“เป็นเช่นที่ว่าจริงๆ” จ้าวลั่วอิงพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าน่าลุ่มหลงกว่าเดิม “ความจริงที่ข้าน้อยมาในครั้งนี้ ก็เพื่อขอร้องเจ้าสำนักลู่ว่าถ้าหากมีเรื่องอะไรต้องให้ใช้ตราแห่งแก่นปฐม ขอให้ใช้ตระกูลจ้าวของข้า ตราแห่งแก่นปฐมเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่รากแห่งความว่างเปล่ามอบให้แก่สหาย ทุกตราหมายถึงน้ำใจอันเลอค่า หากครอบครองได้ ก็หมายความว่าตัวท่านได้ช่วยเหลือรากแห่งความว่างเปล่าส่วนหนึ่ง และถ้าหากเราทำให้ตราแห่งแก่นปฐมสำเร็จได้ ก็จะได้รับรางวัลยิ่งใหญ่จากศูนย์หลัก ดังนั้นนี่เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”
จ้าวลั่วอิงอธิบายสาเหตุอย่างเปิดเผย
“ขอเสียมารยาทถามสักคำ ขุมกำลังของรากแห่งความเจ็บปวดในโลกใบอื่นเป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามต่อ จ้าวลั่วอิงยิ้มมีเลศนัย
“นี่ขึ้นอยู่กับว่าอยู่เขตไหน...เขตธารมารดาแตกต่างกัน จำนวนของโลกที่พวกเราเข้าไปอาศัยก็จะต่างกันไปด้วย”
“ธารมารดา…” ลู่เซิ่งพลันหวนนึกถึงกระแสธารยิ่งใหญ่ที่เชื่อมต่อไปยังจักรวาลและโลกต่างๆ ได้ในกระแสวังวนมิติเวลาขึ้นมา ที่แท้เรียกว่าธารมารดาหรอกหรือ
“ธารมารดามีทั้งหมดสามสาย ที่พวกเราอยู่คือธารมารดาแห่งรุ้งในตำนาน ขุมกำลังของรากแห่งความว่างเปล่าดำรงอยู่แทบทุกที่ เชื่อมโยงกับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอแค่เป็นพื้นที่ที่มีชีวิต ก็จะต้องมีขุมกำลังของรากแห่งความว่างเปล่าในระดับหนึ่งแน่” จ้าวลั่วอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
วาจาผีสางนี้ฟังดูเหมือนหลอกลวงคน แน่นอนว่าลู่เซิ่งไม่ซื่อบื้อเชื่อมันจริงๆ ปัจจัยแรกของลัทธิใดก็ต้องโม้ว่าตัวเองทำได้ทุกอย่างหรือไม่ก็สูงส่งเอื้อมไม่ถึงอยู่แล้ว
“อย่างนั้น ถ้าข้าคิดจะใช้ตราแห่งแก่นปฐมเพื่อหาที่อยู่ของครอบครัวข้า” เขาถามตรงๆ “พวกเจ้าทำได้หรือไม่”
“ครอบครัว…เป็นเรือเหาะจากดาวปรภพที่ถูกมารดาแห่งความเจ็บปวดโจมตีจนหลุดเข้าไปในกระแสวังวนมิติเวลา โดนม้วนเข้าสู่กระแสปั่นป่วนแล้วกระจัดกระจายไปใช่หรือไม่” จ้าวลั่วอิงตอบอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าพวกนางเคยตรวจสอบลู่เซิ่งมาก่อน
“ถูกต้อง”
“พวกเราคาดไว้แต่แรกแล้วว่า ท่านอาจจะขอคำขอนี้ ดังนั้นจึงส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ของโลกต่างๆ แล้ว ตอนนี้ได้ที่อยู่มาบางส่วน” จ้าวลั่วอิงยื่นมือออกมาแล้วเอานิ้วกดลงไป นิ้วเรียวยาวเปล่งแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งขึ้น
แสงสว่างขยายตัวด้วยความเร็วสูง กลายเป็นม่านแสง ด้านบนแสดงภาพต้นไม้แห้งสีดำกำลังหมุนวนต้นหนึ่ง
“พวกเราสืบจนเจอของสิ่งนี้ผ่านอิทธิฤทธิ์ชนิดผลกรรม ต้นไม้ยักษ์ต้นนี้เป็นวัตถุที่สะดุดตาที่สุดที่ครอบครัวท่านสัมผัสล่าสุด แต่มันอยู่ในโลกใบไหน พวกเราเองก็ไม่ทราบเช่นกัน อย่างไรจักรวาลหรือโลกก็เกิดและสลายตัวตลอดเวลา ความใหญ่โตของธารมารดาอัศจรรย์พันลึก มีสถานที่มากมายซึ่งต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในลัทธิพวกเราก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป” น้ำเสียงของจ้าวลั่วอิงจริงจังขึ้น
“ต้นไม้ยักษ์สีดำหรือ” ลู่เซิ่งจดจำต้นไม้ใหญ่ต้นนี้อย่างตั้งใจ “ยืนยันระดับพลังงานของจักรวาลที่มันอยู่ได้หรือไม่”
“ไม่แน่ใจ แต่โลกทั้งหมดที่พวกเราเจอตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในธารมารดา แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือโลกความอันตรายต่ำ อีกประเภทคือโลกอันตรายสูง พวกเรายืนยันได้ว่ามันอยู่ในโลกความอันตรายต่ำ” จ้าวลั่วอิงอธิบาย
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ถ้ามีเบาะแสพวกเราจะแจ้งท่านทันที” จ้าวลั่วอิงโบกมือลาอย่างงามสง่า “อย่างนั้นก็ยันยันคำขอของท่านได้แล้ว ข้าขอตัวก่อน”
“ไม่ส่งเล่า” ลู่เซิ่งพยักหน้า
รอจนจ้าวลั่วอิงผละไป เขาก็ยังคงเพ่งมองต้นไม้ยักษ์ต้นนั้นที่แสดงในม่านแสงกลางอากาศอยู่
ไม่นานนัก หลี่ซุ่นซีกับบันไซก็เดินเข้ามาในโถง
“หากยึดตามเบาะแสที่ของล้ำค่าของข้าอนุมานออกมาได้ ถ้าภาพที่พวกเขาบอกไม่ผิดจริงๆ อย่างนั้นพวกเราสามารถใช้มันค้นหาได้” บันไซเอ่ยจริงจัง ก่อนหน้านี้พวกเขาฟังการสนทนาทางนี้อยู่ห้องข้างๆ นี่เป็นการแจ้งเจตนาของลู่เซิ่งเช่นกัน
“อัตราสำเร็จในการอนุมานคือเท่าไร” ลู่เซิ่งนิ่วหน้า
“ไม่แน่ใจขอรับ แต่น่าจะกำหนดทิศทางได้คร่าวๆ” บันไซประเมิน
“อย่างนั้นก็ลองดูได้” ลู่เซิ่งพยักหน้า
แม้จะไม่ทราบว่าขุมกำลังของตระกูลจ้าวมีมากขนาดไหน แต่รากแห่งความว่างเปล่าจะต้องเป็นขุมกำลังใหญ่โตที่ปกคลุมโลกมารสวรรค์ทั้งหมดแน่ หากพวกเขาเข้าร่วมการค้นหาได้ จะมีส่วนช่วยในการค้นหาครอบครัวให้เจอโดยเร็วอย่างแน่นอน
พวกลู่เซิ่งกับบันไซปรึกษาแผนการต่อจากนี้กันสักพัก จากนั้นพวกบันไซก็โดยสารเรือจากท่าดวงดาวไปยังดาวหลักของสำนักนทีคราม แล้วเริ่มอาศัยทรัพยากรทั้งหมดของสำนักนทีคราม ยกระดับความสามารถของล้ำค่าของบันไซ
เพื่อเริ่มอนุมานที่อยู่ของครอบครัวลู่เซิ่ง
ดวงตาแห่งความเลวทรามที่บันไซอนุมานได้ก่อนหน้านี้ ก็ได้มาเพราะวิธีนี้เช่นกัน ตอนนี้เมื่อประสานกับต้นไม้ยักษ์สีดำ ก็ควรจะได้อะไรๆ มากกว่าเดิม
ลู่เซิ่งยังได้ยื่นเรื่องขอสิทธิ์บันทึกข้อมูลจากห้องสมุดใหญ่ของนครตราชั่งให้แก่บันไซด้วย
ปัจจุบันลู่เซิ่งที่เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งถึงขีดสุดท่ามกลางขุมกำลังโดยรอบ แน่นอนว่าจันทราม่วงยินดีสนองความต้องการเพียงเล็กน้อยนี่
ไม่เพียงแค่จันทราม่วงเท่านั้น ลู่เซิ่งยังได้ยื่นคำขอคล้ายๆ กันนี้กับผู้ปกครองจันทราแดงเจิ้งเจวี๋ยซวิน บันทึกข้อมูลที่สาวกจันทราแดงสะสมไว้ ก็เป็นของดีที่ทำให้อิ้นเอ้อร์สือเจีย ของขลังคำนวณพยากรณ์ ของรักของหวงของบันไซ มีข้อมูลเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
ข้อมูลความรู้เป็นสารอาหารที่ดีที่สุดของอิ้นเอ้อร์สือเจีย ขอแค่มีข้อมูลมากพอ มันจะคำนวณข้อมูลออกมาได้มากมายและแม่นยำ
การเก็บและบันทึกข้อมูลต่างๆ ใช้เวลาทั้งหมดกว่าหนึ่งเดือนและยังต้องเพิ่มพวกชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อใช้เป็นหน่วยความจำ อุปกรณ์เชื่อมต่อ และแหล่งพลังงานสิ้นเปลือง
พวกบันไซต้องไปๆ มาๆ ระหว่างสำนักนทีครามและนครตราชั่ง จ้างคนมามากกว่าหมื่น รวมถึงจ่ายแหล่งพลังงานเป็นผลึกปฐมพลังมากกว่าร้อยก้อน เพราะสาเหตุนี้
สำหรับลู่เซิ่งซึ่งมีความจงรักภักดีจากเผ่าวิทูรธาร นี่เป็นค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่นับเป็นจุดทศนิยมยังไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับเขาที่เพิ่งมาถึงนครตราชั่งใหม่ๆ เขาจะต้องเก็บเงินอย่างน้อยกว่าหนึ่งปีกว่าถึงจะคืนทุนได้
พริบตาเดียว ก็ผ่านมาถึงเดือนห้า หลังลู่เซิ่งทำลายสามสำนัก ก็อยู่ที่นครตราชั่งกว่าสามเดือนกว่า จึงเริ่มเตรียมตัวไปยังดาวหลักสำนักนทีคราม
ณ ดาวหลัก การเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่อิ้นเอ้อร์สือเจีย ไม่เพียงต้องการทรัพยากรเท่านั้น แต่ยังต้องการเวลามากมายอีกด้วย
เป็นเพราะข่าวสารที่เพิ่มเข้าไปในคราวเดียว รวมถึงข้อมูลที่ใส่เข้าไปมีมากเกินไป ทำให้การคำนวณหนึ่งครั้งต้องใช้เวลามากกว่าเดิม
ลู่เซิ่งใช้เวลาส่วนหนึ่งช่วยเผ่าวิทูรธารชิงดาวหลักของพวกนางกลับมา ส่วนพันธมิตรอะไรสักอย่างเมื่อก่อนหน้านี้ หลังทราบว่าเขาสอดมือด้วยตัวเอง ขนาดลมหายใจยังไม่กล้าระบายออกมา กลับกันยังส่งของขวัญมาแสดงคำขอโทษด้วย
ลู่เซิ่งรับของขวัญไว้ เรื่องนี้เป็นอันได้ข้อสรุป แม้เผ่าวิทูรธารจะบาดเจ็บล้มตายไปมาก แต่กองทัพของพันธมิตรที่ถูกเขาเชือดในวันเดียวนั้นนับหลายแสน อีกทั้งยังมียอดฝีมือแข็งแกร่งระดับสุดยอดสำหรับพันธมิตรอีกหลายคนด้วย
หลังจากจัดการปัญหาของเผ่าวิทูรธารเรียบร้อย พวกนางก็กลับคืนบ้านเกิด กลายเป็นดวงดาวกองหนุนที่ช่วยมอบทรัพยากรจำนวนมากให้แก่ลู่เซิ่ง
เมื่อเป็นแบบนี้ ด้านกองหนุนก็มีหลักประกันแล้ว
และในตอนนี้เอง การคำนวณของอิ้นเอ้อร์สือเจียก็ได้ผลลัพธ์ในที่สุด
…
สำนักนทีคราม ราชวังดาวบนดาวหลัก
ลู่เซิ่ง หลี่ซุ่นซี เฮยจิน และทัวหลันปาเฮ่อ ยืนอยู่ในห้องทดลองที่ใหญ่ที่สุดของราชวังดาว
ทั้งห้องแยกตัวโดดเดียวโดยใช้ค่ายกลมหึมาเป็นตัวแบ่ง เอาไว้ใช้ประเมินของขลังล้ำค่าและระบบอักขระต่างๆ
ที่นี่มีกลไกแช่แข็งในพริบตาที่พร้อมลดอุณหภูมิถึงจุดต่ำสุด หากเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น ก็ใช้กลไกชนิดนี้หยุดการทดลองทุกอย่างได้ทันที
“ผลลัพธ์ที่อนุมานได้เป็นอย่างไรบ้าง” ลู่เซิ่งมองบันไซควบคุมอิ้นเอ้อร์สือเจีย เอ่ยถามตรงๆ
“นายท่าน ผลลัพธ์ของการอนุมานไม่ชัดเจนนัก แต่ได้ทิศทางมาแล้ว เมื่อมีการสนับสนุนจากสามคลังข้อมูลใหญ่ บวกกับแหล่งงานที่มากพอ ความแม่นยำในการอนุมานของอิ้นเอ้อร์สือเจียก็เพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง ได้อนุมานทิศทางกระแสวังวนมิติเวลาคร่าวๆ ออกมาแล้ว” บันไซรีบตอบ
“ถ้าข้าเข้าใกล้โลกที่มีเบาะแสอยู่ อิ้นเอ้อร์สือเจียจะมีปฏิกิริยาหรือไม่” ลู่เซิ่งถามพลางขมวดคิ้ว
“มีขอรับ” บันไซพยักหน้า “ความจริงเบาะแสต้นไม้ยักษ์สีดำผุเปื่อยต้นนั้นที่รากแห่งความเจ็บปวดให้ก่อนหน้านี้ น่าจะได้มาจากการคำนวณด้วยของขลังคำนวณขนาดมหึมาคล้ายๆ กัน เพียงแต่วิธีการคำนวณของพวกเขาหยาบไปมากเท่านั้น”
“อย่างนั้น เวลาไม่คอยท่า เรื่องโยกย้ายสำนักนทีครามให้หลี่ซุ่นซีกับเฮยจินรับผิดชอบ ข้าจะทิ้งร่างแยกไว้คอยช่วยพวกเจ้าและสยบพวกคิดไม่ซื่อ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าจะเริ่มการจุติรอบใหม่ ต้องหาคนให้เจอโดยเร็วที่สุด”
“รับทราบ!” คนในห้องวิจัยพากันขานรับ
“บันไซช่วยข้าติดตั้งห้องจุติที อย่าลืมยืนยันทิศทางของเบาะแสด้วย”
“ทราบแล้วขอรับ!” บันไซพยักหน้า “ข้าเคยชินกับการติดตั้งห้องจุติแล้ว บวกกับเงื่อนไขในปัจจุบัน วันเดียวก็เสร็จ ส่วนทิศทางเบาะแส อิ้นเอ้อร์สือเจียได้คำนวณออกมาแล้ว สามารถระบุในค่ายกลจุติได้โดยตรงเลยขอรับ”
“อย่างนั้นก็เริ่มกันเลย”
บันไซพยักหน้า เริ่มเรียกใช้ผลลัพธ์การคำนวณของอิ้นเอ้อร์สือเจียทันที
จากนั้นก็สั่งให้ผู้ใช้อักขระค่ายกลส่วนหนึ่งของสำนักนทีครามที่อยู่รอบๆ เริ่มไปติดตั้งห้องจุติในห้องทดลองอีกแห่งหนึ่ง
อย่างไรสำนักนทีครามก็เป็นสำนักใหญ่โต ต่อให้จะผ่านการล้างบางโลหิตมา แต่ก็ยังเหลือผู้ใช้อักขระค่ายกลระดับสูงมากกว่าพันคน ผู้ใช้อักขระค่ายกลพวกนี้ติดตั้งค่ายกลจุติได้ง่ายดาย เป็นทรัพยากรด้านอักขระค่ายกลที่ล้ำค่าถึงขีดสุด
ภายใต้การร่วมมือของทุกคน ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ค่ายกลจุติสมบูรณ์แบบกว่าก่อนหน้าก็ติดตั้งสำเร็จ
ลู่เซิ่งแบ่งเทพปีศาจแห่งสายลมออกมาเพื่อใช้เป็นร่างแยกสำหรับปกครองดาวหลัก ช่วยเหลือหลี่ซุ่นซีกับเฮยจินในการควบคุมทุกสิ่ง
แม้เทพปีศาจแห่งสายลมจะเป็นเพียงพลังที่หล่อเลี้ยงจากโลกเทพนอกรีต แต่คุณสมบัติของมันยังคงอยู่ในขอบเขตอนธการ
กอปรกับคุณลักษณะประหลาดของพลังเทพนอกรีต ต่อให้อนธการธรรมดาลงมือ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์ในศึกใหญ่เมื่อก่อนหน้าแล้ว
หลังเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลจุติ
ครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้า เขาจำเป็นต้องมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่แน่นอนในกระแสวังวนมิติเวลา หาโลกที่ครอบครัวอยู่ให้เจอ
“เตรียมตัวเสร็จหรือยังขอรับ” บันไซที่ยืนอยู่นอกค่ายกลส่งกระแสเสียงถาม
“เริ่มเลย” ลู่เซิ่งนั่งอยู่กลางทะเลบุปผาผลึกสีม่วงซ้อนตัวกันเป็นชั้นๆ สองมือวางบนเข่า สวมเกราะสีแดงเข้มประณีตงดงาม
ทะเลบุปผาผลึกสีม่วงนี้ คือตัวแทนอักขระค่ายกลเชิงซ้อนของค่ายกลจุติในรอบนี้
เทียบกับความเรียบง่ายเมื่อก่อนหน้านี้ของพวกเขา ผู้ใช้อักขระค่ายกลของสำนักนทีครามเหล่านี้สุรุ่ยสุร่ายจนทำให้คนอ้าปากตาค้าง พวกเขาประสานมันเข้ากับสุนทรียศาสตร์ในตอนวาดอักขระ ทั้งยังเติมวัตถุดิบอื่นๆ เข้าไปไม่น้อย เพื่อให้เกิดภาพงามตาในตอนนี้
นี่คล้ายจะเป็นความเคยชินของหยวนชิงลี่ เจ้าสำนักรุ่นก่อน
กลิ่นหอมผู้ดีฟุ้งอยู่ในอากาศเบาบาง จากนั้นลู่เซิ่งก็สวมเกราะที่เหมือนกับหัวมังกรสามเขาลงบนศีรษะช้าๆ
“เปิดใช้ลำดับค่ายกลที่สาม”
“เริ่มระบบสังเกตการณ์ด้วยตา”
“กระตุ้นอักขระไขเอ่อร์ลา”
“กระตุ้นอักขระเหวินตงนี”
“เปิดใช้วงจรแห่งโชคชะตา”
อักขระค่ายกลรอบนอกเริ่มเปล่งแสง
ลู่เซิ่งเห็นบันไซทำท่าบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยให้แก่เขา
เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยตอบกลับ ก่อนจะหลับตาลง
ทะเลบุปผาค่ายกลเริ่มเรืองแสงสีม่วง คล้ายกับลุกไหม้ขึ้น
“อิ้นเอ้อร์สือเจีย เริ่มระบุร่องรอยแรก” เสียงสตรีจักรกลดังขึ้นในค่ายกล
“เริ่มการเชื่อมต่อ…พันธนาการ!”
ฟ้าว!
พริบตานั้นมีแสงสีทองกลุ่มหนึ่งสว่างขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งที่อยู่กลางทะเลบุปผา ก่อนจะพุ่งขึ้นด้านบน แล้วระเบิดออก
เปรี้ยง!
แสงทองกลายเป็นลวดลายสีทองนับไม่ถ้วน ปกคลุมทั่วทั้งร่างลู่เซิ่งเหมือนใยแมงมุม
ตัวลู่เซิ่งพลันแตกสลาย กลายเป็นจุดแสงสีทองนับไม่ถ้วน จากนั้นเงาดำที่มีใบหน้าสามใบและหางยาวก็ปรากฏแวบขึ้นด้านหลัง
โฮก!
เสียงคำรามน่าสะพรึงกระเพื่อมออกมา กลิ่นอายเหี้ยมหาญยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดของอนธการรั่วไหลออกมาสายหนึ่ง จากนั้นก็ทะลักเข้าไปในมิติอีกมิติด้วยความเร็วสูง พร้อมกับอันตรธานสาบสูญไป
จุดแสงค่อยๆ จางลง
เหลือเพียงทะเลบุปผาม่วงทั้งหมด ที่ส่ายไปมาช้าๆ ราวกับปะการังก้นทะเล งดงามละลานตา
……………………………………….