ตอนที่ 265 กลับร้านหนังสือ
“ฮว่าไต้จ้าวเป็นคนเช่นไรหรือเจ้าคะ” ซินโย่วถาม
แม้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินคอยตรวจสอบจับตาดูบรรดาขุนนาง แต่ยังอยู่ในช่วงต้นราชวงศ์ จึงยังไม่อาจทำได้ลึกถึงทุกซอกมุม โดยเฉพาะฮว่าไต้จ้าวที่เป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ที่ทรงแต่งตั้ง แทบไม่มีผู้ใดสนใจ แต่ตอนตรวจสอบหาคนชื่อ ‘ตงเซิง’ จึงได้เป็นที่จับตามองของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน
หลังสืบสวนสองสามวันสั้นๆ เฮ่อชิงเซียวได้ข่าวสารมาไม่มาก “ฮว่าไต้จ้าวชื่อว่าหวาอันฝู ปีนี้อายุสามสิบหก เคยมีภรรยาหนึ่งอนุภรรยาหนึ่ง บุตรชายหนึ่ง บุตรสาวหนึ่ง สิบปีก่อนภรรยาล้มป่วยจากไป อนุภรรยาพาบุตรสาวหนีไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนนี้เหลือบุตรชายคนหนึ่งคนคอยดูแลกันและกัน”
“อนุภรรยาพาบุตรสาวหนีไปแล้ว?”
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้า “แม้หวาอันฝูเข้ามาเป็นไต้จ้าวที่สำนักฮั่นหลินย่วน กลับไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ อาศัยเพียงแค่เบี้ยเล็กน้อยเลี้ยงดูครอบครัว พอให้บุตรชายได้ร่ำเรียน อนุภรรยาทนชีวิตลำบากไม่ไหว จึงพาบุตรสาวหนีไป”
ซินโย่วอดทอดถอนใจไม่ได้ “ขุนนางไม่น้อยดูเหมือนว่าจะยากจนมาก”
เฮ่อชิงเซียวชะงักไปก่อนเอ่ยว่า “แตกต่างกันมาก ขุนนางที่มาจากครอบครัวที่มีที่นามากมายนั้นมีชีวิตสุขสบาย ส่วนพวกที่มาจากครอบครัวธรรมดาอาศัยเบี้ยหวัดยังชีพค่อนข้างยากจน ถึงกับต้องอาศัยกู้เงินมาหมุน…”
เฮ่อชิงเซียวเอ่ยถึงความแตกต่างของขุนนางร่ำรวยและยากจน ทำให้ซินโย่วเหมือนมีความคิดหนึ่งขึ้นมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านแม่เคยเอ่ยถึง โดยเฉพาะตอนได้เห็นชาวนาสูญเสียที่นาตนเองไปเพราะภัยจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด
“ฮว่าไต้จ้าวยังมีญาติคนอื่นอีกไหมเจ้าคะ”
“ไม่มีแล้ว ฮว่าไต้จ้าวมีชาติกำเนิดตระกูลร่ำรวย เรียนวาดภาพแต่เล็ก มีพรสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึง ที่บ้านเชิญอาจารย์วาดภาพมีชื่อมาสอน ตอนสิบกว่าขวบครอบครัวเริ่มตกต่ำ คนในครอบครัวเริ่มล้มป่วยจากไป…” เฮ่อชิงเซียวเล่าเรื่องราวต่อ “เขาไม่ใช่คนเมืองหลวง เรื่องพวกนี้ล้วนมาจากการสอบถาม เป็นจริงหรือไม่ยังต้องรอพิสูจน์ก่อน”
“คนที่สามที่ชื่อตงเซิงคือผู้ใดเจ้าคะ”
“หลางจง[1]ในกรมคลังผู้หนึ่งชื่อว่าจ้าวชิ่งอวิ๋น ยังจำร้านหนังสือหย่าซินได้หรือไม่”
“ย่อมจำได้” ซินโย่วคิดอันใดขึ้นมาได้ “หรือว่าขุนนางแซ่จ้าวผู้นั้นก็คือพ่อตาเจ้าของร้านหนังสือหย่าซิน”
ร้านหนังสือหย่าซินเป็นคู่แข่งกับร้านหนังสือชิงซงมาตลอด เพราะบุญคุณความแค้นส่วนตัวกับเจ้าของร้าน ร้านหนังสือถูกทางการปิดไปแล้ว เจ้าของร้านแซ่อู๋ผู้นั้นก็หายตัวไปไร้ข่าวคราว
ซินโย่วจำได้ว่าเฮ่อชิงเซียวเคยเอ่ยถึงว่า เจ้าของร้านอู๋เป็นบุตรเขยแต่งเข้าจวนของขุนนางกรมคลังท่านหนึ่ง
“ความจำซินไต้จ้าวดียิ่ง” มุมปากเฮ่อชิงเซียวปรากฏรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
คุยกับคนฉลาด ไม่เปลืองแรงมาก
“นับดูแล้ว สามคนที่ชื่อ ‘ตงเซิง’ พอมีสายสัมพันธ์กับข้าอยู่ไม่มากก็น้อย ช่างบังเอิญจริง” ซินโย่วพึมพำ
ได้ยินเฮ่อชิงเซียวเล่าสภาพการณ์ของขุนนางจ้าวผู้นั้นแล้ว ซินโย่วตัดสินใจไปร้านหนังสือชิงซงสักครั้ง
“ระวังตัวให้มาก” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยเตือน
พอทั้งสองคนแยกกัน ซินโย่วออกจากถนนจีเหมา เลี้ยวเข้าไปยังอีกตรอกชุมชนหนึ่ง
หนึ่งปีมานี้ นางใช้เงินทยอยซื้อบ้านชาวบ้านมากมาย เน้นที่ธรรมดาไม่สะดุดตา เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนสถานะ
กลับไปเป็นสถานะหญิงสาวแล้ว ซินโย่วก็ตรงไปร้านหนังสือชิงซง แต่กลับมิได้เข้าประตูหน้าของร้านหนังสือ หากตรงไปยังเรือนตะวันออก ให้คนไปตามผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวมา
“ท่านเจ้าของร้าน ท่านไม่ได้มาหลายวันแล้ว!” พอเห็นซินโย่ว หลิวโจวก็ตื่นเต้นเล็กน้อย
ซินโย่วยิ้ม “ตอนนี้ร้านหนังสือจัดการได้ดีแล้ว การค้าก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้ามาเฝ้าทุกวันแล้ว หากมีมีธุระก็ให้คนไปจวนรองเจ้ากรมมอบจดหมายให้เสี่ยวเหลียน”
“ร้านหนังสือก็ไม่ได้มีเรื่องอันใด เพียงแต่มักมีคนถามถึงท่านเจ้าของร้าน”
“มีผู้ใดถามถึงข้า?”
หลิวโจวนับนิ้วมือ “นักเรียนหลายคนของสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ใต้เท้าเมิ่ง ใช่แล้ว ยังมีซิ่วอ๋อง…”
ฟังหลิวโจวพูดจบ ซินโย่วก็ถามผู้ดูแลร้านหู “ผู้ดูแลร้าน ระยะนี้ใต้เท้าเฮ่อยังมาอ่านบันทึกการเดินทางอีกหรือไม่”
นางถามเช่นนี้ย่อมมิได้ถามถึงเฮ่อชิงเซียว แต่อาศัยคำถามนี้ถามไปถึงเจ้ากรมตรวจสอบเหอ
ผู้ดูแลร้านหูไม่รู้ความคิดแท้จริงของซินโย่ว จึงได้เข้าใจผิด แอบถอนหายใจ แต่ก็ตอบว่า “ระยะนี้ใต้เท้าเฮ่อไม่ได้มาขอรับ”
“ดูท่าบันทึกการเดินทางเราคงต้องฝุ่นจับแล้ว” ซินโย่วถอนหายใจ
หลิวโจวหัวเราะคิก “ก็มิได้ เจ้าของร้านไม่รู้ ระยะนี้แม้ว่าใต้เท้าเฮ่อไม่มาอ่านบันทึกการเดินทาง แต่กลับมีอีกท่านที่ชอบอ่านบันทึกการเดินทางเหมือนกัน”
“อ้อ ใต้เท้าท่านใดหรือ” ซินโย่วเผยสีหน้าอยากรู้
“ก็คือเจ้ากรมตรวจสอบเหอที่ช่วยสอบคดีให้คุณหนูจูผู้นั้น ทุกครั้งจะขี่ลามา”
“คิดไม่ถึงเจ้ากรมตรวจสอบเหอเองก็ชอบอ่านบันทึกการเดินทาง”
ผู้ดูแลร้านหูได้ยินก็หัวเราะเบาๆ
ซินโย่วมองไปพลางถามว่า “ผู้ดูแลร้าน เป็นอันใดไปหรือ”
ผู้ดูแลร้านหูลูบหนวดตนเอง ลากเสียงตอบว่า “ใต้เท้าเหอผู้นั้นเกรงว่ามิได้สนใจในสิ่งที่แสดงออก”
จากประสบกาณ์หนึ่งปีที่เขาสั่งสมมานี้ เห็นชัดว่าใต้เท้าเหอมาเพราะคุณหนูจู
สำหรับจูเสี่ยวเยวี่ยที่มาเป็นผู้ช่วยเขา ผู้ดูแลร้านหูนับวันก็ยิ่งพึงพอใจ
คุณหนูผู้นี้มีความสามารถจริง
ผู้ดูแลร้านหูพึงพอใจการทำงานของจูเสี่ยวเยวี่ยมาก ทำให้ไม่ถูกชะตากับเจ้ากรมตรวจสอบเหอ
เจ้ากรมตรวจสอบเหอเป็นขุนนางดีที่ได้รับการเคารพจากผู้คนก็จริง เป็นใต้เท้าผู้ทรงธรรม แต่อายุมากไปสักหน่อยจริงๆ ไม่เหมาะสมกัน
ถามความคิดผู้ดูแลร้านหูแล้ว ซินโย่วก็ขำพรืด ยิ้มกล่าวว่า “ผู้ดูแลร้านคิดว่าเจ้ากรมตรวจสอบเหออายุเท่าไร”
“สามสิบกว่ากระมัง”
เห็นสีหน้าประหลาดของซินโย่ว ผู้ดูแลร้านหูถามขึ้นว่า “ข้าน้อยเดาผิดหรือ”
ซินโย่วกระดกมุมปาก “ข้าได้ยินว่าเจ้ากรมตรวจสอบเหอแค่ยี่สิบกว่า”
“ยี่สิบกว่า?” ผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวพากันตกใจ
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างไม่อยากจะเชื่อ
“แล้วคุณหนูจูล่ะ”
ผู้ดูแลร้านหูแทบอยากจะร้องไห้ “คุณหนูจูคิดว่าเจ้ากรมตรวจสอบเหอใกล้สี่สิบแล้ว”
ซินโย่วพลันไม่รู้ควรวิพากษ์เช่นไร กำชับทั้งสองคนว่า “คุณหนูจูไม่มีญาติสนิทเหลืออีกแล้ว ตอนนี้ทำงานที่ร้านหนังสือเรา พวกเราก็นับว่าเป็นญาติของนาง ในเมื่อเจ้ากรมตรวจสอบเหออาจมาเพื่อคุณหนูจู ผู้ดูแลร้านก็ช่วยสังเกตการณ์หน่อย ขุนนางดีไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ครองที่ดี…”
คำพูดเช่นนี้ หากเจ้ากรมตรวจสอบเหอมีเรื่องผิดปกติ บางทีพวกผู้ดูแลร้านหูอาจค้นพบได้
แน่นอนว่าเป็นเพียงการช่วยกันอีกแรง ไม่ได้หวังว่าจะให้พวกผู้ดูแลร้านหูตรวจสอบว่าเจ้ากรมตรวจสอบเหอใช่ตงเซิงที่ส่งจดหมายติดต่อกับโจวทงหรือไม่
“ท่านเจ้าของร้านวางใจ วันหน้าข้าน้อยจะคอยจับตาดูไว้” หลิวโจวชี้ไปทางโถงร้าน “ใต้เท้าเหออยู่ที่โถงร้านหนังสือ”
“ข้าไปดูหน่อย”
ซินโย่วก้าวออกไปด้านหน้า
ในโถงร้านมีลูกค้าสองสามคน จูเสี่ยวเยวี่ยกับสือโถว คนหนึ่งเก็บเงิน คนหนึ่งต้อนรับแขก ไม่ได้วุ่นวายเพราะผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวไม่อยู่
ซินโย่วมองทั้งสองคนที่กำลังทำงานทีหนึ่ง ไม่ได้ส่งเสียงเรียก ก้าวไปยังชั้นหนังสือเงียบกริบ
ชั้นหนังสือตั้งเรียงรายแนวลึก อากาศเดือนหกก็ร้อนอบอ้าว ในตำแหน่งที่เฮ่อชิงเซียวมักมายืนอ่าน ยามนี้เจ้ากรมตรวจสอบเหอประคองหนังสือเล่มหน้าราวกับก้อนอิฐ เสื้อผ้าบนแผ่นหลังเปียกซึมไปด้วยเหงื่อ
ซินโย่วนึกถึงอักษรตัวเล็กๆ ที่ได้มาตรฐานและอักษรตวัดไหลลื่นในจดหมายที่โจวทงทิ้งไว้
บางทีต้องดูลายมือของเจ้ากรมตรวจสอบเหอก่อน
นางเงยหน้ามองขึ้นไป ก็มีความคิดทันที หันเดินไปยังโต๊ะเก็บเงิน
พอดีลูกค้าสองสามคนซื้อเสร็จกลับไป จูเสี่ยวเยวี่ยเห็นซินโย่วก็มีสีหน้าดีใจ “ท่านเจ้าของร้าน!”
[1] หัวหน้าเจ้าหน้าที่ในกรม