้

เขาพ่นลมหายใจออก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า

“แต่งตัวเสร็จสรรพ”

เสื้อคลุมยาวที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าลอยมาสวมแทนชุดนักปราชญ์ที่เดิมทีสวมแล้วค่อนข้างยุ่งยากในชั่วพริบตา ผมม้วนขึ้นด้วยตัวมันเอง ปิ่นหยกลอยมาเสียบเข้าที่มวยผม

จากนั้น หยางกงก็เอ่ยรำพันว่า

“ที่ที่ข้าอยู่คือเรือนไผ่หลังภูเขา”

ทิวทัศน์ตรงหน้าของหยางกงคือหมู่มวลดอกไม้ เขารับรู้ว่าตนเองกำลังเคลื่อนย้ายพื้นที่ เขาเห็นเรือนไผ่ที่เจ้าสำนักศึกษาจ้าวปกป้องค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในสายตา ขณะที่กำลังจะไปถึง ทันใดนั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างใบหูว่า

“ไม่ เจ้าไม่ได้อยู่ที่เรือนไผ่ เจ้าอยู่ที่ข้า”

เรือนไผ่ที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมเลือนรางลง อีกฉากหนึ่งปรากฏตรงหน้าหยางกง ภายในห้องน้ำชาที่สวยงามและสว่างโล่ง หลี่มู่ไป๋ในชุดหลวมแขนเสื้อใหญ่กำลังดื่มชาประชันหมากกับเฉินไท่ ริมโต๊ะซึ่งห่างจากทั้งสองไม่ไกลนัก จางเซิ่นกำลังยืนชี้แนะสวี่ซินเหนียนให้ควบคุมความสามารถระดับกำเนิดปราชญ์อย่างล้ำลึกอยู่ข้างโต๊ะ

ฉากนี้ทั้งเอ้อระเหยและกลมกลืน จนทำให้หยางกงอึ้งคาที่และสงสัยว่าตนเองเกิดภาพหลอน

จางเซิ่นแหงนศีรษะมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า

“เจ้าสำนักศึกษาเกณฑ์แรงงานและทรัพย์สินให้ทางราชการอยู่ที่สำนักราชเลขาธิการ ไม่ได้อยู่ที่สำนักศึกษา”

เมื่อเอ่ยจบก็สอนนักเรียนที่ภาคภูมิต่อไป

“พวกเจ้า” …หยางกงสูดหายใจลึก ข่มความรู้สึกไว้ เอ่ยหยั่งเชิงว่า “ข้าสลบไปนานเท่าใดแล้ว ขณะนี้สถานการณ์รบเป็นเช่นไร รักษายงโจวไว้ได้หรือไม่ ยุทธการหนีเคราะห์กรรมชายแดนตอนเหนือเป็นอย่างไรบ้าง”

“เจ้าสลบไปครึ่งเดือนแล้ว” หลี่มู่ไป๋เอ่ยโดยไม่ได้แหงนศีรษะขณะหนีบตัวหมากหลังเสียงปึงดับลง

“กบฏอวิ๋นโจวสงบลงแล้ว สวี่ผิงเฟิงตายแล้ว ชีก่วงป๋อและทหารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องจะถูกตัดศีรษะต่อหน้ามวลชนในอีกสามวันให้หลัง” เฉินไท่เอ่ยอย่างเสียดายว่า “ท่านเจ้าสำนักศึกษาให้ข้าเฝ้าอยู่ที่สำนักศึกษา คุณงามความดีทางการทหารสักนิดก็ฉวยติดมือมาไม่ได้”

สวี่เออร์หลางเงยศีรษะมองฆราวาสจื่อหยาง และเอ่ยเสริมว่า

“พี่ใหญ่ข้า เลื่อนสู่ขั้นหนึ่งแล้ว”

