ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 342 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

แม้ฝนตกหนักติดกันหลายวันทำให้เหล่ากระต่ายป่าหลบอยู่ในโพรงไม่ออกมา

แต่แอ่งน้ำที่สะสมจากน้ำฝนกลับดึงดูดนกน้ำและเป็ดป่าหลายกลุ่ม

สถานการณ์นี้ยิ่งทำให้ท่านอ๋องยุคราชวงศ์ชอบใจไม่น้อย!

เพราะเขาเจอเรื่องที่ท้าทายกว่าการยิงกระต่ายป่าเข้าแล้ว

รายงานรบจากแนวหน้าทั้งหมดล้วนเป็นแค่เศษกระดาษแผ่นหนึ่งสำหรับเขาในยามนี้

ท่านอ๋องที่แต่ไรมาไม่เคยทำอะไรเองถึงกับยอมลุยฝนตกหนักไปล่าสัตว์กลางแอ่งน้ำ

ลูกศรดอกหนึ่งยิงออกไป

นกน้ำตัวหนึ่งร่วงลงทันที

คราบเลือดย้อมผิวน้ำ

ไม่นานก็ถูกเม็ดฝนสาดจนแตกละเอียด

ทว่าคราบเลือดสุดท้ายที่แอ่งน้ำแห่งนี้ได้รับกลับเป็นเลือดสดที่ไหลออกมาจากคอของตัวท่านอ๋องเอง

กระทั่งทหารม้าเหล็กของซ่างกวนซวี่เหยาตีประตูเมืองแตกแล้วดาบของเขาจ่อบนคอของท่านอ๋องผู้นี้ เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“ให้ข้ายิงอีกดอก…แค่ดอกเดียว!”

ซ่างกวนซวี่เหยาในตอนนั้นยังไม่เซื่องซึมเช่นตอนนี้

เขามองคู่ต่อสู้ที่ยอมยกคูเมืองและดินแดนของตัวเองให้คนอื่นผู้นี้อย่างสนอกสนใจ ข้างในไม่เพียงหดหู่ กลับรู้สึกฉงนมากกว่า

ซ่างกวนซวี่เหยาจึงตอบรับคำขอของเขา

ยังปล่อยให้เขายิงจนพอใจ

นึกไม่ถึงเขายิงพลาดดอกสุดท้าย

ลูกศรตกลงในน้ำ

“น่าเบื่อ…น่าเบื่อจริงๆ”

ประโยคนี้กลายเป็นคำสั่งเสียของเขา

……………………

แอ่งน้ำนั้นก็คือบ่อห่านป่าสีชาดที่ซ่างกวนซวี่เหยาตกปลาในปัจจุบัน

ไม่มีใครรู้ชัดว่าปลาตัวแรกมาได้อย่างไร แต่ขอเพียงเป็นที่ที่มีน้ำก็มักจะค่อยๆ มีปลา มีลูกอ๊อด มีนกน้ำ

ทุกครั้งที่อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เขาก็จะหลบมาตกปลาที่นี่

สองหูไม่ฟังเรื่องภายนอก

จุดที่ทำให้เสี่ยวลี่ดีใจยิ่งก็คือครั้งนี้เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาพักอยู่ข้างบ่อห่านป่าสีชาดแค่สามวัน

หากอยู่อีกวันเสี่ยวลี่คงล่วงหน้ากลับเมืองอ๋องเองด้วยว่าทนไม่ไหว

เมื่อเกี้ยวเข้าสู่เมืองอ๋อง

ซ่างกวนซวี่เหยาเปิดม่านมองด้านนอกแวบหนึ่ง

เขาขมวดหัวคิ้วฉับพลัน

ไม่รู้เพราะอะไร

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาผู้ไม่เคยคิดกังวล ไม่ยินดีเรื่องวัตถุไม่ทุกข์โศกเรื่องตัวเองกำลังกลุ้มใจเรื่องใดกัน…

ดีที่ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขา ไม่เช่นนั้นแม้แต่ผู้ถวายงานสี่ห้าคนนี้เป็นต้องตกใจหน้าถอดสี

พวกเขาบางคนทำเพื่อเงิน บางคนทำเพื่ออำนาจ

ทั้งที่ล้วนเป็นบุคคลเลื่องชื่อบนยุทธภพ

กลับยินดีเอาอิสระของตนมาแลกลาภยศอันว่างเปล่า

พวกเขาอาจไม่ได้มองว่าลาภยศเหล่านี้ว่างเปล่า

การเตร่ท่องยุทธภพไร้ที่พึ่งพิงต่างหากที่เป็นการเสียเวลาอย่างหนึ่ง

ไม่ว่าด้วยเหตุใด ตอนนี้พวกเขาล้วนเป็นผู้ถวายงานของวังเจิ้นเป่ยอ๋องแล้ว

กินเงินเดือนเขา เช่นนั้นก็ต้องภักดี

แม้สูญเสียคุณธรรมยุทธภพ หยิบเอาครรลองคลองธรรม

แต่ความซื่อสัตย์ภักดีนี้ยังมีอยู่ไม่น้อย

เกี้ยวมุ่งหน้าบนถนนยาวอย่างมั่นคง

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาอบรมคนยกเกี้ยวสิบหกคนนี้ด้วยตัวเอง

ความคิดพวกเขาเชื่อมถึงกัน เดินหน้าถอยหลังเหมือนคนคนเดียว

ข้างหน้าไกลออกไปสิบจั้งมีสะพานหินแห่งหนึ่ง

ใต้สะพานมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านเมือง

เดิมอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องขาดแคลนน้ำมาก

แต่ในเมื่อซ่างกวนซวี่เหยาตกปลาก็ย่อมชอบน้ำ

ดังนั้นเรื่องแรกที่เขาทำหลังขึ้นเป็นเจิ้นเป่ยอ๋องก็คือสั่งคนขุดคลองสายหนึ่ง

ดึงน้ำในแม่น้ำจักรพรรดิที่ไกลออกไปกว่าร้อยลี้มาถึงในเมืองอ๋องของตน

เมื่อทำสิ่งที่ชาวบ้านเหน็ดเหนื่อยสิ้นปลืองทรัพย์สินเช่นนี้ก็กินเวลาสามปีเต็มถึงสิ้นสุด

ตอนใกล้ถึงริมแม่น้ำ ซ่างกวนซวี่เหยาเปิดม่านบนเกี้ยวอีกครั้ง

เขาอยากดูทางน้ำกับสะพานหินที่ตนสร้าง

แม้เคยผ่านไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่มองก็ทำให้เขาพึงพอใจ

ทว่าเกี้ยวของเขาหยุดลงกะทันหันตอนกำลังจะข้ามสะพานหิน

คนยกเกี้ยวสิบหกคนนี้ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ

ซ่างกวนซวี่เหยาถอนหายใจ

สิ่งที่ต้องมาก็ยังต้องมา

เพียงแต่เขาถอนหายใจแล้วหยิบกาโลหะผสมทองแดงสองชั้นอันหนึ่งขึ้นมาจากข้างเท้า

สิ่งที่ใส่อยู่ข้างในคือน้ำเดือดที่ต้มก่อนออกเดินทางวันนี้

จนถึงตอนนี้เย็นลงประมาณสองส่วนแล้ว

น้ำร้อนแปดส่วนเหมาะชงชาที่สุด

ในเมื่อซ่างกวนซวี่เหยาหยิบน้ำที่เหมาะสมที่สุดออกมาแล้ว ไหนเลยจะไม่หยิบชาที่ดีที่สุดออกมา

เขาหยิบโต๊ะตัวเล็กกับเครื่องชาชุดหนึ่งมาจากกล่องไม้ข้างเกี้ยวอีกครั้ง

แต่เครื่องชาของเขามีแค่จอกเรียบๆ ใบหนึ่ง

ธรรมดามากจริงๆ

บางคนให้ความสำคัญกับพิธีการขั้นตอนดื่มชาเป็นที่สุด

ถึงขั้นอาบน้ำจุดธูปและถือศีลหลายวันเพื่อใบชาหายากหยิบมือหนึ่งได้โดยไม่ลังเล

เพื่อให้ปากลิ้นปอดและท้องไส้ของตนสะอาด

มีเพียงร่างกายสะอาดเช่นนี้จึงจะลิ้มรสความมหัศจรรย์นับหมื่นในชาได้

แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับไม่เป็นเช่นนั้น

เห็นเพียงเขาหยิบเศษใบชาจำนวนหนึ่งใส่จอกตามใจนึก

จากนั้นเทน้ำร้อนลงไป

เหตุใดเจิ้นเป่ยอ๋องผู้สง่าผ่าเผยถึงดื่มเศษใบชา

ความจริงแต่เดิมนี่ล้วนเป็นใบชาที่ดียิ่ง…

แต่เขาจงใจสั่งให้คนบดละเอียดจนกลายเป็นเศษใบชาทั้งหมด

เพราะซ่างกวนซวี่เหยาคิดว่าชงชาเช่นนี้รสชาติเข้มกว่า มีกลิ่นสุราอยู่บางๆ ด้วย

ดูเหมือนเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาผู้นี้ไม่เพียงโง่เขลา กระทั่งรสนิยมก็แปลกอย่างยิ่ง

แต่เขาไม่ได้ดื่มชามาตลอดทาง เหตุใดต้องเริ่มชงชาตอนนี้

นี่ก็ต้องลองถามเสี่ยวลี่กับคนยกเกี้ยวของเขาแล้ว

คนยกเกี้ยวสิบหกคนเห็นสัญญาณมือของเสี่ยวลี่ถึงได้หยุดฝีเท้า

และเสี่ยวลี่เห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่บนสะพานถึงได้ส่งสัญญาณมือให้เหล่าคนยกเกี้ยว

เสี่ยวลี่ขี่ม้าถือกระบี่เดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า

เขาอยากดูว่าเป็นใครกันถึงกล้าฝ่าฝืนคำสั่งเบิกทางที่วังอ๋องประกาศและยืนจังก้าอยู่บนหัวสะพานเช่นนี้

เดินเข้ามาถึงพบว่าคนผู้นี้หันหลังให้ตน

แต่สวมหมวกบนศีรษะกลับด้าน

พอมองไกลๆ ย่อมมองผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเสี่ยวลี่เดินเข้าไป

คนผู้นี้หันมาอย่างเชื่องช้า

ทว่ามีเงาคนสะท้อนมาจากข้างหลังเขาอีกเงาหนึ่ง

ไม่ว่าเสื้อผ้า รูปร่างหรือหน้าตา สองคนนี้เหมือนกันไม่มีผิด!

ตอนยืนซ้อนกันดูไม่ออกเลยว่าข้างหลังยังมีอีกคน

ในมือซ้ายของทั้งสองล้วนถือโคมไฟ

โคมไฟสุดธรรมดาที่ติดด้วยกระดาษขาว

ข้างในยังมีไฟลุกไหม้ส่องแสงอยู่เนือยๆ

แม้เป็นตอนกลางวันก็สะดุดตาไม่น้อย

“ท่านรอใครอยู่ เหตุใดมายืนบนถนนไม่ทำตามคำสั่งเบิกทางของวังอ๋อง”

เสี่ยวลี่เอ่ยถามเสียงดุดัน

“พวกเราต้องจัดงานศพ”

คนทางซ้ายกล่าว

“คำสั่งเบิกทางประกาศได้ตามเวลา แต่คนตายเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ใช่หรือ”

คนทางขวากล่าวต่อ

แม้สองคนนี้อ้าปากพูดแล้ว

แต่ถ้าก้มหน้าฟังแค่เสียงกลับเหมือนคนเดียวกันไม่มีผิด

พูดจบทั้งสองก็เดินลงสะพานอย่างเชื่องช้า

ทว่าหยุดฝีเท้าตอนกำลังจะเดินลงสะพานหิน

เสี่ยวลี่รู้สึกได้ว่าสภาวะของทั้งสองถึงขั้นสุดยอดแล้ว

พลังปราณสั่นสะเทือนด้วยไอสังหาร ถึงขั้นทำให้สะพานหินใต้ฝ่าเท้าสั่นไหวเล็กน้อย

สองคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่

ดูท่าพวกเขาไม่ได้แฝงเข้ามาในเมืองอ๋องแค่วันสองวัน

แต่ขุนนางใหญ่อย่างตนกลับไม่รู้สักนิด…

ในใจเสี่ยวลี่พลันขายหน้ายากรับไหว

รู้สึกตัวเองบกพร่องในหน้าที่อย่างยิ่งโดยแท้จริง…

“ใครตายหรือ งานศพรีบร้อนปานนี้?”

เสี่ยวลี่กล่าว

เห็นอีกฝ่ายไม่ได้มาดี

เสี่ยวลี่อยากพูดอีกสองสามประโยคเพื่อถ่วงเวลาเล็กน้อย

แต่สองคนนี้กลับเมินคำพูดของเสี่ยวลี่

ใครตายไม่จำเป็นต้องชี้แจง

พวกเขายืนอยู่ที่นี่ ย่อมรอคนตายมา

แต่ที่มาล้วนเป็นคนเป็น ไม่มีโลงศพสักใบ แล้วงานศพนี้จะเริ่มจากตรงไหน

แม้ตอนนี้มีแต่คนเป็น

คนเป็นทั้งหมดยี่สิบสองคน

แต่คนเป็นกลายเป็นคนตายได้ในชั่วพริบตา

อย่างน้อยสำหรับสองคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

การเตรียมโคมไฟงานศพไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ส่องทางให้ร่างที่ตายแต่วิญญาณยังไม่ดับสูญไปเกิดใหม่ก็เป็นเรื่องง่ายแค่พลิกฝ่ามือ

ทั้งสองยืนนิ่งตรงหัวสะพานครู่หนึ่ง

จากนั้นเดินหน้าทีละก้าว

มั่นคงและสุขุม

ให้ความรู้สึกเด็ดเดี่ยวไม่อาจสั่นคลอน

นี่เป็นการตอบไร้เสียง

บอกเสี่ยวลี่ว่างานศพจำเป็นต้องทำ

หรือก็คือต้องมีคนตายแน่นอน

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาในเกี้ยวเพิ่งลืมตา

ตั้งแต่เขาเทน้ำอุณหภูมิเหมาะสมลงในจอกชาเขาก็เริ่มหลับตานับเงียบๆ

นับจากหนึ่งถึงหนึ่งร้อยห้า

ทุกครั้งที่นับล้วนยาวนานเท่าที่เป็นไปได้

เมื่อนับเสร็จชาตรงหน้าก็ชงเสร็จแล้ว

เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามองน้ำชาเข้มข้นในจอกและยิ้มเล็กน้อย

จากนั้นยกจอกชาขึ้นมาจิบ

สิ่งที่ต้องระวังที่สุดในการดื่มชาก็คือการดื่มอึกใหญ่

เขาย่อมเข้าใจหลักนี้ดี

จอกชาเล็กเช่นนี้เพียงพอให้จิบสิบเจ็ดสิบแปดคำ

ในระหว่างที่เขาดื่มชา

ผู้ถวายงานสี่คนที่เหลือล้วนลงม้ายืนอยู่ตรงหน้าเกี้ยว

เสี่ยวลี่ยังคงคุมเชิงกับสองคนนี้

สิ่งที่ต่างกับท่าทางเคร่งขรึมตึงเครียดอย่างยิ่งของเสี่ยวลี่

คือสองคนนี้กลับทำตัวสบายยิ่งนัก

ประหนึ่งลมอ่อนพัดต้นหลิวบาง

จังหวะใต้ฝ่าเท้าก็ค่อยๆ ว่องไวขึ้น

เหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์ในตระกูลใหญ่สองคนเดินเล่นในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง

ทันใดนั้นนัยน์ตาของทั้งสองพลันเปล่งแสงสว่าง

แสงสว่างพุ่งตรงเข้าหัวใจและช่องท้องของเสี่ยวลี่เหมือนฟ้าแลบสายหนึ่ง

ตอนได้สติอีกครั้ง บนมือสองคนนี้กลับมีมีดสั้นเพิ่มมาเล่มหนึ่ง

เป็นมีดแบบที่หาได้ทั่วไป

ไม่มีจุดแปลกตรงไหนเลย

เสี่ยวลี่ไม่มีทางใส่ใจมีดธรรมดาเช่นนี้

ไม่ว่าด้วยฐานะหรือขั้นฝึกยุทธ์ของเขา

ล้วนไม่มีทางให้ความสำคัญกับมีดธรรมดาเล่มหนึ่ง

ในสายตาเขามันไม่ต่างอะไรกับเหล็กทองแดงไร้ประโยชน์

ด้วยทั้งสองเข้าใกล้เสี่ยวลี่ขึ้นเรื่อยๆ

เสี่ยวลี่ก็ชักกระบี่ออกอย่างเชื่องช้า

คนยกเกี้ยวสิบหกคนข้างหลังถึงกับกลั้นหายใจ

มองจดจ่ออยู่ข้างหน้า

เหตุใดผู้ถวายงานสี่คนที่เหลือไม่มาช่วยเหลือสักหน่อย

เพราะพวกเขาต่างรู้นิสัยใจคอของเสี่ยวลี่เป็นอย่างดี…

เกิดเรื่องเช่นนี้ในเมืองอ๋อง คนที่โมโหที่สุดก็คือเขา

หากปัญหาเช่นนี้ยังต้องให้คนอื่นยื่นมือช่วย ชาตินี้คงก้าวออกจากเงามืดนั้นไม่ได้

เพียงแต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาที่นั่งอยู่ในเกี้ยวกลับถอนหายใจเบาๆ

ในใจเขา

เป็นตายแพ้ชนะชัดเจนแต่แรกแล้ว

ยังไม่รอสองคนนี้ลงมือ!

เสี่ยวลี่ก็ออกกระบี่ก่อน

เงาร่างของเขาพลิกอยู่กลางอากาศ ในกระบี่เดียวก็เปลี่ยนแปลงแปดทิศติดกันแล้ว

ชั่วขณะหนึ่ง กระทั่งแม่น้ำใต้สะพานหินยังชะลอการไหล

เสียงแหวกอากาศของปราณกระบี่ดังหวีดหวิว

เห็นเงาร่างเต็มผืนฟ้าจู่โจมจากแปดทิศรวมถึงกระบี่มากเล่ห์ที่ไม่อาจหลบเลี่ยง

สองคนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด

ก้มหน้า

ผ่อนลมหายใจ

เป่าโคมไฟสีขาวที่ถือในมือดับมอด

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท