‘ครืน!’
หนวดแมงกะพรุนทั้งห้าปลุกกระแสคลื่นใต้น้ำจนปั่นป่วนและเกิดฟองอากาศหนาทึบเข้าพันร่างของ ‘ฮวง’
‘ฮวง’ ก็เหมือนมัจฉาที่ปราดเปรียวและพราวเสน่ห์ มันว่ายเฉียง นอนตะแคง บิดเอวอวบหนา หลบหลีกการเกี่ยวกระหวัดและฟาดตบของหนวดแมงกะพรุนได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งในกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ มันไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลย ราวกับกระแสน้ำกำลังควบคุมเจ้ายักษ์ใหญ่นี่ให้เคลื่อนไหวหลบหลีกด้วยกระบวนท่ายากขั้นสูงในรูปแบบต่างๆ
เสียงดังครั่นครืน…ก้นสมุทรสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สิ่งที่อยู่ในเหวลึกราวกับเกิดโทสะ หนวดแมงกะพรุนประหลาดอันน่าพรั่นพรึงแต่ละเส้นโผล่ออกมาจากเหวอันมืดมิดประหนึ่งดอกไม้เบ่งบาน ก่อให้เกิดซากตะกอนฟุ้งกระจายจำนวนมาก
มันแยกเขี้ยวสยายกรงเล็บ ราวกับจะกวาดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดลงเหวลึก
พื้นผิวของหนวดเหล่านี้เต็มไปด้วยริ้วรอยขาดแหว่ง เหมือนภาพวาดสมบูรณ์แบบที่ถูกเช็ดออกไปส่วนหนึ่งอย่างลวกๆ ถ้วยดูดขนาดมหึมามีหนามแหลมขยับดุกดิกเบาๆ
“ดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเจ้าเลย น่าเสียดายที่จิตวิญญาณเกือบจะถูกทำลายหมดแล้ว”
ท่านโหราจารย์พิจารณาจากพื้นผิวของแมงกะพรุนซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยขาดแหว่งแล้ว จึงวิเคราะห์ออกมาว่าเป็นสัตว์ประหลาดในเหวลึก
“สมกับที่เป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า” ต้าฮวงเอ่ยเสียงเรียบ เขาลอยตัวอย่างสวยงามเพื่อหลบหลีกหนวดแมงกะพรุนสามเส้นที่ฟาดมา
หนวดฟาดลงที่ก้นสมุทรก่อให้เกิดผลประหนึ่งแผ่นดินไหว ซากตะกอนฝุ่นโคลนลอยคลุ้งเสมือนควัน ทำให้น้ำทะเลที่เคยใสอยู่แต่เดิมกลายเป็นกระแสน้ำขุ่น
พลังใดๆ ในโลกล้วนมีการจัดเรียงและผสมผสานอย่างมีเอกลักษณ์ วัตถุที่ต่างกันมีริ้วรอยที่ต่างกัน ตรรกะลึกซึ้งของปรมาจารย์ค่ายกลคือการตีความรอยยับย่นเหล่านี้ และเบี่ยงซ้ายบ่ายขวาเพื่อหลบเลี่ยงอย่างระมัดระวัง…
“เมื่อเข้าใจหยินหยาง ธาตุทั้งห้า และดินน้ำลมไฟอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็จะสามารถควบคุมพลังทั้งหมดบนโลกได้…มาอีกแล้ว รีบไปทางขวาเร็ว แวบไปด้านหลัง”
ท่านโหราจารย์เอ่ยพลางชี้แนะไปพลาง
…ต้าฮวงเน้นเสียงเอ่ยเจือโทสะว่า
“ข้าไม่ใช่ศิษย์ท่าน!”
หลังจากแสดงอารมณ์แล้ว มันจึงเอ่ยต่อว่า
“ดังนั้นข้าจึงคิดมาตลอดว่าโหรนั้นเป็นศาสตร์พิเศษที่สุดในบรรดาระบบทั้งหมด ปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่สามารถควบคุมพลังส่วนใหญ่บนโลกได้ และการดำรงอยู่ของคนเช่นเจ้าก็สามารถสอดส่องความลับสวรรค์ และสังเกตชะตากรรมได้
“อย่างไรก็ตาม แม้การดำรงอยู่ของเทพกู่และเทพพ่อมด เทพกู่มีวิชาเทียนกู่ เทพพ่อมดมีวิชาพยากรณ์ และสามารถสังเกตแง่มุมของโชคชะตาได้เป็นครั้งคราว แต่ท่านก็เป็นเพียงปรมาจารย์ลิขิตฟ้าตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับทำในสิ่งที่ระดับสุดยอดยังทำไม่ได้
“แต่หากโหรเป็นระบบที่ดำรงอยู่เพื่อกำเนิดผู้พิทักษ์ประตู เช่นนั้นก็สามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว”
‘ตูม!’
ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของ ‘สหาย’ ที่ทำการไล่ล่าและสกัดกั้น หนวดเส้นหนึ่งจึงฟาดลงบนหน้าท้องของสัตว์ประหลาดได้สำเร็จ ผิวหนังและเนื้อปริแตกออกทันที เลือดสดๆ ไหลฟุ้งออกมาเป็นดวงใหญ่ ย้อมให้น้ำทะเลเป็นสีแดงสดชวนสังเวช
ท่านโหราจารย์ส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ และเอ่ยชมว่า
“ร้ายกาจ พลังของแส้นี่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงขั้นหนึ่ง”
‘ฮวง’ กล่าวด้วยเสียงเข้มว่า
“เป็นหนึ่งในพลังเหนือธรรมชาติโดยกำเนิด ในช่วงโตเต็มวัย หนวดของมันสามารถฉีกร่างกายของข้าเป็นชิ้นๆ ได้ แน่นอนว่าร่างกายหาใช่ขอบเขตความเชี่ยวชาญของข้า
“ในสมัยโบราณ มันต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกับ ‘มังกร’ ในทะเลลึก การซัดโหมของคลื่นยักษ์เกือบทำให้แผ่นดินใหญ่จิ่วโจวครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้น้ำ การต่อสู้ครั้งนี้ทำลายสมดุลระหว่างเทพมาร และเปิดฉากโหมโรงสู่จุดจบของเทพและมาร
“หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ในทะเลลึกจึงเหลือเจ้ายุทธจักรเพียงหนึ่งเดียว น่าเสียดายที่ไม่ใช่มัน แต่เป็นมังกร”
ท่านโหราจารย์ส่งเสียง ‘อ้อ’
“มิน่าเล่าข้าจึงไม่รู้สึกถึงคลื่นจิตเดิมของมัน”
ต้าฮวงเอ่ยว่า “แมงกะพรุนมิได้ตายไปเปล่าๆ ยังได้ควบรวมปณิธานของมันให้คงอยู่ในสนามรบแห่งนี้เป็นเวลาหลายปีไม่รู้จบ”
“เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่น่ากลัวนัก!” ท่านโหราจารย์ประเมินค่า
พูดจบ เดรัจฉานฮวงก็กำลังจะข้ามผ่านอาณาเขตผืนนี้
การรุกโจมตีของหนวดแมงกะพรุนบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ มันฟาดจนก้นสมุทรปริแตก เคราะห์ดีที่บริเวณนี้ไม่มีภูเขาไฟใต้ทะเล มิเช่นนั้นคงระเบิดไปนานแล้ว
“มังกรฆ่ามันแล้ว ทว่าจิตวิญญาณก็ได้รับความเสียหาย พลังการต่อสู้ไม่ฟื้นคืนสู่จุดสูงสุดอีกต่อไป ดังนั้นต่อมาจึงถูกยักษ์สามตาดึงเอ็นมังกรและตัดหัวมังกร น่าเสียดายที่จิตวิญญาณของมันไม่สมบูรณ์ ข้ามิอาจดูดซับมันได้ และไม่รู้ด้วยว่าผู้ใดจะได้รับประโยชน์จากพลังนี้ในอนาคต”
ฮวงเอ่ยหยั่งเชิงว่า
“มิเช่นนั้น ท่านก็ช่วยข้าดูดซับจิตวิญญาณของมันก่อน แล้วข้าสัญญาว่าจะทำเรื่องหนึ่งให้ท่าน”
หากสามารถดูดซับจิตวิญญาณที่หลงเหลือของแมงกะพรุนได้ ร่างกายของมันก็จะสัมผัสถึงระดับเหนือมนุษย์
ท่านโหราจารย์เป็นผู้พิทักษ์ประตู เชี่ยวชาญด้านค่ายกลและการกลั่นน้ำอมฤต บางทีอาจสามารถสกัดจิตวิญญาณในแมงกะพรุนออกมาได้
ท่านโหราจารย์หาได้สนใจมัน
ฮวงจึงได้แต่เดินหน้าด้วยความเสียดาย หลังจากแส้ฟาดไปสามครั้งก็ออกจาก ‘สนามรบ’ แห่งนี้ได้โดยสมบูรณ์ และหายไปในทะเลลึกอันไร้จุดสิ้นสุด
…
ซินเจียงตอนใต้
ในอาคารอิฐแดงฝ่ายลี่กู่ ลี่น่าสวมเสื้อคลุมบาง กางเกงขาสั้นเผยให้เห็นต้นขา กำลังนอนแผ่หลับสนิทอยู่บนเตียง
ทันใดนั้น นางก็ตกใจตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวดรุนแรง เมื่อลืมตาขึ้นแล้วหันไปก็เห็นเสี่ยวโต้วติงตัวแน่นอวบอ้วนกำลังกอดและกัดแขนนางอยู่
‘ซู้ด’ ลี่น่าหายใจติดขัดด้วยความเจ็บปวด แล้วใช้ฝ่ามือตีลูกศิษย์ให้ตื่น
เสี่ยวโต้วติงลืมตาอย่างสะลึมสะลือ ก่อนขยี้ตาพลางกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยว่า
“อาจารย์ ข้าฝันถึงของอร่อย แต่ไม่ว่าจะกัดอย่างไรก็กัดไม่เข้า”
พูดจบ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าอมทุกข์
ลี่น่าชี้แขนตัวเองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ไอ้หยา อาจารย์ถูกกัดแล้ว”
สวี่หลิงอินเห็นรอยฟันก็ตกใจเป็นการใหญ่ ก่อนร้องโวยวายเกินจริง
“นี่มันรอยกัดของเจ้า” ลี่น่าเอ่ยเสียงดัง
“ไม่ใช่ข้า”
สวี่หลิงอินรีบปฏิเสธ นางจำไม่ได้เลยว่าตัวเองเคยทำเรื่องเช่นนี้ อาจารย์ต้องคิดฉวยโอกาสยึดเนื้อของนางในวันพรุ่งนี้แน่
“เป็นเจ้าที่กัดข้า”
“ไม่ใช่ข้า”
สองศิษย์อาจารย์เริ่มทะเลาะและโจมตีกันด้วยคลื่นเสียง จนกระทั่งท้องของสวี่หลิงอินส่งเสียง ‘โครกคราก’
ลี่น่าจึงเอ่ยอย่างหัวเสียว่า
“ปริมาณเนื้อที่เจ้ากินเกือบจะตามข้าทันแล้ว ข้ายังไม่หิวเลย เจ้าเอาอะไรมาหิวกัน”
ในฝ่ายลี่กู่ ปริมาณในการบริโภคอาหารไม่เพียงแสดงถึงพลังวิเศษ ยังแสดงถึงตบะในระดับที่ชัดเจนด้วย แน่นอนว่าสวี่หลิงอินซึ่งเป็นประเภทวิ่งซนไปทั่วและไล่ทุบตีเด็กๆ ในฝ่ายลี่กู่ภายใต้การยุยงของผู้อาวุโสหลายท่าน ย่อมจะกินจุขึ้นอย่างแน่นอน
ทว่าในมุมมองของลี่น่าแล้ว ยังมีบางอย่างผิดปกติอยู่
“ข้าก็แค่หิวหรือเปล่าเล่า” สวี่หลิงอินเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“เจ้าไม่ได้แอบเอาเนื้อให้คนอื่นกินใช่หรือไม่”
ลี่น่าเอ่ยคาดเดา พูดจบ นางก็ปฏิเสธการคาดเดานี้ ศิษย์โง่เขลาผู้นี้จะไปแบ่งอาหารกับผู้อื่นได้อย่างไร
“เจ้าเอาเนื้อไปซ่อนหรือ”
ลี่น่าสะดุดใจ สวี่หลิงอินเป็นคนชอบตุนอาหาร นางมักซ่อนน่องไก่ไว้ในรองเท้าที่ไม่ได้ใส่ จากนั้นเมื่อพบว่ากลิ่นของน่องไก่เปลี่ยนไปก็ไม่อยากกินแล้ว แต่ก็ยังตัดใจทิ้งไม่ลง จึงลองเอาน่องไก่ให้คนในบ้าน
“ข้าเปล่านะ”
สวี่หลิงอินผงะ สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง อาจารย์ถึงกับรู้การกระทำลับๆ ของนาง อาจารย์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“เจ้าซ่อนของเพราะเหตุใด” ลี่น่าเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“วางใจเถอะ ข้าไม่กินมันหรอก”
อากาศที่ซินเจียงตอนใต้ร้อนระอุ เป็นไปไม่ได้ที่จะถนอมเนื้อสัตว์ ส่วนมากจึงมีกลิ่นเหม็นไปแล้ว
สวี่หลิงอินพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้อาจารย์มักจะแย่งกันกินกับนาง ทว่าคำพูดของอาจารย์ก็ยังนับเป็นคำพูด
ดังนั้นจึงประกาศอย่างเป็นการเป็นงานว่า
“ข้าจะเก็บไว้ให้พี่ใหญ่กิน”
เจ้ายังคิดถึงสวี่หนิงเยี่ยนอยู่สินะ…ลี่น่าจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าซ่อนไว้เท่าไรเล่า”
“เยอะแยะเลย!” สวี่หลิงอินอ้าแขนสองข้างทำท่าทางประกอบ ก่อนเอ่ยเสริมว่า
“แต่ข้าไม่บอกท่านหรอก
“พวกอาจารย์บอกว่าทางบ้านข้าไม่มีอะไรกิน มีคนหิวตายทุกวัน หากพี่ใหญ่ทำให้ทุกคนกินอิ่มไม่ได้ ทุกคนก็จะร่วมมือกับคนชั่วทุบตีเขา ข้าให้ของกินกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ทำร้ายพี่ใหญ่ของข้า”
ลี่น่าตะลึงงันในความมืดมิด นางมองเด็กเจ็ดขวบตรงหน้าแล้วไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานาน
“เจ้าคิดถึงบ้านใช่หรือไม่”
ผ่านไปพักใหญ่ ลี่น่าจึงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“อืม!”
สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างแรง
“เช่นนั้นอีกสักพัก พวกเราไปที่ราบลุ่มภาคกลางกันเถอะ” ลี่น่าเอ่ย
“ไม่ได้!”
คำตอบของสวี่หลิงอินอยู่เหนือความคาดหมายของนาง
“เพราะอะไร” ลี่น่าถามด้วยความสงสัย
“เพราะข้ายังอยากเล่นกับแมลงตัวใหญ่ มันบอกว่าจะสอนข้าชกต่อย” สวี่หลิงอินม้วนตัวบนเตียง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคุยโวเหลือเกินว่า “มันเก่งกาจยิ่งนัก ข้าไม่เคยชนะมันเลย”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรอีกแล้ว แมลงตัวใหญ่จากไหนกัน” ลี่น่าฉงนสนเท่ห์
“มีสิ มีสิ” สวี่หลิงอินม้วนตัวเสร็จก็ลุกขึ้นนั่งแล้วเอียงคอคิด
“มันบอกว่ามันชื่อเทพกู่”
ลี่น่าหนังศีรษะชาหนึบในพริบตา ผมแต่ละเส้นลุกชัน
…
หลังอาหารเย็น สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องพลางหายใจเข้าออกเพื่อส่งถ่ายพลังปราณ
ครึ่งชั่วยามให้หลัง เมื่อการปรับลมหายใจสิ้นสุดลง เขาจึงลืมตาขึ้น
“ข้าสามารถสูบพลังวิญญาณที่อยู่ใกล้เคียงได้ในเฮือกเดียว แต่นอกจากบำรุงร่างกายแล้ว พลังวิญญาณก็หาได้มีประโยชน์อะไรกับข้า และผลลัพธ์ของการบำรุงร่างกายก็มีอย่างจำกัดมากเช่นกัน การปรับลมหายใจเข้าออกก็มิได้มีประโยชน์มากนัก”
หลังจากก้าวเข้าสู่ระดับขั้นหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ได้พบกับคอขวด
ไม่ต้องเอ่ยถึงระบบอื่นแต่เป็นระบบจอมยุทธ์นี่ละ ปัญหาคอขวดที่แท้จริงก็คือตอนที่ทะลุผ่านขั้นสุดยอด เช่น เมื่อขั้นเก้าเลื่อนขึ้นสู่ขั้นแปด จะต้องมีคนช่วยเปิดประตูสวรรค์และชักนำพลังวิญญาณแห่งฟ้าดินเข้าสู่ร่างกาย กำเนิดเป็นพลังปราณ
ขั้นแปดถึงขั้นเจ็ด ต้องระเบิดตับและอดหลับอดนอนหลายวัน
ยิ่งขั้นสูงขึ้น การข้ามขั้นก็ยิ่งยากลำบาก และตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือโค่วหยางโจว
แต่เมื่อเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงวิถีแห่งความรู้แจ้ง ความจริงแล้วไม่มีคอขวดอะไร ผู้ที่มีพลังวิเศษดีก็จะไวหน่อย หากพลังวิเศษพร่องย่อมจะช้าไปเล็กน้อยเท่านั้น
ตามหลักแล้ว ตราบใดที่เลื่อนขึ้นขั้นหนึ่งได้สำเร็จ เช่นนั้นการที่เขาก้าวจากจุดเริ่มต้นถึงครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปตามครรลอง
ทว่าบัดนี้ เขาพบกับคอขวดแล้ว ตบะของเขาได้นำมาสู่สภาวะชะงักงันแล้ว
“ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่แม้ว่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจะหายากดุจขนหงส์เขากิเลน แต่เมื่อยืดเวลาขยายไปถึงพันปีก็ยังมีอยู่สองสามคน ทว่าครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์นั้น ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ที่ข้ารู้กลับมีเพียงเสินซูผู้เดียว
“มิน่าหลังก้าวสู่ขั้นหนึ่ง ข้ามักรู้สึกตงิดใจว่ามาถึงขีดจำกัด ถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ข้าไม่ได้รับเมื่อก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์”
นับแต่นี้ไป ทุกขั้นตอนของขั้นหนึ่งล้วนเป็นคอขวด
“ในเมื่อเสินซูเลื่อนขึ้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ได้ เช่นนั้นย่อมมีหนทางที่สอดคล้อง ก่อนงานอภิเษกสมรส จะต้องหาเวลาไปภูเขาสือว่านสักรอบ”
นอกจากนี้ สวี่ชีอันยังมีแนวคิดสองประการ
ประการแรกคือ จัดดอกไม้!
เทพดอกไม้เป็นการกลับชาติมาเกิดของต้นไม้อมตะ ครอบครองจิตวิญญาณของเทพมาร และกลืนกินพลังวิญญาณไร้ประโยชน์ เช่นนั้นการดูดซับจิตวิญญาณของเทพดอกไม้เล่า ยิ่งไปกว่านั้น แม้เทพดอกไม้จะไม่มีจิตวิญญาณ แต่ผลกระทบต่อร่างกายตนในวิชาบำเพ็ญคู่ของลัทธิเต๋าสมัยโบราณก็แข็งแกร่งกว่าบำเพ็ญเพียรเอง
ซึ่งสอดคล้องกับทางสายใหญ่ที่หยินหยางบรรจบกันพอดี
ประการที่สอง คือ สงบไฟแห่งกรรม!
ลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรมสำเร็จและได้เลื่อนขึ้นเป็นเซียนครองพิภพ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีไฟแห่งกรรม การแผดเผาร่างกายด้วยไฟแห่งกรรมถือเป็นข้อเสียที่ติดมาโดยธรรมชาติของวิธีบำเพ็ญในนิกายมนุษย์ ยากจะขุดรากถอนโคน เพียงแต่หลังก้าวสู่ขั้นหนึ่งแล้ว ลั่วอวี้เหิงจึงอาศัยตบะเพื่อยับยั้งไฟแห่งกรรมได้
สำหรับนางแล้ว ไฟแห่งกรรมที่แผดเผาร่างกายไม่ได้คุกคามนางอีกต่อไป
ในฐานะเซียนครองพิภพแห่งลัทธิเต๋า ลั่วอวี้เหิงควรเป็นคู่บำเพ็ญที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก
สวี่ชีอันพ่นลมหายใจอย่างเชื่องช้า แล้วเบนความสนใจไปยังสถานการณ์ปัจจุบัน
“อีกไม่นานเทพพ่อมดจะหลุดพ้นจากผนึก รอยแตกระหว่างคิ้วลามไปจนถึงริมฝีปากของรูปปั้นนักปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ได้กระจายไปทั่วไปหน้า นี่เหลือเชื่อยิ่งกว่ารูปปั้นนักปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ในจี๋เยวียนของซินเจียงตอนใต้นั่นเสียอีก
“อืม นั่นเป็นเรื่องที่เกิดไปเมื่อเดือนเศษ ตอนที่ปลีกเวลาไปพบเสินซู ยังต้องไปจี๋เยวียนรอบหนึ่งเพื่อดูว่าผนึกนั้นคลายไปเท่าไรแล้ว”
จุดประสงค์เดียวที่เขาไปคิดดอกเบี้ยที่เมืองจิ้งซานก็เพราะการดูสถานะของเทพพ่อมดเป็นเรื่องที่รอไม่ได้แล้วเช่นกัน
หลังจากดูเสร็จ เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเลียนแบบเว่ยเยวียน และอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์พร้อมวิญญาณวีรบุรุษผู้กล้ามาซ่อมแซมผนึก