เสียง ‘หึ่งๆ ’ ดังขึ้นในสมองของหยางกง แม้จะเห็นท่าทางที่เอ้อระเหยของพวกเขา และมีการคาดคะเนในความคิดอย่างคลุมเครือ แต่หยางกงหลุดจากความคิดหัวโบราณ เดาเพียงว่ายุทธการหนีเคราะห์กรรมชายแดนตอนเหนือสำเร็จอย่างราบรื่น ต้าฟ่งดึงความได้เปรียบกลับมาได้ อยู่ระหว่างคุมเชิงกับกองทัพกบฏอวิ๋นโจว

คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะจบสิ้นแล้ว

นี่ก็เหมือนคนหนุ่มที่ไม่มีอะไรสักอย่าง เดิมคิดเพียงจะแต่งภรรยาสักคน ผลสุดท้ายได้แต่งงานในวันเดียวกัน บ้านหรูพร้อม รถม้าพร้อม ภรรยาสุดที่รักพร้อม กระทั่งลูกก็พร้อม ทั้งๆ ที่ไม่ได้เพียบพร้อมมากนัก

ในความจริงต่างๆ นานา สิ่งที่ทำให้หยางกงยากจะเชื่อเป็นอันที่สุดก็คือ สวี่ชีอันกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว

จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง

หากจำไม่ผิด สวี่หนิงเยี่ยนเป็นขั้นสองที่เลื่อนขั้นหลังจากถูกท่านโหราจารย์ผนึก นานเท่าไรหรือ นี่นานเท่าใดจึงกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง

แต่หากสวี่ชีอันเลื่อนขึ้นขั้นหนึ่งจริง และร่วมมือกับเซียนครองพิภพอย่างราชครู อาจจะสยบการกบฏของอวิ๋นโจวในระยะเวลาอันสั้นได้จริงๆ

หลี่มู่ไป๋เอ่ยยิ้มว่า

“การที่พวกเราสามารถเล่นหมากอย่างสบายใจได้ที่นี่ ก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด”

หยางกงพ่นลมหายใจ และฝืนใจซึมรับข่าวที่เขย่าหัวใจเหล่านี้

เฉินไท่มองหยางกงอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเอ่ยว่า

“ร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมเติมเต็มร่าง ชะล้างกายหยาบ เจ้ากำลังย่างเข้าขั้นสาม”

เอ่ยจบ เขาและหลี่มู่ไป๋รวมถึงจางเซิ่นต่างอิจฉา

หยางกงยิ้มเอ่ยว่า

“นี่เป็นของตอบแทนแก่ข้าจากราชสำนัก บรรดานายทหารและประชาชน”

ตั้งแต่อวิ๋นโจวก่อเหตุ หยางกงยืนอยู่ในแนวหน้าของการต่อต้านกองทัพกบฏ ทุ่มเทความคิดและจิตใจตั้งแต่ชิงโจวจวบจนยงโจวจนแทบสิ้นชีพในการรบ

ในที่สุดเขาก็เผชิญการทะลวงด้วยการพึ่งพาสิ่งนี้ และสัมผัสกับธรณีประตูของขั้นสาม

เฉินไท่เอ่ยอย่างอิจฉาตาร้อนว่า

“ท่านเจ้าสำนักศึกษาบอกว่า ฝ่าบาทวางแผนเลื่อนเจ้าเป็นข้าหลวงเมืองจิงจ้าว รอมีพระราชโองการมา เอ่ยแล้วมิอาจคืนคำ เจ้าก็สามารถเลื่อนขึ้นระดับบรรลุธรรมได้ จางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋ฉกฉวยคุณงามความดีทางการทหารมาไม่น้อย ได้ผลประโยชน์เช่นเดียวกัน รอเพียงราชสำนักมอบตำแหน่งให้ ตบะจะต้องเลื่อนขึ้นไปอีกขั้น”

โชคดีที่หลังจากฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์ ราชสำนักไม่ได้ขัดแย้งกับปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่อีกแล้ว

แต่บัดนี้ที่ราบลุ่มภาคกลางผันผวน ราชสำนักล้างไพ่ใหม่ วงการข้าราชการไม่ต่อต้านสำนักอวิ๋นลู่อีกแล้ว ถึงขั้นมีท่าทีต้อนรับยินดี

