ด้านในระบบดาวปรภพอันทรุดโทรม ชิ้นส่วนดาวเคราะห์แตกกระจายเป็นกลุ่มๆ ลอยเอ้อระเหยอยู่ในนภาดาวของแดนมรณะผืนนี้
ธุลีระหว่างดวงดาวที่เหมือนกับหอกสีเหลืองอ่อนส่วนหนึ่ง รวมตัวกันกลายเป็นเมฆ แผ่ขยายวนเวียนในอาณาเขตผืนนี้
โดยรอบยังมีสนามพลังงานที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานตกค้างอยู่มากพอจะรบกวนการเข้าใกล้ใดๆ ได้ ถึงขั้นที่ขอแค่เป็นเรือสินค้าจำนวนมากที่ผ่านทาง ก็จะสูญเสียสัมผัสด้านทิศทางเช่นกัน
หลังจากแสงดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดสาดส่องใส่เขตดาวผืนนี้
ที่ชายขอบระบบดาวปรภพมีแสงสายฟ้าสีเหลืองอ่อนสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ด้านในแสงสายฟ้ามีมนุษย์ผู้ชายร่างกำยำสูงสองหมี่คนหนึ่งเดินออกมา
บุรุษสวมชุดออกศึกสีเงิน ติดเกราะโลหะซับซ้อนที่เหมือนกับอากาศยานเอาไว้บนลำตัวและสองขา
ตรงกลางเกราะอกมีรูสีดำขนาดเล็กๆ หนึ่งรู กลุ่มแสงสีเขียวขี้ม้ากลุ่มหนึ่งลอยอยู่ด้านใน มันหมุนวนและปล่อยแสงอ่อนจางออกมาเป็นระยะ
“ระบบข้ามมิติระยะสั้นของเกราะแบบนี้สะดวกชะมัด” บุรุษก้มมองกลุ่มแสงสีเขียวขี้ม้าบนทรวงอกของตัวเอง
“เตาปล่อยพลังงานขั้นห้ากลุ่มหนึ่งสามารถทำให้เรากระโดดข้ามจากนครตราชั่งมาถึงระบบดาวปรภพได้ในคราวเดียว ดูเหมือนวิทยาการในแต่ละด้านของนครตราชั่งจะไม่เลวทีเดียว”
เขาคือลู่เซิ่งที่เพิ่งลงนามคำสาบานจิตวิญญาณกับพวกจันทราม่วงสองคนที่นครตราชั่ง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเหตุแทรกซ้อน หลังจากแก้แค้นสามสำนักเสร็จ ลู่เซิ่งก็ได้รับระบบข้ามมิติขนาดอณูที่ก้าวหน้าที่สุดของนครตราชั่งมาใช้เดินทาง
ระบบนี้มีแต่ผู้เข้มแข็งที่มีกายเนื้อเหี้ยมหาญถึงขีดสุดถึงจะมีคุณสมบัติใช้ได้ ไม่อย่างนั้นหากคนธรรมดาสวมใส่ จะถูกแรงกระแทกกับแรงบีบอัดอันมหาศาลที่เกิดจากการกระโดดข้ามมิติบดขยี้จนไม่เหลือแม้แต่ซาก
เกรงว่าเราจะเป็นมารสวรรค์มายาพิศวงที่เน้นความแข็งแกร่งด้านกายเนื้อมากที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
ลู่เซิ่งกระตุกร่างทีหนึ่ง ระบบกระโดดข้ามมิติหลุดออกจากตัวโดยอัตโนมัติ กลายเป็นก้อนกลมขนาดเท่ากำปั้นด้านหน้าของเขาหลายอัน
ลู่เซิ่งจับก้อนกลม แล้วโยนไปด้านหลัง ปล่อยให้โลกรูปจิตกลืนกินมัน เก็บรักษาไว้ชั่วคราว
หลังจากกินผู้ปกครองอนธการมาหลายคน มิติรูปจิตของเขาในเวลานี้ก็กำลังพองขยายชนิดพุ่งทะยาน
แค่อาณาเขตก็ขยายขึ้นกว่าเดิมห้าเท่าแล้ว!