เหตุผลคือ
ข้อแรก พลังของดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอกถูกผลาญมากเกินไป ยากที่จะบรรจุพลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณวีรบุรุษได้ในเวลาอันสั้น
ตอนแรกพลังของอาวุธเวทมนตร์สองชิ้นของท่านโหราจารย์เกือบหมดลงในชิงโจว หลังรอจนฟื้นคืนกลับมาบางส่วนแล้ว จ้าวโส่วก็พาพวกมันไปยังชายแดนตอนเหนืออีก กินเวลาไปสิบสามวัน
ข้อสอง ค่าตอบแทนของการอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์และวิญญาณวีรบุรุษนั้นสูงเกินไป
ตอนแรกที่เว่ยเยวียนอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์มาด้วยร่างของขั้นสองนั้น ร่างกายของเขาได้พังทลายลง และชดใช้ค่าตอบแทนเป็นร่างไร้ชีวิต
บัดนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ซึ่งเทียบเว่ยเยวียนไม่ได้ ทว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนในราคาที่เจ็บปวดมากเช่นกันเป็นแน่ อีกทั้งสำนักพ่อมดก็ยังมีพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่อยู่อีกหนึ่งคน เจ้าแห่งวัสสานหนึ่งคน และปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณอีกสองคน
ผลของการเลียนแบบเว่ยเยวียน มีโอกาสสูงที่จะตาย ณ เมืองจิ้งซานเหมือนกับเว่ยเยวียน
เมื่อเสือสองตัวสู้กัน ตัวหนึ่งตายตัวหนึ่งบาดเจ็บ แดนประจิมก็จะระเบิดเสียงหัวเราะ
“ดังนั้นตอนนี้การผลักดันตบะให้ถึงระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์เร็วหน่อยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่ออาณาประชาราษฎร์ในที่ราบลุ่มภาคกลาง น้ามู่ อย่าได้โทษหลานว่าด้อยกว่าเดรัจฉานเลย”
สวี่ชีอันดีดนิ้วดับเทียนไขแล้วเปิดประตูจากไป
ค่ำคืนมืดมิด โคมแดงแต่ละดวงซึ่งจุดไว้ใต้ชายคาพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางสายลมเย็นในวสันตฤดู
ในลานบ้าน ระเบียงทางเดินและบริเวณอื่นๆ เงียบสงัดไร้เงาผู้คน
สวี่ชีอันเอนตัวไปทางห้องของมู่หนานจือเงียบๆ แล้วเคาะประตูเบาๆ สองที
ในห้องเงียบสนิท ไม่มีคนตอบรับ
ถึงกับแกล้งหลับเชียวรึ…สวี่ชีอันเคาะประตูอีกครั้ง
เสียงแห่งความระแวดระวังของมู่หนานจือดังมา
“ทำอะไรน่ะ”
ถามได้ดีนี่ เจ้าเข้าใจข้าจริงๆ…สวี่ชีอันใช้พลังปราณถอดสลักประตู ก่อนเคาะประตูแล้วเข้าไป อุณหภูมิในห้องกำลังดี ไม่ร้อนไม่เย็น กลิ่นหอมเย้ายวนที่คุ้นเคยยังลอยอวลอยู่ในอากาศ
นี่คือกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเทพดอกไม้หลังจากปลุกจิตวิญญาณ
ในห้องมืดสนิท ทว่าไม่กระทบต่อการมองเห็นของสวี่ชีอัน
ม่านเตียงห้อยระย้า ด้ายโค้งงดงามประดับเป็นดิ้นอยู่ด้านข้างของผ้า
มู่หนานจือเลิกคิ้วพลางว่า
“เข้ามาในห้องผู้อาวุโสกลางดึกนั้นใช้ได้ที่ไหน รีบออกไปเลย”
สวี่ชีอันหัวเราะเสียงเย็น
“น้ามู่ หลานกลัวว่ากลางดึกท่านจะเหงา เลยตั้งใจมานอนด้วย”
……………………………………….