ตอนที่ 614 อยู่ใต้อาณัติเป็นอย่างดี
หลังจากกินข้าวเสร็จ เซี่ยไห่กำลังจะเข้าไปล้างหม้อ ลินดาก็พูดว่า “นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันล้างเอง”
ถ้าเขาไม่กลับบ้านตั้งแต่ตอนที่เขามาเมื่อคืน ครอบครัวของเขาคงออกตามหากันยกใหญ่แน่
ถ้าพวกเขารู้ว่าทั้งสองขลุกตัวอยู่ด้วยกันตลอดเวลาคงน่ากระอักกระอ่วนพิลึก
และคนที่จะล้อหล่อนเป็นคนแรกคือเซี่ยอวี่
“ฉันไม่กลับ” เซี่ยไห่มองหล่อนด้วยสายตาอ้อนวอน ไม่เต็มใจที่จะพรากจาก
เห็นเขาทำหน้าออดอ้อนเหมือนเด็กแบบนั้น ลินดาก็รู้สึกหมดหนทาง ถามว่า “ถ้าไม่กลับแล้วจะทำยังไง?”
“จะให้ฉันกลับไปทั้งแบบนี้ได้ยังไงล่ะ?” เซี่ยไห่เงยหน้าขึ้น “ดูสิ เมื่อคืนเธอไม่ได้ฝากรอยเล็บไว้บนหน้าฉันเหรอ? แถมยังมีรอยจูบเป็นจ้ำตรงคอด้วย ฉันก็อายเป็นนะ”
ลินดา “…”
เขายังคงแอบอ้างต่อไป “วันนี้ตอนฉันออกไปซื้อของข้างนอก พวกพ่อค้าพากันถามคำถามมากมาย ฉันอายจะแย่”
ลินดาได้ยินถึงกับพูดไม่ออก
เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นผลงานชิ้นเอกของหล่อนเองจริง ๆ
ลินดาไม่ได้พูดอะไรอีก เซี่ยไห่จึงวิ่งเข้าครัวไปล้างหม้อ แล้วดึงลินดามานั่งบนโซฟา เปิดดูทีวีด้วยกัน
แถมเขายังจัดท่าทางให้หล่อนเอนซบพิงไหล่เขาด้วย
ลินดารู้สึกอึดอัดใจในตอนแรก แต่แล้วก็ค่อย ๆ กระหายและโหยหาความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้
เมื่อก่อน บ้านที่หล่อนอาศัยอยู่ไม่ถูกเรียกว่าบ้านสักเท่าใด เพราะมันเป็นเพียงที่สำหรับอยู่อาศัยและสำหรับซุกหัวนอนเท่านั้น
แต่ตอนนี้สถานที่แห่งนี้กลับเป็นที่ที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่บ้านอย่างแท้จริง
หล่อนเริ่มโลภเมื่อนึกถึงตอนที่ได้ใช้เวลาร่วมกับเขา
ทั้งสองนั่งดูทีวีกันจนถึงช่วงบ่าย วันนี้ลินดาไม่มีงานยุ่งเหยิงที่ต้องออกไปทำ
เซี่ยไห่มองเหลือบมองนาฬิกา ถึงเวลาที่เขาต้องไปห้องเต้นรำแล้ว
หลังจากห่างหายไปหลายวัน วันนี้เขาต้องแวะไปที่ห้องเต้นรำสักหน่อย เพื่อดูว่าหลินจินซานและลู่เจิ้งอวี่ช่วยกันบริหารจัดการห้องเต้นรำได้ดีหรือไม่ เมื่อเร็ว ๆ นี้เด็กหนุ่มทั้งสองดูใจลอย ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่งานสักเท่าใด เซี่ยไห่จึงวางแผนว่าจะบุกเข้าไปตรวจสอบอย่างกะทันหัน
“ฉันไปก่อนนะ ถ้าไม่อยากทำกับข้าวกินตอนกลางคืน จะออกไปกินข้าวนอกบ้านก็ได้ ฉันเอาขนมใส่ตู้เย็นไว้แล้ว ถ้าหิวตอนกลางคืนก็กินรองท้องได้ แต่ห้ามกินขนมเป็นอาหารหลัก เข้าใจไหม?”
เมื่อลินดาเห็นว่าเขากำลังจะจากไป หล่อนก็มองหน้าเขาอย่างรู้สึกผิด และถามอย่างเชื่องช้าว่า “แล้วหน้านายล่ะ…”
เซี่ยไห่สัมผัสใบหน้าของตัวเอง พูดอย่างสบาย ๆ “ไม่เป็นไร ใครถามก็แค่บอกว่าโดนแมวข่วน”
อย่างไรเสียคนที่เข้าใจก็มองออกอยู่แล้ว
เขาจะไม่อธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจฟัง
เซี่ยไห่สังเกตว่าสีหน้าของลินดาดูผิดหวังเล็กน้อย จึงโอบไหล่หล่อนไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอออกไปทำงานกับฉันไหมล่ะ? อยู่บ้านคนเดียวมันน่าเบื่อจะตายไป”
ลินดาถูกเซี่ยไห่รบกวนเวลาส่วนตัวมานาน ในที่สุดก็ตกลงที่จะออกไปห้องเต้นรำกับเขา สาเหตุหลักเป็นเพราะหล่อนเบื่อที่จะอยู่คนเดียวจริง ๆ
สำหรับหล่อนแล้วความเงียบเหงาดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ หล่อนเคยชินกับการอยู่คนเดียวเวลาไม่มีอะไรต้องทำ จนกระทั่งมีชายคนนี้เข้ามาในชีวิต ดูเหมือนหล่อนจะเริ่มพึ่งพาเขากลาย ๆ ถึงขั้นเริ่มกลัวความเหงาของการต้องอยู่คนเดียว
เซี่ยไห่พาลินดาไปที่ห้องเต้นรำ ซึ่งเป็นเวลาเข้างานช่วงไม่กี่นาทีแรกพอดี ทันทีที่เซี่ยไห่เดินเข้ามาในร้าน พนักงานก็ทักทายเขาอย่างสุภาพ ลู่เจิ้งอวี่ก็เข้ามาเช่นกัน “พี่ไห่ กลับมาแล้วเหรอ?”
“อืม” เซี่ยไห่เห็นว่าลู่เจิ้งอวี่แต่งตัวเรียบร้อยดีมาเข้างานที่ห้องเต้นรำก่อนเวลา เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ลู่เจิ้งอวี่รายงานสถานการณ์ “ธุรกิจเป็นไปได้ดีมาก อากาศหนาวเย็นลง ลูกค้าอาจจะกลับไวขึ้นหน่อย”
“จินซานอยู่ไหน?” เซี่ยไห่หันมองกลับไปแต่ไม่เห็นหลินจินซาน จึงถามหาอีกฝ่าย
“ยังไม่มา”
ลู่เจิ้งอวี่สังเกตเห็นรอยขีดข่วนบนใบหน้าของเซี่ยไห่ จึงถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “พี่ไห่ หน้าพี่ไปโดนอะไรมาน่ะ?”
“อย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม”
คำตอบของเซี่ยไห่นั้นคลุมเครือมาก ลินดารีบเสตามองไปทางอื่นด้วยความเขินอาย
ลู่เจิ้งอวี่มองเขาด้วยความสับสน “ถ้าอย่างนั้นผมไม่ยุ่งแล้วก็ได้”
รอยบนหน้านี่ หรือเขาไปโดนอะไรครูดมา?
ลู่เจิ้งอวี่เหลือบมองลินดาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แล้วปลีกตัวไปทำงานของตัวเองต่อ
หลินจินซานอยู่ในร้านตัดผมเพื่อสระผมให้กับลูกค้าของชุนฟาง พร้อมกับช่วยดูแลชุนฟางในเวลาเดียวกัน แต่แล้วลู่เจิ้งอวี่ก็แอบออกไปจากร้าน เพื่อส่งข่าวให้เขารู้ว่าเจ้านายกลับมาแล้ว เขาจึงกุลีกุจอสระผมให้ลูกค้าชายชรา และจากไปอย่างเร่งรีบ
จากนั้นก็ขึ้นไปที่ห้องทำงานเพื่อรายงานสถานการณ์การทำงานเช่นกัน
เซี่ยไห่กำลังแนะนำห้องทำงานส่วนตัวของเขาให้กับลินดา หลินจินซานจึงเดินพรวดพราดเข้ามาในเวลาที่ไม่เหมาะสม
ตอนแรกเซี่ยไห่ยังจับมือลินดาอยู่ แต่ทันทีที่หลินจินซานเข้ามา ลินดาก็รีบชักมือออกแล้วจับผมตัวเองแก้เขิน เซี่ยไห่ก็ขยับไปยืนเคียงข้างอย่างงุ่มง่าม
“ไม่รู้หรือไงว่าถ้าจะเข้ามาต้องเคาะประตู?” เซี่ยไห่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเลินเล่อแค่ไหน
หลินจินซานเห็นว่าลินดาอยู่ที่นั่นด้วย จึงรีบขอโทษยกใหญ่ “ผมขอโทษครับอารอง ไม่รู้ว่าคุณลินดาก็อยู่ที่นี่ด้วย”
เซี่ยไห่ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่กับคำที่หลินจินซานใช้เรียกเขาในเวลางาน “ดูเหมือนนายจะลืมไปแล้วนะว่าตัวเองกำลังทำงานอยู่? มาเรียกฉันว่าอารงอารองอะไรกัน? คิดว่าตัวเองอยู่บ้านงั้นรึ? แล้วทำไมถึงใส่ชุดแบบนี้มาทำงาน? ดูซิว่าพักหลัง ๆ มานี้นายทำตัวเหลาะแหละแค่ไหน? ทำตัวให้มันสมกับเป็นพนักงานของที่นี่หน่อย ไม่เห็นลู่เจิ้งอวี่หรือไง? วันหลังทำไมนายไม่เอาผ้าห่มห่อตัวมาเลยล่ะ?”
“หัดตระหนักซะบ้างว่าตัวเองกำลังคุยกับใครอยู่ รู้จักแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวซะบ้าง ถ้าคิดว่างานในร้านตัดผมมันดีกว่า นายก็ลาออกจากงานซะแล้วไปฝากตัวเป็นลูกมือร้านตัดผมได้เลย ฉันไม่เลี้ยงคนเกียจคร้าน”
หลินจินซานตกใจมาก รีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “อารอง… ไม่สิ หัวหน้าเซี่ย ผมไม่ได้ไม่ใส่ใจงานที่ตัวเองทำอยู่นะครับ ผมแค่ตั้งใจว่าเดี๋ยวค่อยออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากรายงานสถานการณ์ให้คุณทราบ”
“ออกไปซะ ถ้านายยังเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่แบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจริงจังกับงานยังไง ก็ไม่ต้องมาทำงานอีก”
หลินจินซานถูกเซี่ยไห่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เขาออกจากห้องทำงานไปด้วยความอับอาย
เซี่ยไห่ปิดประตูทันที แล้วหันมาพูดกับลินดาว่า “เด็กไม่เอาถ่านคนนี้ต้องโดนดัดนิสัยซะบ้าง”
“พักหลังพอรู้ตัวว่ามีแม่ฉันคอยหนุนหลัง เขาก็ยิ่งออกนอกลู่นอกทางไปเรื่อย ๆ อย่าคิดว่าคนอย่างฉันจะยอมปล่อยผ่านเมื่อเป็นเรื่องงาน ถ้าเขาไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นหลาน ต่อให้เขาจะเป็นลูกของฉันเองก็ตาม ใช่ว่าฉันไม่กล้าไล่เขาออก”
