“ดาบที่แทบยังเอาตัวเองไม่รอดเล่มหนึ่ง กับบุรุษเผ่าพันธุ์ประหลาดที่ต้องการช่วยบุตรีตัวเองคนหนึ่ง…” ลู่เซิ่งสนใจเล็กน้อย “ก็ได้ พาข้าไปดูหน่อย บุตรีเจ้าอยู่ที่ไหน”
ศีรษะของบุรุษที่โขกกับพื้นอย่างแรงนั้นพลันสั่นไหว รีบเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าลิงโลด
“อยู่ไม่ไกลขอรับ! ทางนั้น! ผู้อาวุโส โปรดตามข้ามา!”
เขาลุกขึ้น แล้ววิ่งกระโผลกกระเผลกไปยังผิวอุกกาบาตทางทิศใต้
ลู่เซิ่งตามหลังไปติดๆ เดินออกมาได้ไม่ไกลเท่าไร ก็เห็นหลุมที่ถูกขุดไว้
ในหลุมมีกลิ่นอายชีวิตอ่อนแอสายหนึ่ง กำลังอ่อนแรงลง คล้ายกับเปลวไฟอ่อนจากเทียนที่พร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ
เมื่อติดตามบุรุษเดินเข้าไปในหลุม เขาก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงปลายทาง
“เจ้าคือ…เฮยจินนี่!?”
ลู่เซิ่งเบิกตาโต
ผู้ที่นอนอยู่ในหลุม คือที่พึ่งแรกของเขานอกจากสือจื้อซิง เขาสวามิภักดิ์ตอนอยู่ในโลกแห่งความเจ็บปวด ท่านหญิงเฮยจิน
ผมยาวสีดำสนิทของนางยาวสยายเต็มพื้น ผมดำลึกลับพิสดารเหมือนกับทำได้ทุกอย่าง เวลานี้ไร้ความอัศจรรย์ใดๆ เหมือนผมคนธรรมดา
ตัวเฮยจินหลับตาแน่นอย่างเจ็บปวด ริมฝีปากแห้งแตก สีหน้าซีดเซียว สวมเกราะอ่อนสีทองชำรุด ถือหอกสั้นที่หักแล้วเล่มหนึ่งไว้ในมือ ดูเหมือนก่อนหมดสติไปนางคงเจอการต่อสู้ที่ยากลำบากทีเดียว
เมื่อเห็นคนแล้วจดจำอีกฝ่ายได้ คลื่นอารมณ์ของลู่เซิ่งปรากฏขึ้นแค่ชั่วพริบตาเดียว แล้วก็ไม่ได้เผยให้เห็นอะไรอีก
บุรุษที่อยู่ด้านหลังเขาก็ไม่พบมันแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งดีดนิ้วอย่างไม่ลังเล ลมไร้รูปร่างหอบหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว พัดไปถึงด้านหน้าตัวของเฮยจิน พลังเทพนอกรีตที่บรรจุอยู่ในสายลมสร้างหนวดเล็กๆ นับไม่ถ้วนพร้อมกับชอนไชเข้าผิวหนังของนาง
พลังเทพนอกรีตแข็งแกร่ง บวกกับความเข้าใจที่ลู่เซิ่งมีต่อโลกมารสวรรค์ การขจัดพลังประหลาดในร่างเฮยจินไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
กลิ่นอายแห่งความเจ็บปวดที่เขาเคยขยาด สำหรับเขาในเวลานี้ เป็นแค่พลังงานทั่วไปอย่างหนึ่งที่สามารถขจัดและกลืนกินได้ตลอดเวลาเท่านั้น
ไม่นานนัก กลิ่นอายสีเทาเจือจางส่วนหนึ่งก็ถูกขับออกจากผิวของเฮยจิน
“นางเป็นบุตรีของเจ้าจริงๆ หรือ” หลังคงสภาพของเฮยจินไว้ ไม่ให้เลวร้ายลงกว่าเดิมแล้ว ลู่เซิ่งก็มองบุรุษที่อยู่ด้านข้าง
“ขอรับ…” ดวงตาอีกฝ่ายฉายแววซับซ้อน แฝงไปด้วยความเศร้าโศก ความภาคภูมิใจและความเจ็บปวดเลือนราง
“นานมาแล้ว ข้าได้ส่งนางไปฝึกฝนที่ดินแดนแห่งการฝึกฝนที่ดีที่สุดของพวกเรา นางมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ไม่นานก็เติบโตขึ้น แล้วนายท่านก็รับเป็นลูกศิษย์…” เมื่อบุรุษเห็นสถานการณ์เรียบร้อยแล้วก็โล่งใจ
“ในตอนนั้น แม้นางจะแข็งแกร่ง และมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่านางแตกต่างจากลูกหลานที่ออกไป นางมักจะกลับมาเยี่ยมคนธรรมดาอย่างพวกเราที่บ้าน บางทีท่านอาจจะแปลกใจอยู่บ้างว่าทำไมข้าถึงอยู่ในสภาพสุญญากาศได้ นี่เป็นเพราะบุตรีข้าเคยให้ข้ากินโอสถอัศจรรย์มากมาย ถ้าทุกอย่างราบรื่นไปได้ตลอดก็คงดี น่าเสียดาย…ที่โลกใบนี้ไม่ได้มีคำว่าถ้ามากมายขนาดนั้น…ก่อนหน้านี้ไม่นานเกิดสงครามใหญ่ขึ้น โลกของพวกเราพินาศ คนนับไม่ถ้วนบาดเจ็บล้มตาย ผู้ปกครองโลกคิดจะพาวีรชนน้อยนิดจากไป เดิมบุตรีข้าก็มีสิทธิ์เช่นกัน…” บุรุษกุมหน้า “แต่นางยืนกรานจะพาข้ากับมารดานางไปด้วย…”
“ดังนั้นพวกเจ้าก็เลยถูกทิ้งไว้หรือ” ลู่เซิ่งทราบว่าคนอย่างเฮยจินเป็นคนดูเย็นชาแต่มีน้ำใจยิ่ง
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าโชคชะตาจะเล่นตลก ท่านหญิงเฮยจินที่ครั้งนั้นมีพลังแข็งแกร่งสุดขีด ตอนนี้กลับตกต่ำถึงขั้นนี้
“ขะ…ขอรับ…บุตรีของข้า นางได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนหน้านี้ทรวงอกกับท้องมีรูใหญ่เท่ากำปั้น ถูกลำแสงสองสายเจาะทะลุ ข้ารักษาให้นางอย่างยากลำบาก...ตอนนี้…ตอนนี้ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว…” บุรุษยิ้มโล่งใจอย่างไม่น่าดูนัก
ลู่เซิ่งงุนงงก่อนจะพิจารณาเฮยจินและบุรุษอีกรอบ
เขาจึงค้นพบว่า บุรุษไม่ใช่คนธรรมดา!
หากแต่เป็น…
บุรุษพูดอะไรสักอย่างอีกสองสามคำ แล้วเร่งฝีเท้าเข้าไป ชักมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาเฉือนเนื้อเล็กๆ จากแขนตัวเองอย่างเชี่ยวชาญคุ้นเคย พร้อมกับป้อนเข้าปากเฮยจินเบาๆ
เฮยจินเคี้ยวอย่างเชื่องช้าโดยสัญชาตญาณ…
“บุตรีข้าน่ารักยิ่ง…งดงามยิ่ง…นางยังสาวและยังเด็กนัก ยังมีอนาคตอีกไกล นางจะตายไม่ได้…”
บุรุษพึมพำ
“คนอย่างข้า ก่อนหน้านี้ดีแต่พนันขันต่อจนเป็นภาระนาง ไม่มีประโยชน์สักอย่างเดียว ตอนนี้ช่วยนางได้…ช่างประเสริฐจริงๆ”
เขาใช้มีดเฉือนเนื้อของตัวเองออกมาทีละส่วนๆ แล้วส่งเข้าปากเฮยจินด้วยสายตาอ่อนโยนโศกเศร้า
ลู่เซิ่งที่อยู่ตรงปากหลุมค่อยๆ นั่งลง พลางลูบฝุ่นบนพื้น
เขาแยกแยะจากรังสีเล็กๆ ที่เหลืออยู่บนปากหลุมออกว่า เฮยจินอยู่ตรงนี้มาอย่างน้อยสามเดือนกว่าแล้ว…
“ในสามเดือนที่ผ่านมา เขาป้อนอาหารให้บุตรีตัวเองแบบนี้ทุกวัน” เสียงของดาบหักดังมาจากด้านหลัง
ไม่ทราบว่าดาบเล่มนี้ขยับมาตั้งแต่เมื่อไร จิตไร้รูปร่างสายหนึ่งวนเวียนอยู่แถวปากหลุม เหมือนกับมองดูสองพ่อลูกในหลุม
ลู่เซิ่งมองภาพตรงหน้าอย่างเงียบงัน
“ความประหลาดลี้ลับมีแบบนี้ด้วยหรือ” เขาถามเสียงเบา
“ใครทราบเล่า ตอนแรกข้าไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้มีประโยชน์หรือไม่ แต่ภายหลังพบว่าบุตรีของเขาอยู่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ส่วนกลิ่นอายของเขาก็อ่อนลงเรื่อยๆ…ไม่สิ…ไม่ใช่อ่อนลง แต่เหมือนลดลงมากกว่า…” ดาบหักเอ่ยเสียงแผ่ว “เหมือนกับการลดลงทางคุณสมบัติ หรือหายไปทางความรู้สึก”
“เหมือนเขาจะใช้วิธีเฉพาะของตัวเองช่วยเหลือบุตรีเพียงคนเดียว” ดาบหนักเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน
ลู่เซิ่งนิ่งขรึมไป
บางทีแม้แต่เฮยจินก็อาจนึกไม่ถึงว่า ผู้ที่ช่วยเหลือนางก่อนตาย จะเป็นบิดาที่ไม่มีอะไรพิเศษเลยของตน
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ หลังบุรุษเฉือนเนื้อก้อนหนึ่ง ก็จะมีเนื้อก้อนใหม่งอกออกมาอย่างรวดเร็ว เพียงแต่การมีตัวตนของตัวเองเหมือนจะอ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย
พอเฮยจินกินเนื้อเสร็จ สภาพก็เหมือนจะดีขึ้นบ้าง
อย่างน้อยจากมุมมองของลู่เซิ่ง กลิ่นอายที่อ่อนแอในตัวนางแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย
เขาครุ่นคิด ก่อนจะเดินเข้าไปยกมือตวัดเบาๆ
อนุภาคพลังงานไร้รูปร่างกลายเป็นสายลม ยกตัวเฮยจินกับบุรุษผู้นั้นขึ้นช้าๆ
“ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเจ้ายินดีจะตามข้าไปไหม”
ตอนแรกเขาไม่อยากจะพาดาบหักไปด้วย แต่คำพูดที่ดาบหักออกหน้าอธิบาย ทำให้เขาเปลี่ยนความประทับใจที่มีต่อตัวมัน จึงถือโอกาสพาไปด้วยกันทั้งหมด
“ยินดีขอรับ! ขอบคุณผู้อาวุโสมาก!” บุรุษรีบคุกเข่ากราบกรานลู่เซิ่ง ก่อนจะถูกลู่เซิ่งยกมือห้ามไว้ไม่ให้เขาคุกเข่า
อย่างไรครั้งกระโน้นเฮยจินก็เคยช่วยเขาไม่น้อย ตอนนี้บิดานางมาก้มกราบเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะสม
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งควบคุมกระแสลม พาสองคนหนึ่งดาบผละออกไป
เพียงแต่เพิ่งจะขยับตัว ลู่เซิ่งก็พบความผิดปกติ เขายกสองคนหนึ่งดาบขึ้นแท้ๆ แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ กลับมีเพียงหนึ่งคนหนึ่งดาบเท่านั้น
ร่างของบุรุษผู้นั้นปล่อยจุดแสงสีขาวนับไม่ถ้วนออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
เขากอดเฮยจินไว้แน่นด้วยใบหน้าอ่อนโยน ร่างกายกลับกลายเป็นจุดแสงและกระจัดกระจายไปรอบๆ อย่างต่อเนื่อง
“พ่อรักลูก…จริงๆ นะ…เชื่อพ่อเถอะ…” เขาพึมพำขณะโอบกอดบุตรีไว้แน่น ในที่สุดก็กลายเป็นจุดแสงสลายหายไป
ลู่เซิ่งกับดาบหักต่างเงียบงัน
ไม่ว่าพวกเขาจะสัมผัสอย่างไร ก็ไม่พบกลิ่นอายและจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของบุรุษอีก เหมือนกับเขาไม่มีร่องรอยมาตั้งแต่แรก
รอยเท้าที่บุรุษทิ้งไว้เมื่อก่อนหน้านี้ รอยเลือดที่กระจายตัว เหงื่อที่หลงเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างอันตรธานไปอย่างไร้สุ้มเสียง
นอกจากเฮยจินที่สภาพค่อยๆ ฟื้นฟูตามลำดับ บนโลกก็เหมือนกับไม่เคยมีบุรุษคนเมื่อครู่มาก่อน
“นั่นคือภาพความประหลาดลี้ลับจางหายไปหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างแผ่วเบา
“ขอรับ…” ดาบหักตอบ “ข้าอยู่มาตั้งนาน นี่เป็นครั้งที่สองที่เห็นความประหลาดลี้ลับหายไป…”
“ของข้าครั้งแรก” ลู่เซิ่งเพ่งพินิจสถานที่ที่บุรุษสลายไป จากนั้นร่างก็แยกตัวเป็นสายลมไร้รูปร่างหอบหนึ่ง ห่อหุ้มหนึ่งคนหนึ่งดาบกระโดดข้ามมิติออกไป
…
นครตราชั่ง
ลู่เซิ่งถือดาบคู่ สัตว์ประหลาดเงาดำสามหน้าที่มีแขนหลายสิบคู่รวมตัวขึ้นด้านหลังเลือนราง
เขายืนอยู่ในโถงแสดงยุทธ์ ณ ชั้นสูงสุดของนครหลวง เผชิญหน้ากับเจ้านครจันทราม่วงผู้ถือหอกยาวสีทองขาวไว้ในมือ
บนผนังสีขาวรอบโถงแสดงยุทธ์ ฝังจุดสีทองเล็กไว้เป็นจำนวนมาก มองดูหยาบแต่กลับให้ความรู้สึกกลมกลืนเนียนละเอียดยิ่ง
“ท่านสามารถใช้ความสามารถสุดกำลังได้เลย ที่นี่เป็นเปลือกของอัครรูปสลักกลืนเมฆาที่ข้าซื้อมาจากเผ่าสัตว์โบราณ ความแข็งแกร่งของมันมากพอจะรองรับการฝึกฝนด้วยพลังทั้งหมดของผู้ปกครอง” จันทราม่วงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพื่อโถงแสดงยุทธ์แห่งนี้ ตอนนั้นข้าได้จ่ายการสั่งสมทั้งหมดสองหมื่นปี ถึงซื้อสิ่งนี้มาจากเผ่าสัตว์โบราณได้”
“ท่านแน่ใจนะว่ามันจะทนทานการต่อสู้ของพวกเราได้จริงๆ” ลู่เซิ่งกังขา
“ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน หากท่านไม่เชื่อจะลองใช้พลังดูก่อนก็ได้” จันทราม่วงพยักหน้า
เมื่อลู่เซิ่งกลับมาก็จัดหาที่พักให้เฮยจิน แล้วส่งนางไปรักษาทันที ต่อมาก็ถูกจันทราม่วงพามาช่วยนางประเมินอาวุธใหม่
ในฐานะมารสวรรค์มายาพิศวงกายอมตะไม่มีวันตาย เรียกได้ว่าลู่เซิ่งเป็นคู่มือที่เหมาะที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงว่าหากใช้พลังมากไปจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ สามารถลงมืออย่างสุดกำลังได้อย่างสมบูรณ์
แต่แม้เปลือกนอกจะบอกว่าประเมินอาวุธ ทว่าลู่เซิ่งเข้าใจเจตนาของจันทราม่วง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางชมดูเขาทำลายสามสำนักอย่างเหี้ยมหาญเกรี้ยวกราด บางทีการต่อสู้ครั้งนี้ อาจมีความคิดเทียบตนเองกับสามสำนักอยู่
นางน่าจะอยากลองประเมินดูว่า ถ้าตนหักหลังกับลู่เซิ่งจริงๆ จะได้รับผลลัพธ์แบบไหน
ลู่เซิ่งสะบัดดาบคู่ในมือ ครั้นเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายชัดเจน เขาก็ไม่เกรงใจอีกแล้วเช่นกัน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ท่านระวังตัวด้วย…” เขาสืบเท้าออกด้านหน้าก้าวหนึ่ง ร่างพลันกลายเป็นสายลม หายไปจากที่เดิม
ยามที่ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ก็มาโผล่ที่ทางซ้ายของจันทราม่วงแล้วฟันใส่คอนางดุจสายฟ้าแลบ
เขาไม่ได้ออมมือ เติมพลังเกือบทั้งหมดใส่ในการฟันครั้งนี้โดยไม่ออมพลังใดๆ ทั้งสิ้น
หอกยาวในมือจันทราม่วงสั่นไหว รอบตัวเหมือนกับมีบุปผาหอกสีทองหลายกลุ่มกระจายตัวราวกับระเบิด
บุปผาหอกทั้งหมดเก้ากลุ่มเบ่งบานอย่างเชื่องช้า สมจริงราวกับมีชีวิต
ดาบและหอกปะทะกันดุจสายฟ้าแลบ
เคร้ง!
ร่างลู่เซิ่งเหมือนกับติดเชื้อ บุปผาหมอกสีทองจำนวนเหลือคณานับระเบิดออกมาอย่างหนาแน่นดังเปรี๊ยะๆ
เขาแค่นเสียงพร้อมกับถอยห่างไปทิ้งตัวลงบนที่ว่างออกมาสิบกว่าหมี่
ทางจันทราม่วงร่างสั่นสะท้าน บุปผาหอกสีทองคุ้มกันร่างสลายไปสามดอก อีกหกดอกที่เหลือพลันหยุดนิ่ง ด้วยถูกพลังยิ่งใหญ่ที่น่ากลัวสายนั้นกระแทกจนสั่นสะท้านแลชาหนึบ
……………………………………….