อย่างไรเสียผลประโยชน์ทางชนชั้นก็ต้องอยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนตน มีชนชั้นก่อน แล้วค่อยมีส่วนตน หากไม่มีชนชั้น จะกล่าวถึงผลประโยชน์ส่วนตนได้เช่นไร

ในสายตาขององค์ชาย ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่สามารถสร้างเสถียรภาพให้การมีอยู่ของผลประโยชน์ทางชนชั้นได้

หยางกงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า

“เทียบกับสวี่หนิงเยี่ยนแล้ว นี่ไม่สำคัญอะไรเลย”

“สวี่หนิงเยี่ยนสมภาคภูมิที่เป็นนักเรียนของข้า ข้าสอนหนังสือคนมีการศึกษามายี่สิบปี ลูกศิษย์ลูกหาทั่วใต้หล้า มีเพียงสวี่หนิงเยี่ยนนักเรียนผู้นี้ที่ยิ่งกว่าชอบด้วยซ้ำไป”

หลี่มู่ไป๋พ่นชาออกมาและเอ่ยว่า

“หน้าด้านไร้ยางอาย”

เฉินไท่เอ่ยเยาะอย่างเย็นชาว่า

“อ่านตำราปราชญ์มาตลอดชีวิต แต่อ่านออกเพียง ‘หน้าไร้ยางอาย’ สี่คำหรือ”

“น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสให้เจ้าบันทึกวรยุทธ์ การสู้รบจริงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฝึกฝนพลังระดับกำเนิดปราชญ์ให้ชำนาญ”

จางเซิ่นหันศีรษะถ่มปากขณะชี้แนะลูกศิษย์

“ถุย”

ตรงหน้าไม่ใช่ว่ามีโอกาสหรือ…สวี่ซินเหนียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า

“อาจารย์ บัดนี้ข้าทำธุระอยู่ที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ตอนที่เขียนเรียบเรียงประวัติศาสตร์ในอนาคต สามารถเขียนเพิ่มเติมเช่นนี้ได้ว่า ขณะพี่น้องสกุลสวี่ยังเยาว์วัยต่างก็นั่งลงกับพื้นเพื่อขอเรียนกับจางเซิ่น”

เมื่อสิ้นเสียง ภายในห้องน้ำชาก็เงียบสงัดลง

รีบ รีบออกไปดูเรื่องสนุกกัน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนตีกันอีกแล้ว

“ไปๆๆ ไปดูอะไรรื่นเริงกัน”

“หืม เจ้าสำนักศึกษาไม่อยู่ที่สำนักศึกษา พวกเขาจะไม่รื้อสำนักศึกษาหรือ”

ร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมที่ยอดภูเขาชิงหยุนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ปราณใสพุ่งขึ้นท้องฟ้า

นักเรียนแต่ละคนตะบึงออกมาจากห้องเรียน มองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สี่คนกำลังไปมาหาสู่กันบนอากาศด้วยอารมณ์คึกคัก บรรดานักเรียนพบว่าวันนี้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นอารมณ์ขึ้นหัวเป็นพิเศษ แทบอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย

สวี่ซินเหนียนคว้าโอกาสบันทึกวรยุทธ์มากมายที่ระดับไม่ถือว่าสูง แต่ใช้ประโยชน์ได้จริงเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเอา ‘หนังสือเวทมนตร์’ ซ่อนไว้ในอก และออกจากภูเขาชิงหยุนอย่างอารมณ์ดี

“อาจารย์พูดถูก การสู้จริงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการฝึกฝนระดับกำเนิดปราชญ์ให้ชำนาญ ผลที่ได้ไม่เลวเลย”

สวี่ซินเหนียนขี่ม้าเลียบถนนหลวงที่กว้างและตรงกลับเมืองหลวง

เขาอารมณ์ดีมาก เนื่องจากในที่สุดก็ย่างเข้าขั้นหก และกลายเป็น ‘ระดับกำเนิดปราชญ์’ ในระบบลัทธิขงจื๊อ มีเพียงต้องบรรลุขั้นหกจึงถือว่ามีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา

และเมื่อบรรลุขั้นหก จึงจะถือว่าเป็นเสาเอกที่แท้จริงของลัทธิขงจื๊อ

“แม้จะตามพี่ใหญ่ไม่ทัน แต่ก็ไม่อาจล้าหลังไปมากนัก ตอนนี้ข้าเองก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ที่บ้านสกุลสวี่ พรสวรรค์ด้านตบะของข้าเป็นอันดับสอง บิดาก็ไม่เท่าข้า” สวี่ซินเหนียนเอ่ยเงียบๆ

ส่วนหลิงอิน นางเป็นเพียงเด็กน้อย และตอนที่ออกจากเมืองหลวงก็เพิ่งจะขั้นเก้า

จวนสกุลสวี่

สวี่หลิงเยวี่ยนั่งยันแก้มด้วยมือขาวนวลมองจิ้งจอกขาวน้อยผลุบๆ โผล่ๆ ที่แปลงปลูกดอกไม้อยู่ในศาลา นางกับมู่หนานจือคุกเข่าเพาะปลูกหญ้าแปลกและดอกไม้ประหลาดอยู่ข้างแปลงปลูกดอกไม้

“ท่านแม่ งานสมรสระหว่างพี่ใหญ่กับองค์หญิงหลินอันใกล้เข้ามาแล้ว ต้องการรับหลิงอินกลับมาหรือไม่”

สวี่หลิงเยวี่ยนึกถึงน้องสาวที่ถูกทิ้งไว้ให้เติบโตอย่างป่าเถื่อนที่ซินเจียงตอนใต้

อาสะใภ้เมื่อได้ยินก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังมีบุตรสาวเยาว์วัย และรีบพยักหน้าเอ่ยว่า

“เจ้าไม่พูดข้าคงลืมไปแล้ว ต้องรับกลับมาจริงๆ รอให้พี่ใหญ่เจ้ากลับมา ข้าค่อยไปบอกเขา”

ไป๋จีซึ่งกำลังวิ่งอย่างสนุกสนานในแปลงปลูกดอกไม้ชะงักลงในทันใดด้วยสีหน้าตื่นตัว

“มันเป็นอะไรไป”

อาสะใภ้สังเกตเห็นความผิดปรกติของไป๋จี

“นึกถึงเรื่องที่ลูกสาวเจ้าอยากกินมันสิท่า” มู่หนานจือไม่แปลกใจเท่าไร

หลังจากพวกนางปลูกดอกไม้ใบหญ้าเรียบร้อย มู่หนานจือเป่าปากอันเรียวเล็กอย่างแผ่วเบา แปลงปลูกดอกไม้ทั้งแปลงก็แย้มบานไปด้วยดอกไม้สดสวยนานาพรรณอย่างทันทีทันใด อาสะใภ้มองจนตาเป็นประกายดาว

มู่หนานจือเอ่ยว่า

“ทักษะการปลูกดอกไม้ของเจ้าค่อนไปทางตอนใต้มากกว่า และผู้คนในครอบครัวใหญ่นิยมใช้กัน แต่เมืองหลวงค่อนไปทางเหนือมากกว่า เพราะเช่นนี้ดอกไม้มากมายจึงปลูกได้ไม่ดีนัก”

อาสะใภ้เอ่ยอย่างจนใจว่า

“มารดาของหนิงเยี่ยนเป็นคนสอนข้า ปีนั้นสวี่ผิงจื้อสู้รบที่ด่านซานไห่ ข้าทุกข์ใจจนหวาดหวั่นอยู่ที่บ้านคนเดียว จึงเรียนรู้การเพาะปลูกดอกไม้กับนางเพื่อฆ่าเวลา”

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของมู่หนานจือ นางเอ่ยถามว่า

“มารดาของสวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนเช่นไร”

อาสะใภ้พยายามนึกย้อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะเอ่ยว่า

“จำได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว แต่อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ดีมาก ตอนที่นางอยู่ ข้าสบายใจได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรเลย”

ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบสองปีก่อนแล้ว อาสะใภ้จำเรื่องนานขนาดนั้นไม่ได้