โครงสร้างไม่ใช่ท้องฟ้าผืนดินเรียบง่ายอีกต่อไป พลังงานนับไม่ถ้วนกลายเป็นอาณาเขตที่มีความหนาแน่นแตกต่างกันกลางอากาศ สถานที่บางส่วนที่มีความเข้มข้นสูงถึงขั้นปรากฏหมอกพลังงานจางๆ
ในอากาศพบก้อนผลึกจับตัวเลือนราง
นี่บ่งบอกว่าข้อต่อที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนพลังงานเป็นวัตถุ ได้เริ่มกลายเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
“ควรจะจบบุญคุณความแค้นตลอดหลายปีได้สักที” ลู่เซิ่งตั้งสมาธิมองดูหมอกในระบบดาวปรภพที่อยู่ไกลออกไป
เขาสืบเท้าออกไปก้าวหนึ่ง รอบตัวปรากฏพายุพลังงานหลายสายอย่างฉับพลัน ผลักดันเขาเหาะออกไปด้วยความเร็วสูง
นี่เป็นพลังของเทพปีศาจแห่งสายลม
โลกเทพนอกรีตเป็นจักรวาลระดับเดียวกับโลกมารสวรรค์ พลังในนั้นส่วนใหญ่เอามาใช้ที่นี่ได้ นี่เป็นจุดร่วมอันน้อยนิดระหว่างจักรวาลระดับพลังงานสูง
ระหว่างจักรวาลส่วนใหญ่ กฎระดับต่ำต่างก็มีจุดเชื่อมโยง ส่วนกฎระดับกลางจะแตกต่างกันถึงขีดสุด ดังนั้นจึงเอาระบบพลังงานในช่วงนี้ของแต่ละจักรวาลมาใช้ด้วยกันไม่ได้
ส่วนกฎระดับสูงสุด เป็นเพราะมหามรรคาเชื่อมต่อกัน เส้นทางต่างๆ จึงค่อยๆ กลับมารวมตัวกันเป็นหนึ่ง ทำให้กำเนิดจุดที่คล้ายคลึงกันไม่น้อย
ตอนนี้ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงความคล้ายคลึงเล็กๆ ส่วนหนึ่งแล้ว
ผ่านไปตั้งนานยังไม่มีการเคลื่อนไหวของมารดาแห่งความเจ็บปวด ก่อนหน้านี้นางเป็นไส้ศึกของพันธมิตรดวงดาว แฝงตัวอยู่ในระบบดาวปรภพมาโดยตลอดเพื่อเป้าหมายอะไรบางอย่าง ตอนนี้พันธมิตรดวงดาวกับสัตว์โบราณทำสงคราม คงจะเห็นเค้าลางเป้าหมายของนางแล้ว
ลู่เซิ่งสะกิดปลายเท้า ร่างพุ่งฉิวออกไป กลายเป็นลมอ่อนไร้รูปร่าง พุ่งเข้าไปในหมอกเหลืองขมุกขมัวของระบบดาวปรภพ
เขาเร็วถึงขีดสุด ทุกสองสามนาทีจะเจอชิ้นส่วนดาวเคราะห์ทรุดโทรมกลุ่มหนึ่ง
อุกกาบาตที่กำลังหมุนบางส่วนเฉียดผ่านรอบข้างไปตลอดเวลา อุกกาบาตพวกนี้ส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจากเศษดาวเคราะห์ขนาดเล็กๆ
อุกกาบาตใหญ่บ้างเล็กบ้างสร้างแรงดึงดูดแตกต่างกัน คอยดึงสายลมที่ผันแปรมาจากลู่เซิ่งตลอดเวลา
เขาต้องใช้พลังเพิ่มเติม เพื่อคงความเร็วสูงสุดของตัวเอง
หลังเหาะเหินไปได้ราวครึ่งชั่วโมงกว่า รวมถึงกระโดดข้ามมิติสั้นๆ หลายครั้ง ไม่นานลู่เซิ่งก็มาถึงเขตดาวอันเป็นที่อยู่ของดาวปรภพหมายเลขหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้