ลินดาไม่ได้เข้าไปยุ่งในขณะที่เซี่ยไห่จัดการงานในส่วนของเขาเอง หลังจากที่เขาทำงานเสร็จ เขาก็พาหล่อนเดินลงไปเยี่ยมชมกิจการห้องเต้นรำ
“ถ้างั้น นายหาหน้ากากมาสวมหน่อยดีไหม?” ลินดาไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบเมื่อกี้นี้อีกจริง ๆ
เซี่ยไห่กลัวว่าพนักงานจะเอาเรื่องนี้ไปพูดซุบซิบลับหลังว่าเขาโดนแฟนสาวรังแก ข่าวการนินทาจะยิ่งเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หากมันแพร่กระจาย
เขาไปที่แผนกอื่น ขอให้พนักงานช่วยออกไปซื้อหน้ากากอนามัย จากนั้นก็จัดแจงสวมหน้ากาก แล้วพาลินดาลงไปที่ห้องเต้นรำเพื่อดูเหล่าลูกค้าที่มาใช้บริการ
การร้องคาราโอเกะในห้องเต้นรำถือเป็นงานอดิเรกที่กำลังมาแรงที่สุดสำหรับคนหนุ่มสาวหลังเลิกงาน แน่นอนว่ายังมีลูกค้าวัยกลางคนและผู้สูงอายุที่แวะเวียนกันมาเต้นรำในห้องโถงกลางด้วย
ธุรกิจค่อนข้างเฟื่องฟูทีเดียว
หลังจากที่หลินจินซานได้รับการดุด่าจากเซี่ยไห่ เขาก็กลับมาทำงานของตัวเองอย่างเชื่อฟังด้วยความทุ่มเทอย่างมาก เป็นคนสุดท้ายที่กลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นเขาถึงขั้นไม่กล้าแวะไปที่ร้านตัดผมเพื่อช่วยงานแฟน
ทางด้านเซี่ยไห่เองก็ไปที่บ้านของลินดาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น แวะซื้อผักจากตลาดสด และขนขึ้นไปทำอาหารที่นั่น
เมื่อไม่เห็นหน้าค่าตาเซี่ยไห่มาเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน คุณแม่เซี่ยก็เริ่มสงสัย จึงถามหลินจินซานว่า “จินซาน อารองของเธออยู่ที่ห้องเต้นรำหรือเปล่า? สองวันมานี้งานเขายุ่งมากเหรอ?”
“คุณย่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาเข้าไปที่ห้องเต้นรำทุกคืนนะครับ”
“แล้ววันนั้นเขาไปซุกหัวอยู่ไหน? ทำไมถึงไม่กลับบ้านกลับช่อง?”
คุณแม่เซี่ยถามต่อ “หรือว่าเขานอนอยู่บนห้องทำงาน?”
หลินจินซานส่ายหัว “ก็ไม่นี่ครับ”
“งั้นเขาไปไหนกันล่ะ?”
หลินจินซานกลัวตัวเองโดนดุซ้ำสอง ไม่กล้าแง้มเผยเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น
“จินชาน เธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากพวกเราอยู่หรือเปล่า? เกิดอะไรขึ้นกับอารองของเธอกันแน่?”
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เซี่ยอวี่ก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านในช่วงกลางคืน บอกว่าหล่อนมีงานต้องทำ เซี่ยไห่เองก็หายหน้าหายตาเช่นเดียวกัน นางเป็นหญิงชราที่อยู่บ้านตามลำพัง อากาศหนาวเย็น ลูกสองคนไม่อยู่บ้าน เป็นธรรมดาที่คนเป็นแม่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น
หลินจินซานทนเห็นความกังวลของหญิงชราไม่ได้ เขาลังเลอยู่นานก่อนจะตอบ “ผมเห็นเขาพาคุณลินดาไปที่ห้องเต้นรำเมื่อคืน หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้อะไรแล้วครับ”
เมื่อหลินจินซานพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของคุณแม่เซี่ยก็สว่างวาบขึ้นทันที
“หมายความว่าเขาไปค้างที่บ้านลินดาตอนกลางคืนเหรอ?”
“ผมไม่รู้ครับคุณย่า ผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น อย่ามัวถามผมอยู่เลย และอย่าบอกด้วยนะว่าผมเป็นคนพูด”
หลินจินซานตาเหลือกลาน รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเซี่ยไห่ทำกับข้าวให้ลินดาเสร็จ เขาก็พักอยู่ในบ้านของหล่อน อย่างไรก็ตาม เขารักษาความเป็นสุภาพบุรุษไว้เป็นอย่างดี ไม่เฉียดเข้าใกล้ห้องนอนของลินดาเลยแม้แต่น้อย แต่ไปอาศัยอยู่ในห้องนอนที่สองแทน ทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว และงานบ้านทุกอย่าง
“นายจะกลับไปเมื่อไหร่?” ลินดารู้สึกว่าถ้าเซี่ยไห่ยังดึงดันอยู่ที่นี่ต่อไป คุณแม่เซี่ยต้องบุกมาตามเขาถึงที่นี่สักวัน
เซี่ยไห่ตอบด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
“ฉันจะกลับก็ต่อเมื่อสะเก็ดบนหน้าหลุดออกไปจนเกลี้ยง”
ลินดา “!!!”
เขาพูดต่อ “ฉันไม่รบกวนเธอหรอกน่า เธอก็ทำงานของตัวเองไป ถ้ามีอะไรต้องทำก็ออกไปจัดการซะ ฉันอยู่บ้านคนเดียวได้”
ลินดากลัวจริง ๆ ว่าครอบครัวของเซี่ยไห่จะคิดว่าหล่อนเป็นแม่เสือร้าย
ดังนั้นหล่อนจึงไม่สามารถบังคับให้เขาออกไปได้จริง ๆ
ด้วยวิธีนี้ เซี่ยไห่จึงอาศัยนอนในห้องนอนที่สองเมื่อตกตอนกลางคืน และตื่นเช้ามาทำกับข้าวให้ลินดากินทุกวัน
เขาทำตัวสุขุม เป็นสุภาพบุรุษมาก นอกเหนือจากการหยอกเล่นกับหล่อนวันละนิดละหน่อย เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่มันล้ำเส้นไปมากกว่านั้น
พวกเขาทั้งสองเข้ากันได้อย่างกลมกลืนและง่ายดาย
คุณแม่เซี่ยหาบ้านของลินดาไม่เจอ จึงได้แต่ออกมาดักรอเขาที่หน้าประตูห้องเต้นรำ
“ช่วงนี้ลูกไปพักอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่ยอมกลับบ้าน?” เมื่อคุณแม่เซี่ยถามคำถามนี้ น้ำเสียงของนางก็ไม่ใช่น้ำเสียงเชิงตั้งคำถามหรือเคืองโกรธ แต่เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและการซุบซิบนินทา
“ผมมีธุระต้องทำ” เถ้าแก่เซี่ยตอบกลับอย่างสบาย ๆ
“ได้ไปบ้านลินดาบ้างหรือเปล่า?” คุณแม่เซี่ยพูดต่อว่า “ถ้าช่วงนี้ลินดาไม่มีงานอะไร ให้หล่อนแวะไปที่บ้านเราสิ ครอบครัวเราจะได้ชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย”
“แม่ หล่อนมีงานต้องทำนะ ช่วงนี้ออกไปข้างนอกทุกวันเลยด้วย”
ดวงตาเฉียบคมของแม่เซี่ยสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเซี่ยไห่เหมือนจะมีรอยขีดข่วนจาง ๆ ทันใดนั้นนางก็ทำสีหน้าแปลกแปร่ง
เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้ไปโดนอะไรมาอีกล่ะ?
ทำไมถึงเจ็บตัวอยู่เรื่อย?
“แม่ ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะ”
เซี่ยไห่รีบหลบฉากเข้าไปในห้องเต้นรำ
คุณแม่เซี่ยมองตามแผ่นหลังของลูกชายคนเล็ก ก่อนจะถอนหายใจและยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม ดูเหมือนลูกคนนี้จะตกอยู่ใต้อาณัติฝ่ายหญิงเข้าแล้ว