ขณะนี้เอง นางได้ยินบุตรสาวในศาลาตื่นตระหนกด้วยความดีใจจนร้องตะโกนว่า

“พี่ใหญ่…”

เสียงร้องขาดหายไปอย่างฉับพลัน

อาสะใภ้และมู่หนานจือได้ยินสิ่งผิดปกติจึงหันศีรษะไปมอง พวกนางเห็นสวี่ชีอันที่กลับจวนมาเป็นครั้งแรกหลังจากสยบการก่อกบฏเป็นอย่างแรก จากนั้น สายตาของทั้งสองก็มองลงไปที่ตัวของสตรีผู้สุภาพอ่อนโยนที่ออกเรือนแล้ว ซึ่งเพียงเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาที่ด้านหลังสวี่ชีอัน

อาสะใภ้นิ่งอึ้งไป ชั่วพริบตานี้เอง ความทรงจำที่ถูกฝุ่นกลบฉีดล้างสมองของนางอย่างเชี่ยวกราก ราวน้ำหลากจากการเปิดประตูกั้นน้ำ

มู่หนานจือขมวดคิ้ว นางกีดกันเพศหญิงไม่ว่าคนใดก็ตามที่อยู่ด้านหลังของสวี่ชีอันด้วยสัญชาตญาณ

“เสี่ยวหรู”

จีไป๋ฉิงเดินอย่างช้าๆ ไปยังตรงหน้าอาสะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม และเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า

“ไม่เจอกันยี่สิบสองปี เจ้าไม่เปลี่ยนไปสักนิด”

อาสะใภ้ใบหน้าเฉื่อยชา ริมฝีปากอ้ำๆ อึ้งๆ เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า

“พี่สะใภ้หรือ”

หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า

สวี่ชีอันเอ่ยอธิบายข้างๆ ว่า

“ข้ารับนางกลับมาจากอวิ๋นโจวแล้ว”

มู่หนานจือส่งเสียง ‘อ๋อ’ เจตนาร้ายเล็กน้อยนั่นจึงหมดไป แต่กลับไม่มีความอึดอัดใจที่ ‘ลูกสะใภ้ขี้เหร่เห็นแม่ยาย’ นางเกลียดสวี่ชีอันอีกแล้ว ทุกคนบริสุทธิ์…

อาสะใภ้มีสีหน้าสับสน ทั้งมีความประหลาดใจที่ได้พบศัตรูใหม่อีกครั้ง และก็มีความลำบากใจที่ไม่รู้ว่าควรทักทายและอยู่ด้วยกันเช่นไร

“หลิงเยวี่ยคารวะป้าสะใภ้”

โชคดีที่ในบ้านยังมีลูกสาวผู้อ่อนแอ ยืนขึ้นมาผ่อนคลายความอึดอัดวางตัวไม่ถูกแทนตนอย่างถูกเวลา

อาสะใภ้รีบเอ่ยว่า

“พี่สะใภ้ นี่คือหลิงเยวี่ยบุตรสาวของข้า ปีนั้นท่านจากไปเร่งด่วนเกินไป จึงไม่ได้เห็นนาง…”

ขณะพูด เบ้าตาก็พลันแดงขึ้นมา

สวี่ชีอันรู้ว่าภาพจำของอาสะใภ้ที่มีต่อแม่ผู้ให้กำเนิดนั้นดีมาก ก่อนหน้านี้ที่พบปะพูดคุยกับนาง อาสะใภ้ก็เคยเอ่ยถึงคนที่แสนดีผู้นี้

จีไป๋ฉิงมองสวี่หลิงเยวี่ยอย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนว่า

“สวยจริงๆ”

“มีครอบครัวรับหมั้นหรือยัง”

อาสะใภ้เอ่ยอย่างจนใจเมื่อได้ยินว่า

“ยังเลย หลิงเยวี่ยหัวสูง คุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวงนางก็ไม่มองทั้งนั้น”

“บุตรสาวโตแล้วไม่ควรอยู่เรือน อยู่ไปอยู่มาจะผิดใจกัน ปีนี้ข้าจะต้องทำให้นางออกเรือนให้ได้”

จีไป๋ฉิงเอ่ยยิ้มว่า

“ไม่ต้องรีบร้อน โลกนี้มีคนรักที่ใฝ่หายากที่สุดอยู่ ถึงคำสั่งของบิดามารดาจะสำคัญก็ตาม แต่ก็ต้องให้นางดูอีกฝ่ายด้วยตนเอง ข้ามองว่าหลิงเยวี่ยเป็นหญิงสาวที่มีความคิดเป็นของตนเอง”

สวี่หลิงเยวี่ยยิ้มอ่อน นางเกิดความรู้สึกดีมากมายต่อป้าสะใภ้แปลกหน้าท่านนี้ในทันที

อาสะใภ้เอ่ยฮึดฮัดว่า

“นางมีความคิดเป็นของตนเองอะไรกัน เป็นคนนิสัยอ่อนแอ ใครๆ ก็รังแกได้ ไม่เหมือนข้าสักนิดเดียว”

ไม่เหมือนท่านจริงๆ เลย…สวี่ชีอันแขวะอยู่ข้างๆ เขาตะลึงในความเฉียบแหลมของแม่ผู้ให้กำเนิดเล็กน้อย มองออกว่าเมื่อมารดาตัดสินใจไม่ถูก จึงคาดคะเนว่าหลิงเยวี่ยมีความคิดเป็นของตนเองอย่างยิ่งจากความจนปัญญาของอาสะใภ้

หลังจากพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ กันช่วงสั้นๆ ความรู้สึกแปลกหน้าของการพบกันอีกครั้งหลังจากกันเป็นเวลานานค่อยๆ จืดจางลง อาสะใภ้เอ่ยในทันทีว่า

“หลิงเยวี่ย พาป้าสะใภ้ไปนั่งในห้องรับแขก ให้เหล่าคนรับใช้ยกชามาให้”

นางส่งแววตาให้สวี่ชีอันเงียบๆ

ขณะรอสวี่หลิงเยวี่ยพาพี่สะใภ้เดินเข้าไปในห้องรับแขก อาสะใภ้ดึงแขนเสื้อของสวี่ชีอันไว้ และขมวดคิ้วเอ่ยว่า

“เกิดอะไรขึ้นกับนาง”

สวี่ชีอันมองนางครู่เดียวก็เข้าใจความหมายของอาสะใภ้ และเอ่ยเบาๆ ว่า

“เรื่องนี้พูดแล้วยาว ปีนั้นหากไม่ใช่เพราะนางแอบหนีกลับเมืองหลวงเพื่อคลอดข้า ข้าคงตายไปนานแล้ว”

อาสะใภ้เบาใจอย่างถึงที่สุด

แม้นางจะประทับใจพี่สะใภ้ท่านนี้อย่างมากที่สุด แต่ก็กลัวว่าพี่สะใภ้จะเดินเส้นทางเดียวกับสวี่ผิงเฟิง

อาสะใภ้เฉียบไวเป็นพิเศษในเรื่องเงินทองและเรื่องลูก

หลังจากปลอบขวัญอาสะใภ้ สวี่ชีอันก็หันศีรษะไปมองมู่หนานจือ และเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า

“เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่”

เขาทิ้งมู่หนานจือไว้ที่หอดูดาวแล้วแท้ๆ

“ไม่ใช่ว่าเจ้าให้ข้ามาที่จวนสกุลสวี่ผ่านฮว๋ายชิ่งหรือ” มู่หนานจือขมวดคิ้วถามกลับ

…สวี่ชีอันไม่ถามแล้ว

ทั้งสามคนเข้าสู่ห้องรับแขก สวี่หลิงเยวี่ยชงชาไว้เรียบร้อยแล้ว อาสะใภ้จูงแขนของมู่หนานจือ และเอ่ยด้วยไมตรีจิตว่า

“พี่สะใภ้ นางคือมู่หนานจือ พี่สาวร่วมสาบานของข้า”

หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบ สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นเสียงสูงในทันใดว่า

“อะไรนะ?!”

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท