ตอนที่ 615 ลูกท้องหรือเปล่า?
ช่วงนี้เซี่ยอวี่ไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย ทันทีที่เย่ไป๋เลิกงาน เขาก็มักจะรับหล่อนไปเดต จากนั้นก็ไม่กลับบ้านอีก
คุณแม่เซี่ยยุ่งอยู่กับการทำงานในร้านอาหารในช่วงกลางวัน ตกตอนกลางคืนเมื่อลูกชายและลูกสาวไม่กลับมา นางก็เริ่มฟุ้งซ่าน เหตุผลหลักคือต้องการทราบความคืบหน้าของพวกเขา แต่จะเค้นเอาความจริงจากใครก็ทำไม่ได้ นางจึงลำบากใจมาก
บ่ายวันนั้นไม่มีลูกค้าอยู่ในร้าน เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงต่างก็ไม่มีงาน คุณแม่เซี่ยหยิบผ้าขี้ริ้ว มองไปทางห้องเต้นรำฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นว่าจนแล้วจนรอดเซี่ยไห่ก็ยังไม่ปรากฏตัว จึงมองไปทางเซี่ยเหลยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางพูดว่า “เสี่ยวเหลย จะปล่อยให้น้องสาวกับน้องชายของลูกเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ พวกเขาจะรักชอบใครไปวัน ๆ ไม่ได้ ต้องรีบจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้มันเข้ารูปเข้ารอย”
หลินจินซานและชุนฟางตกลงว่าจะหมั้นกันในช่วงปีใหม่ แต่อาของเขาทั้งสองคนยังไม่เคยพูดคุยถึงเรื่องการแต่งงานด้วยซ้ำ
คุณแม่เซี่ยกลัวใจลูก ๆ จอมผัดวันประกันพรุ่งทั้งสองของตนมาก กลัวว่าพวกเขาอาจไม่คิดจะแต่งงาน แต่แค่คบหากับคนรักโดยใช้อารมณ์พาไปเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงนางคงจะปล่อยไว้ไม่ได้
การคบหาคนรักโดยไม่มีแม้แต่แผนการที่จะแต่งงานถือเป็นสิ่งที่ไร้ความมั่นคง
นางจะไม่ยอมให้ลูก ๆ ของตัวเองขาดความรับผิดชอบขนาดนี้
เซี่ยเหลยพูดว่า “แม่ อย่ากังวลไปเลย พวกเขาอายุตั้งเท่าไหร่กันแล้ว ปล่อยให้พวกเขาได้มีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเองกันบ้าง”
เมื่อก่อนทั้งสองไม่เคยสนใจจะคุยเรื่องมีแฟนด้วยซ้ำ สนใจแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว ตอนนี้พวกเขาต่างสละโสดและมีแฟนแล้ว ถือเป็นการก้าวกระโดดเชิงคุณภาพ จะกังวลไปทำไม?
“พวกเขาจะมีความรู้สึกยับยั้งชั่งใจต่อกันได้ขนาดไหน? เจ้าลูกสองคนนั้นเอาแต่รักษาสถานภาพที่ดีของตัวเอง ไม่อยากถูกผูกมัดด้วยการแต่งงาน แต่การคบกับแฟนโดยไม่มีการวางแผนแต่งงานเลยมันออกจะเกินไป ฉันเป็นแม่ ลูกเองก็เป็นพี่ชายคนโต เราละเลยพวกเขาไม่ได้ ถึงฝนจะตกแค่ปรอย ๆ แต่ถ้าตกติดต่อกันสองปีน้ำก็ท่วมได้ อีกหน่อยพวกเขาจะยิ่งมีลูกกันลำบาก”
คุณแม่เซี่ยกลัวว่านานวันเข้ายิ่งเซี่ยอวี่แก่ตัวลงอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ ส่วนเซี่ยไห่ก็อาจเสเพล ทำให้ผู้หญิงดี ๆ คนหนึ่งต้องช้ำใจเล่น
ขณะที่กำลังพูดเรื่องนี้ หลินจินซานก็เดินเข้ามา เขาสวมเสื้อโค้ตและหวีผมจัดทรงจนท่าทางดูปราดเปรียว เอ่ยถามคุณแม่เซี่ย
“คุณย่า วันนี้ครอบครัวของชุนฟางชวนผมไปกินข้าวมื้อเย็นที่บ้านหล่อน ผมควรเอาอะไรติดไม้ติดมือไปฝากดี? หรือควรซื้ออะไรเป็นพิเศษไหมครับ?”
“เธอจะไปบ้านชุนฟางงั้นเหรอ?” คุณแม่เซี่ยรีบให้คำแนะนำแก่เขา “เรามีนมผงที่ยังไม่ได้เปิดอยู่สองกระป๋อง เธอแบ่งไปหนึ่งกระป๋องก็ล้วกัน ออกไปซื้อผลไม้กระป๋องเพิ่มหน่อย แฮมกระป๋อง หรืออะไรสักอย่างก็ได้”
เซี่ยเหลยบอกกับหลินจินซานว่า “ไปถึงแล้วอย่าทำตัวกระโตกกระตาก นอกจากนี้ ถ้าพวกเขาถามถึงครอบครัวเรา ให้บอกไปว่าภายในช่วงปีใหม่ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจะหาวันนัดพบกันเพื่อหารือเกี่ยวข้อสรุปในการแต่งงาน สอบถามว่าทางบ้านของชุนฟางต้องการอะไรบ้าง จะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า”
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะ”
หลินจินซานออกไปแล้ว ในขณะที่คุณแม่เซี่ยยิ้มปริ่มอย่างมีความสุข นางก็เริ่มเป็นกังวลมากขึ้นเมื่อคิดถึงลูกชายและลูกสาวของตัวเอง
หลินจินซานกลับมาจากการรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของชุนฟาง จึงแวะมาที่บ้านเพื่อรายงานสถานการณ์ให้ทุกคนทราบ
เขาบอกว่าครอบครัวของชุนฟางเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายมาก ไม่เรียกร้องสินสอดใด ๆ มากมายเลย หวังเพียงว่าเขาจะปฏิบัติต่อชุนฟางเป็นอย่างดีในอนาคต
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินจินซานพูดแล้ว คุณแม่เซี่ยก็พยักหน้าอย่างมีความสุข “ช่างเป็นพ่อแม่ที่มีเหตุมีผล”
เซี่ยเหลยบอกว่า “ถึงพวกเขาจะไม่พูดถึงมัน ยังไงครอบครัวเราก็ควรให้ตามมารยาท”
ในฐานะพ่อเลี้ยงของหลินจินซาน เซี่ยเหลยแบกรับความรับผิดชอบในฐานะผู้ปกครองที่พร้อมจะจัดการเรื่องสำคัญแบบนี้อย่างเต็มที่
เขาไม่จำเป็นต้องให้หลิวกุ้ยอิงกังวลเลย หลิวกุ้ยอิงเป็นคนพูดไม่เก่งตั้งแต่แรก ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเซี่ยเหลยจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หล่อนจึงรู้สึกสบายใจมาก
ทุกวันนี้หล่อนแค่ทุ่มเทแรงกายทำกับข้าวในร้านอาหาร กลับบ้านมาทำงานบ้านนิดหน่อย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
“ไว้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้เจอกันในช่วงปีใหม่ เราค่อยพูดคุยกันอย่างละเอียด”
หลินจินซานเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปทำงานต่อ คุณแม่เซี่ยรู้สึกเต็มตื้นยินดีกับหลินจินซาน แต่ในขณะเดียวกันก็คิดถึงลูก ๆ ที่ชวนให้หนักใจทั้งสองคนของตัวเองอีกครั้ง
เซี่ยเหลยจึงต้องโทรเรียกพวกเขาทั้งหมดให้กลับมาที่บ้าน
“พวกลูกสองคนวางแผนอะไรกันอยู่? ไม่อยากลงหลักปักฐานให้มันมั่นคงเหมือนจินซานหรือไง?” คุณแม่เซี่ยนั่งลงบนโซฟา มองพวกเขาและถามด้วยสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
เซี่ยอวี่บอกว่า “ฉันทำข้อตกลงกับเย่ไป๋แล้ว เราจะพูดถึงเรื่องนี้กันในปีหน้าค่ะ”
“ลินดายังไม่พร้อมสำหรับการแต่งงานเหมือนกัน คิดว่าเราน่าจะต้องรอหล่อนอีกสักหน่อย” เซี่ยไห่พูดเสริม
เท่าที่ได้ยินคือพวกเขายังไม่มีความคิดที่จะหมั้นหรือแต่งงานในเร็ว ๆ นี้เลย
คุณแม่เซี่ยตระหนักดีถึงนิสัยของลูก ๆ ทั้งสองคน การที่นางสนับสนุนให้พวกเขาตกหลุมรักได้ นับว่าพวกเขาก็ก้าวหน้าไปมากในระดับหนึ่งแล้ว ถ้ายังดึงดันต่อไป เกรงว่าจากเต็มใจจะกลายเป็นต่อต้าน
จนทำให้ใครสักคนเลิกกันก็ได้
คุณแม่เซี่ยได้โอกาสในการเผชิญหน้ากับพวกเขาแล้ว แต่ไม่รู้จะพูดอะไรอีกเรื่องการแต่งงาน ในเมื่อพวกเขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว นางจึงไม่อยากสร้างความกดดันทางวาจาหรืออื่น ๆ
สุดท้ายก็ทำได้เพียงกำชับกับพวกเขาโดยปริยาย “ถ้าอย่างนั้นพวกลูกต้องระวังให้มากเวลาอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่น เข้าใจใช่ไหมว่าแม่หมายถึงอะไร?”
“ใกล้ชิดยังไง?” เซี่ยไห่แกล้งถามด้วยรอยยิ้ม
คุณแม่เซี่ยทำหน้าตาเหมือนเป็นเรื่องที่พูดยากเหลือเกิน
สิ่งสำคัญคือพวกเขาทั้งคู่ต่างก็อยู่ในวัยนี้กันแล้ว นางไม่สามารถเตือนพวกเขาได้เต็มปากให้มีความรักอย่างบริสุทธิ์ใจได้
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่อาจคาดเดาได้ของหญิงชรา เซี่ยไห่กลับทำสีหน้าเขินอายเสียเอง อดพูดกลั้วหัวเราะไม่ได้ “คุณนาย อย่าเหนียมอายไปหน่อยเลย พวกเราเข้าใจสิ่งที่แม่กำลังจะสื่อ ไม่ต้องห่วงนะครับ เรามีความยับยั้งชั่งใจอยู่”
คุณแม่เซี่ยกลอกตาใส่เขาด้วยความโกรธ
เซี่ยอวี่ไม่ได้ออกไปไหนมาสองวันตั้งแต่ถูกเซี่ยเหลยเรียกตัวกลับมา หล่อนเก็บตัวอยู่บ้าน บอกว่าจะต้องออกไปสถานีโทรทัศน์เพื่อบันทึกเทปรายการประกวดร้องเพลงในอีกสามวัน จึงต้องปรับสภาพร่างกายให้พร้อม
เซี่ยเหลยไม่ยอมให้หญิงชราไปช่วยงานที่ร้านอาหารอีกต่อไป อากาศเริ่มหนาวลงทุกวัน เขากลัวว่าหญิงชราจะหนาวจนทนไม่ได้ จึงขอให้นางอยู่แต่ในบ้านกับเซี่ยอวี่
ตอนเที่ยง คุณแม่เซี่ยบอกว่านางอยากกินซุปซี่โครงหมู ดังนั้นนางกับเซี่ยอวี่จึงออกไปซื้อซี่โครงหมูมาตุ๋น ผลก็คือเซี่ยอวี่รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยหลังจากจิบไปแค่ช้อนเดียว บอกว่ามันเลี่ยนเกินไป
เซี่ยอวี่พะอืดพะอมกับความมันเยิ้มของซุป รู้สึกคลื่นไส้เหมือนจะอาเจียน
ทันใดนั้นคุณแม่เซี่ยก็เปลี่ยนท่าทางเป็นตกใจ
“เป็นอะไรไป?” ว่าพลางเหลือบมองท้องของเซี่ยอวี่โดยไม่รู้ตัว แล้วถามอย่างเร่งด่วน
“ไม่มีอะไรค่ะ มันแค่เลี่ยนนิดหน่อย ฉันอยากกินอาหารจำพวกมังสวิรัติมากกว่า อีกไม่กี่วันต้องไปอัดเทปรายการแล้ว จะปล่อยให้น้ำหนักขึ้นไม่ได้…”
เซี่ยอวี่แค่คีบหัวไชเท้าแห้งกิน แทบไม่ได้แตะซี่โครงหมูตุ๋นของหญิงชราด้วยซ้ำ
แต่คุณแม่เซี่ยกลับไม่เชื่อแต่อย่างใด
นางมองไปที่เซี่ยอวี่ ยิ่งพยายามสังเกตมากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้ควบคุมอาหารอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ซี่โครงไม่กี่ชิ้นก็เห็นยังพอกินได้
ทำไมจู่ ๆ ถึงกินซี่โครงไม่ได้ขึ้นมาล่ะ?
ถึงอย่างไรเซี่ยอวี่ก็มีแฟนแล้ว แถมไม่ค่อยได้กลับบ้านในตอนกลางคืน ดังนั้นหญิงชราจึงอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อสบตากับคุณแม่เซี่ย เซี่ยอวี่ก็เข้าใจทันทีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
“ลูกกับเย่ไป๋… ไปถึงขั้นนั้นกันหรือยัง…” แม้ว่าคุณแม่เซี่ยจะเขินอายเกินกว่าจะถาม แต่นางก็จำเป็นต้องถามคำถามละเอียดอ่อนนี้อีกครั้ง
“แม่ อย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามสิ”
แม้ว่าเซี่ยอวี่จะพูดแบบนี้ แต่หล่อนก็ยังมีความกังวลเล็กน้อยเนื่องจากคำถามของหญิงชรา
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจอย่างช่วยไม่ได้…
เป็นไปได้ไหมว่า… หล่อนท้องจริง ๆ?
คุณแม่เซี่ยมองดูการแสดงออกถึงความรู้สึกผิดบนใบหน้าของเซี่ยอวี่ ทันใดนั้นก็เริ่มคิดเรื่องนั้นอีกครั้ง
ถ้าลูกสาวของนางอายุแค่ยี่สิบกว่า นางคงจะสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้หล่อนอายุสามสิบกว่าเข้าไปแล้ว จะเข้าสู่วัยกลางคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พูดตามตรง หญิงชรากลับแอบหวังว่าหล่อนจะพลาดท่าขึ้นมาอย่างใจนึก
คุณแม่เซี่ยหยุดกินอาหาร มองดูหล่อนและเริ่มตั้งคำถามกับหล่อน
“ลูกท้องหรือเปล่า?” ครั้งนี้คุณแม่เซี่ยเอ่ยปากถามตรง ๆ
ตอนนี้ที่บ้านมีกันอยู่เพียงสองคน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าอายที่ระหว่างแม่กับลูกสาวจะพูดถึงหัวข้อนี้
เซี่ยอวี่เองก็ไม่แน่ใจ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะยอมรับ “แม่คะ ทำไมคาดเดาไปอย่างนั้นล่ะ? ไม่มีทาง”
“ไม่มีทาง? หมายความว่าตั้งแต่คบกันลูกไม่เคยทำอะไรเกินเลยมาจนถึงตอนนี้เลยงั้นเหรอ?”
เซี่ยอวี่ยิ่งเขินอายมากขึ้นเมื่อแม่ถามคำถามนี้ “คุณนาย เหมาะสมไหมที่จะถามคำถามแบบนี้?”
“ไม่เหมาะสมยังไงกัน? แม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียที่ไหน?”
เซี่ยอวี่จับผมตัวเอง พยายามหลบหนี “ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว”
“ดูจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวลูกแล้ว อะไรที่ควรเกิดขึ้นก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป”
“แม่พอเข้าใจอยู่หรอก ลูกไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว”
คุณแม่เซี่ยไม่มีเจตนาที่จะตำหนิหล่อนเลย “ไปที่บ้านหมอเย่กันเถอะ จะได้ขอให้เขาช่วยตรวจชีพจรดูหน่อย ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาจริง ๆ เราจะได้วางแผนกันต่อ”
“แม่ จะให้ฉันไปตรวจหาอะไรล่ะ?” ต่อให้ต้องไปตรวจสุขภาพปกติ หล่อนก็ไม่ค่อยอยากไปหาอารองของเย่ไป๋สักเท่าใดนัก เพราะเขินอายมาก
คุณแม่เซี่ยไม่ให้โอกาสหล่อนได้ปฏิเสธ “งั้นลูกจะไปหาหมอเย่กับแม่หรือให้แม่ลากไปโรงพยาบาลดีล่ะ? ถ้าไปโรงพยาบาล ก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะกลายเป็นข่าว ตอนนี้ลูกกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงของไห่เฉิงแล้วนี่”
“ฉันขออยู่แต่ในบ้านดีกว่า”
เซี่ยอวี่ตั้งใจจะหย่อนร่างตัวเองลงนั่งตามเดิม แต่คุณแม่เซี่ยมองหล่อนอย่างเฉียบขาดพลางขู่ว่า “ในเมื่อลูกไม่ไป ถ้าอย่างนั้นแม่จะแจ้งให้ครอบครัวของเย่ไป๋รับรู้ และขอให้พวกเขาเป็นคนพาลูกไปที่นั่นเอง”
เซี่ยอวี่กระเด้งตัวขึ้นจากโซฟาด้วยความตกใจ “แม่ อย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม?”