หมอกควันรอบตัวหนาขึ้นกว่าเดิม มองดูไกลๆ เห็นชิ้นส่วนสีดำที่มีสี่ด้านขนาดใหญ่หมุนวนอยู่กับที่อย่างช้าๆ ดาวปรภพหมายเลขหนึ่งหายไปไหนก็ไม่รู้
ลู่เซิ่งสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เมื่อใกล้ชิ้นส่วนนี้
หลังจากเขาเข้าใกล้ ในสายตาเขาชิ้นส่วนขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนัก เขาก็ลงจอดบนผิวชิ้นส่วน ลมรวมตัวด้วยความเร็วสูง กลับมาเป็นร่างของเขา
“ที่นี่…ดูเหมือนถูกสัตว์โบราณทำลายไปครั้งหนึ่ง” ลู่เซิ่งกวาดตามอง รอบๆ คือดินสีดำสนิทรกร้าง หินข้างใต้แข็งแกร่งตะปุ่มตะป่ำ ร่องรอยจากการถูกพลังงานบางชนิดโจมตีด้วยความร้อนสูงกระจายอยู่ทั่วผิว สถานที่มากมายต่างมีร่องรอยที่เย็นลงหลังการหลอมละลาย
“ดาวปรภพที่หนึ่งถูกทำลาย ดูเหมือนดาวปรภพใบอื่นก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่อยู่แล้วเช่นกัน” ลู่เซิ่งยืนขึ้น รู้สึกยุ่งยากเล็กน้อย
ดาวปรภพไม่เหลือแล้ว เขาจะไปหามารดาแห่งความเจ็บปวดได้ที่ไหน
เขาคาดไม่ถึงเลยว่า ในขณะที่เขาประมือกับสามสำนักและจุติไปยังโลกเทพนอกรีต จะมีคนทำลายระบบดาวปรภพทั้งระบบได้อย่างเงียบเชียบ
พรึ่บ
ไฟสีม่วงหลายสายลุกไหม้ขึ้นใต้เท้าลู่เซิ่ง เขาอาศัยพลังไฟพ่น เหาะเหินไปอื่นด้วยความเร็วสูง
อาศัยความสามารถกระโดดข้ามมิติระยะสั้นของผู้เข้มแข็งอนธการ ลู่เซิ่งกระโดดข้ามมิติหลายครั้ง เพียงแต่เมื่อมองไกลๆ ก็จะพบอย่างรวดเร็วว่า ไม่เพียงแต่ดาวปรภพที่หนึ่งเท่านั้น ดาวปรภพหมายเลขสอง สาม สี่ ทั้งหมดต่างถูกทำลายไม่เหลือแม้แต่ซาก
ในระบบดาวปรภพทั้งหมด นอกจากกลุ่มอุกกาบาตที่เกิดจากซากดาวเคราะห์แล้ว ก็ไม่มีดาวเคราะห์ดวงไหนหลงเหลืออยู่อีก
ลู่เซิ่งกระโดดข้ามมิติวนรอบระบบดาวหลายรอบ ในที่สุดก็เจอซากวัตถุน่าสงสัยว่าจะเป็นขุมกำลังใต้บังคับบัญชาของมารดาแห่งความเจ็บปวดบนอุกกาบาตเรียวยาวก้อนหนึ่ง
พรึ่บ
เขาหยุดลงยืนบนผิวอุกกาบาต มองดาบหักเล่มหนึ่งที่ปักเอียงอยู่บนพื้นไม่ไกลออกไป
บนตัวดาบมีกลิ่นอายเหี้ยมหาญเฉพาะตัวของอาวุธเทพศัสตรามารกระจายออกมา หมอกสีเทาแผ่ตลบออกมาราวหนวดนับไม่ถ้วน กลิ่นอายเหล่านี้ได้ปกคลุมอาณาเขตสิบกว่าหมี่ไว้อย่างหนาแน่น
หือ? นั่นมันอะไรน่ะ… เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ลู่เซิ่งจึลเห็นว่าใกล้กับดาบหักมีบุรุษวัยกลางคนสวมผ้าเก่าขาดคนหนึ่ง กำลังเดินเข้าใกล้มันทีละก้าวๆ อย่างยากลำบาก
ทว่าพลังของเขาอ่อนแอเกินไป ส่วนกลิ่นอายหมอกที่ดาบหักกระจายออกมา ลู่เซิ่งสัมผัสดูเล็กน้อยก็พอมองออกว่า ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับอริยะเจ้าเป็นอย่างต่ำ
แสดงให้เห็นว่า การที่อาวุธเทพศัสตรามารชิ้นนี้เหลือรอดจากศึกใหญ่ระดับทำลายดาว จะต้องเป็นตัวตนระดับสุดยอดในหมู่อาวุธเทพทั้งมวลแน่
และเมื่อสัมผัสชายคนนี้ ลู่เซิ่งก็พบอย่างประหลาดใจว่า เขาคือคนธรรมดาที่มีกำลังภายในเล็กน้อยคนหนึ่ง!
“คนธรรมดาหรือ?! คนธรรมดาที่อยู่ในอวกาศได้เหรอเนี่ย” ลู่เซิ่งงงงันเล็กน้อย มิน่าเขาถึงสัมผัสอะไรไม่ได้ ไม่ใช่เขาพิเคราะห์ไม่ละเอียด แต่เพราะอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไป
“ที่นี่ไม่มีอากาศ อยู่ในสภาวะสุญญากาศ แต่มีคนธรรมดาอาศัยอยู่ที่นี่ มหัศจรรย์พันลึกจริงๆ” ลู่เซิ่งกวาดตามองอย่างละเอียด ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ร่างกายเหมือนจะเป็นเผ่าพันธุ์อวกาศที่สามารถดำรงชีวิตในสภาวะสุญญากาศได้
ลักษณะภายนอกของชายผู้นี้เหมือนกับมนุษย์ แต่ข้างลำคอทั้งสองด้านของเขามีลวดลายสีเหลืองขนาดเล็กคล้ายเหงือกปลา อวัยวะสองอย่างนี้ ช่วยให้เขาดูดซับอนุภาคพลังงานจากในอวกาศเปลี่ยนเป็นพลังพื้นฐานที่ตนเองต้องการได้อย่างต่อเนื่อง
เหมือนกับการสังเคราะห์แสงของพืช แต่ระดับสูงกว่านั้น
ลู่เซิ่งหยุดอยู่ด้านข้างอย่างแผ่วเบา มองดูคนผู้นั้นเข้าใกล้อาวุธเทพเล่มนั้นอย่างไม่คิดชีวิต
เขาอยู่ห่างจากอาวุธเทพสิบกว่าหมี่ ทุกครั้งที่สืบเท้า เลือดก็กระฉูดออกจากร่าง ผิวแตกแยกออก น่าเวทนาเกินทนดู
“ขอร้อง…ขอร้อง…ขอร้อง…” ลู่เซิ่งที่อยู่ห่างออกมาได้ยินบุรุษพึมพำพูดอะไรสักอย่าง
เขาส่ายหน้าและเดินเข้าไป
กลิ่นอายของดาบหักเหมือนจะสัมผัสอะไรได้ จึงเริ่มส่ายไหวหดตัวเหมือนกับเทียนไขถูกลมพัดใส่
แกร๊ก
ลู่เซิ่งเหยียบก้อนหิน ชายคนนั้นจึงรู้สึกตัว แม้ว่าใกล้ๆ อุกกาบาต จะไม่มีตัวกลางสำหรับถ่ายทอดเสียง จึงส่งเสียงในความหมายทั่วไปไม่ได้ แต่การสั่นสะเทือนสามารถส่งผ่านตัวกลางใดๆ ก็ได้ รวมถึงอนุภาคพลังงานและมิติด้วย
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ชายคนนั้นเหมือนจะสัมผัสได้ในทันทีว่าลู่เซิ่งเหยียบก้อนหิน จึงเงยหน้ามองมาทางนี้
“ใคร!? ใครอยู่ตรงนั้น!?” เขาลุกขึ้นตะโกน
ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้า แล้วคว้าดาบหักเล่มนั้นเบาๆ
อากาศรอบๆ ปรากฏรอยกรงเล็บบิดเบี้ยวสี่สาย พากันตวัดเข้าหาดาบหัก
“ไว้ชีวิตด้วย!” ดาบหักส่งจิตสำนึกเล็กๆ ออกมา
“ข้าถามเจ้าตอบ” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงเย็น
“ขอรับ…!”
“ตอนนี้มารดาแห่งความเจ็บปวดกับกองทัพของนางไปอยู่ที่ไหน”
ในดาบหักส่งการสั่นสะเทือนออกมาเบาบาง
“องค์มารดานำคนมุ่งหน้าไปยังสาขาย่อยของพันธมิตรดวงดาว ที่นี่ถูกสัตว์โบราณลอบโจมตี ระบบดาวพินาศสิ้น ในโลกแห่งความเจ็บปวดก็เกิดสงครามใหญ่เช่นกัน พวกเรา…” ต่อจากนั้นมันก็เล่าเรื่องราว ใจความหลักคือมารดาแห่งความเจ็บปวดพาคนเผ่นหนี ทิ้งพวกอ่อนแอไว้ให้ถูกกำจัด มันเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แต่ตอนนี้ก็ได้รับความเสียหายสาหัสเช่นกัน
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ผิดจากที่เขาเดาไว้เท่าไรนัก
“อย่างนั้น พวกนางไปศูนย์หลักของพันธมิตรดวงดาวแห่งใด”
“เรื่องนี้…ข้าไม่รู้แล้ว หลังจากถูกตัดขาด จิตสำนึกของข้าก็สับสนพร่ามัว ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง…” ดาบหักรีบตอบ
“หวังว่าเจ้าจะไม่ได้โกหกข้า” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ ก่อนจะหมุนตัว เตรียมผละออกไป
พรึ่บ!
ทันใดนั้นก็มีเงาคนล้มคะมำตรงหน้าเขา
เป็นชายประหลาดคนนั้น!
เขาน้ำหูน้ำตาไหลพราก บนร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเล็กๆ จากการถูกของมีคมกรีดฟัน มีเลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลา
“ขอร้องล่ะท่าน! ช่วยบุตรีข้าด้วยเถิด!” เขาวิงวอนเสียงดังพลางโขกหัวกับพื้นอุกกาบาตอย่างแรง
ลู่เซิ่งก้มหน้ามองคนผู้นี้ เมื่อครู่ เขามาได้อย่างไรกัน
เขาหันกลับไป มองดูทิศทางของดาบหัก ตรงนั้นห่างจากเขาอย่างน้อยมากกว่าร้อยหมี่ ระยะห่างนี้ แค่คนธรรมดาคนเดียว ข้ามระยะห่างไกลๆ แบบนี้มาล้มอยู่ด้านหน้าเขาได้อย่างไร
เขามองไปยังดาบหัก
ดาบหักไม่ตอบ เงียบอยู่อย่างนั้น
“เห็นอกเห็นใจหรือ” ลู่เซิ่งพลันกระจ่าง ก่อนหันกลับมามองบุรุษตรงหน้า
……………………………………….