ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 572 การประชุมแลกเปลี่ยน(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 572 การประชุมแลกเปลี่ยน(1)

เมื่อได้ฟังคำพูดของลูกชาย ใบหน้าของซูหว่านอี๋ก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ “ถ้าเป็นแค่การบังเอิญติดต่อกัน เชี่ยนเชี่ยนจะรู้ได้ยังไงว่าวันนี้ลูกจะกลับมา”

“แม่ครับ เราก็แค่เขียนจดหมายติดต่อกันเป็นครั้งคราว ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้วจริง ๆ ครับ วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ” หลังจากที่ฉินเคอวั่งพูดจบ เขาก็รีบเดินไปที่สวนหลังบ้าน

เมื่อเห็นลูกชายของตนเป็นแบบนี้ ซูหว่านอี๋ก็เริ่มสงสัยมากขึ้น หันไปหาฉินมู่หลาน แล้วพูดว่า “น้องชายของลูกต้องมีอะไรบางอย่างกับเชี่ยนเชี่ยนแน่นอน”

ฉินมู่หลานฟังแล้วก็พูดด้วยอารมณ์ขัน: “แม่คะ เคอวั่งโตแล้ว เขาจัดการเรื่องอารมณ์เองได้แล้ว ไม่ต้องกังวลนักหรอกค่ะ”

“นั่นสินะ ไม่ว่าเขากับเชี่ยนเชี่ยนจะเป็นอะไรกัน ก็ปล่อยให้พวกเขาค่อย ๆ พัฒนากันไปเถอะ แม่ไม่ได้สนใจมากหรอก”

ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ ถึงพวกเขาจะมีอะไรบางอย่างจริง ๆ ก็จะบอกแม่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเองนั่นแหละค่ะ”

ซูหว่านอี๋คิดตาม แล้วจึงหยุดกังวลเรื่องนี้

เมื่อเหยาจิ้งจือกลับมาในตอนเย็น หล่อนก็เห็นว่าฉินเคอวั่งกลับมาแล้ว จึงถามเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเซินเจิ้นด้วยความเป็นห่วง และยังถามถึงเซี่ยเหวินปิงด้วย

“ไม่ต้องห่วงนะครับคุณอาเหยา คุณอาเซี่ยอยู่ที่เซินเจิ้นสบายดีครับ”

ระหว่างที่พูดคุยกัน ฉินเคอวั่งยังเล่าเรื่องเกี่ยวกับเซี่ยเหวินปิงเพิ่มด้วย เหยาจิ้งจือจึงรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ฟังดังนั้น

หลังอาหารเย็น นายท่านเหยาได้พูดคุยกับลูกสาว เรื่องที่ว่าจะกลับไปที่บ้านเก่าของตระกูลเหยาด้วย

“พ่อคะ ทำไมจู่ ๆ ถึงจะกลับกันล่ะคะ?”

ทุกคนอยู่ด้วยกันมานานแล้ว เหยาจิ้งจือคิดว่าทุกคนจะใช้ชีวิตแบบนี้กันตลอดไป แต่ไม่คาดคิดเลยว่านายท่านเหยาจะบอกจะกลับไปอยู่บ้าน ด้วยเหตุนี้ ลูกชายคนโตของครอบครัวเขาก็จะกลับไปด้วย

นายท่านเหยาย่อมมองเห็นความไม่เต็มใจในสายตาของลูกสาวเป็นธรรมดา เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ครอบครัวของเราทั้งสองอาศัยอยู่ไม่ไกลกัน ถ้าลูกอยากกลับไปเยี่ยมบ้านก็กลับมาได้เลย เพราะตอนแรกพวกพ่อมาอยู่เพื่อดูแลถวนถวนกับหยวนหยวน แต่ตอนนี้เด็กสองคนนั้นเริ่มโตแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปกันแล้ว”

เมื่อเห็นว่าลูกสาวเงียบไป นายท่านเหยาก็ยิ้มแล้วพูดต่อ: “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา พวกพ่อไม่สามารถอยู่ที่นี่ตลอดไปได้หรอก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยาจิ้งจือก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้า แล้วพูดว่า: “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูจะส่งพวกพ่อกลับไปเมื่อถึงเวลา แล้วต่อไปถ้าหนูมีเวลาว่าง หนูจะกลับไปเยี่ยมนะคะ”

เดิมทีลูกสาวของเขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดพวกเขามากนัก แต่เมื่อผ่านไปเกือบปี ก็เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่เขาอยากเห็นมากที่สุด “จิ้งจือ ต่อไปถ้าพวกพ่อว่างก็จะมาที่นี่บ่อย ๆ นะ” ต่อมาเขาได้พูดคุยเรื่องอาชีพของเหยาจิ้งจือและเซี่ยเหวินปิง

“ลูกกับเหวินปิงต่างก็มีอาชีพของตัวเอง อนาคตของลูกทั้งสองจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน แม้ว่าจะเริ่มต้นช้าไปสักหน่อย แต่ตราบใดที่ลูกเต็มใจทำงานหนัก มันก็ไม่เคยสายเกินไป ฉะนั้นก็ขอให้ลูกตั้งใจทำงานต่อไป ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาบอกพ่อได้เสมอ”

เมื่อเหยาจิ้งจือได้ยินดังนั้น หล่อนก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ได้ค่ะพ่อฉันเข้าใจแล้วค่ะ”

หลังจากที่พ่อกับลูกสาวคุยกันจบ คุณนายเหยาก็มาแล้ว นางมองเหยาจิ้งจือ แล้วให้คำแนะนำอย่างละเอียด

ในวันรุ่งขึ้น ครอบครัวของนายท่านเหยา คุณนายเหยาและเซี่ยเจ๋อเหว่ยก็พร้อมที่จะออกเดินทาง

ถวนถวนกับหยวนหยวน ถูกเลี้ยงดูมาเคียงข้างผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเหยาเป็นส่วนใหญ่ เด็กน้อยทั้งสองจึงกอดขานายท่านเหยากับคุณนายเหยาไว้แน่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า: “ไม่เอา…”

เมื่อได้ยินเสียงของเด็กทั้งสอง คุณนายเหยาก็ใจอ่อนลงทันที จนเกือบจะตอบตกลงและปฏิเสธที่จะไปแล้ว

นายท่านเหยาย่อมไม่อยากห่างจากหลานน้อยทั้งสอง แต่ก็ยังอธิบายกับพวกเขาอย่างดี

“ถวนถวน หยวนหยวน ถ้าพวกหลานคิดถึงปู่ทวดและย่าทวด ก็อย่าลืมมาเยี่ยมพวกปู่ทวดนะ แล้วในอนาคตพวกปู่ทวดก็จะมาเยี่ยมพวกหลานด้วยเหมือนกัน”

ฉินมู่หลานอุ้มเด็กสองคนขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดกับพวกเขาอย่างมีเหตุผล โดนสัญญาว่าจะพาพวกเขาไปเยี่ยมพวกปู่ทวดในอีกสองวัน เด็กน้อยทั้งสองจึงยอมพยักหน้า

คุณนายเหยากลัวว่าตนจะลังเลที่จะจากไปอีก สุดท้ายก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง เพราะกลัวว่าถ้าหันหลังกลับมาดู ตนจะไม่อยากไปแล้ว

หลี่เสวี่ยเยี่ยนเดินตามหลังไป ยิ้มแล้วบอกให้พวกมู่หลาน ไปเยี่ยมบ้านเก่าของตระกูลเหยาบ่อยขึ้น

ฉินมู่หลานพยักหน้ารับ

หลังจากส่งคนออกไปแล้ว พ่อเฒ่าฉินก็มองบ้านที่ว่างเปล่าลงทันใด แล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ: “จู่ ๆ บ้านหลังนี้ก็เงียบเหงาขึ้นซะแล้ว”

คุณย่าฉินก็มีความคิดแบบเดียวกัน แต่ถ้าพวกนายท่านเหยาและอยากกลับไป พวกเขาก็ไม่สามารถยื้อไว้ได้ “ โชคดีที่มีเด็ก ๆ อยู่ที่บ้านด้วย ปกติเลยยังพอมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง”

คำพูดของคุณย่าฉินเป็นเรื่องจริง เมื่อเด็กน้อยทั้งสี่คนเริ่มเล่นซน พวกเขาก็แทบจะพลิกหลังคาได้จริง ๆ

วันนี้ฉินเคอวั่งช่วยดูแลเด็ก ๆ แต่เขารู้สึกเหนื่อยกว่าตอนที่อยู่ที่ไซต์ก่อสร้างเสียอีก

“พี่สาว พวกพี่ต้องทำงานกันหนักมากแล้ว”

เมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของฉินเคอวั่ง ฉินมู่หลานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่านายต้องฝึกฝนให้มากขึ้น ตอนมีลูกของตัวเองจะได้ชิน”

ฉินเคอวั่งได้ยินแบบนั้นก็โบกมือทันที แล้วพูดว่า “พี่สาว เรื่องแบบนี้ยังห่างไกลจากผมเกินไป ผมยังไม่รู้เลยว่าจะมีลูกตอนไหน”

“ดังนั้นนายก็ต้องพยายามให้มากขึ้น”

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาชัดเจนของฉินมู่หลาน ฉินเคอวั่งก็รู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก ราวกับว่าพี่สาวของเขามองทุกอย่างออกหมดแล้ว เขาจึงเงียบขณะหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็วิ่งไปเล่นกับเด็ก ๆ ต่อ

หลังจากอยู่ดูแลลูก ๆ ได้ไม่กี่วัน ฉินมู่หลานกับฉินเคอวั่งก็ต้องไปมหาวิทยาลัยแล้ว ทั้งสองตื่นแต่เช้าและออกไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน

“เคอวั่ง ถ้าจะกลับบ้านก็กลับไปก่อนได้เลยนะ พอดีพี่จะชวนเพื่อนร่วมชั้นในหอพักไปกินข้าวด้วยกัน”

“ครับ”

ฉินเคอวั่งได้ยินแล้วก็พยักหน้ารับ จากนั้นโบกมือลาฉินมู่หลาน

เมื่อฉินมู่หลานรีบไปที่ห้องเรียน เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ก็มาถึงแล้ว เซี่ยปิงหรุ่ยนั่งอยู่ด้านหลังเห็นเธอมาก็รีบโบกมือให้เธออย่างรวดเร็ว “มู่หลาน ทางนี้”

ฉินมู่หลานเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่เธอนั่งลง เซี่ยปิงหรุ่ยก็รีบถามด้วยเสียงแผ่วเบา: “มู่หลาน ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าจะรอให้พวกพ่อของเธอกลับมาก่อน ถึงจะเริ่มตกแต่งร้านใช่ไหม?”

ฉินมู่หลานพยักหน้า แล้วตอบว่า “ใช่ พวกพ่อของฉันกำลังจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ พวกเราแค่ต้องรอ ไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง”

เซี่ยปิงหรุ่ยพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นจึงพูดถึงความคืบหน้าทางฝั่งของหล่อน

“หลังจากที่ปู่ของฉันรู้เรื่องร้านซิ่งหลินกับโรงงานผลิตยา ก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องที่ฉันจะหาคนในบริษัทมาทำงานด้วย แถมยังบอกด้วยว่าเขาแนะนำคุณอาสองสามคนที่เก่งเรื่องการผลิตยาให้เราได้ แต่ปู่ของฉันถามว่าเธอจะติดปัญหาหรือเปล่า ถ้าติดปัญหา ก็จะให้คนในบริษัทมาช่วย”

หล่อนเคยบอกปู่ไปแล้วว่ามู่หลานไม่ว่าอะไร แต่คุณปู่กลับเกรงใจมากขึ้น แล้วบอกให้ไปถามมู่หลานอีกครั้ง

เมื่อฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่าฉันไม่รังเกียจ ถ้าปู่ของเธอแนะนำคนเพิ่มอีกสองสามคนได้ ฉันก็จะดีใจมากเลย”

“ฉันรู้ว่าเธอน่ะไม่รังเกียจหรอก แต่ปู่ของฉันยังคงไม่เชื่อ เธอไม่ต้องกังวล ฉันจะไปคุยเรื่องนี้กับปู่ของฉันตอนกลับไปวันนี้เลย”

“ได้เลย ถ้าคนพวกนั้นมา ฉันจะจัดสถานที่ให้พวกเขาพักเอง”

แต่เซี่ยปิงหรุ่ยกลับโบกมือ แล้วพูดว่า: “ไม่ต้องหรอกมู่หลาน ครั้งล่าสุดที่ปู่ของฉันกับพวกเพื่อนปู่มาหา พวกเขาได้ซื้อบ้านเพิ่มอีกสองหลังแล้ว ดังนั้นเมื่อพวกอาเหล่านั้นมาที่นี่ก็จะมีที่ให้พักอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวล”

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท