ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 479 ภารกิจ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 479 ภารกิจ

โค่วเอ๋อร์รออย่างเบื่อหน่ายอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดผู้ดูแลหญิงก็เงยหน้าขึ้น “ไม่นับเศษเหรียญ มีตั๋วเงินห้าหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบสองตำลึง”

โค่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “ก็ไม่มากนี่”

ผู้ดูแลหญิงพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่มาก ตั๋วเงินก่อนหน้านี้จูอู่ตรวจสอบบัญชีและนำเงินเข้าคลังตอนที่หอสุราปิดร้าน ยามนี้ตั๋วเงินจำนวนห้าหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบสองตำลึงนี้ จำนวนหนึ่งหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบสองตำลึงในนั้นคือเงินที่ได้จากการไปเก็บเงินจากแต่ละจวนมา สี่หมื่นตำลึงที่เหลือเป็นเงินที่ไคหยางอ๋องชำระไว้ล่วงหน้าก่อนที่ท่านจะออกจากเมืองหลวง เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเงินสี่หมื่นตำลึงนี้คือเงินจ่ายล่วงหน้าจึงไม่ได้นำเข้าคลัง…”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของผู้ดูแลหญิง โค่วเอ๋อร์จึงกระจ่าง

“ได้ เช่นนั้นก็เก็บตั๋วเงินเหล่านี้ให้ก่อน ข้าจะนำไปให้คุณหนู หากไม่พอค่อยว่ากัน”

ผู้ดูแลหญิงนำตั๋วเงินปึกหนาจำนวนหนึ่งใส่ลงในกล่อง อดถามไม่ได้ว่า “คุณหนูต้องการเงินมากมายกะทันหันเช่นนี้เลยหรือ”

เงินจำนวนนี้ยังมีเงินสี่หมื่นตำลึงที่ไคหยางอ๋องชำระไว้ล่วงหน้าด้วย

แน่นอนว่า สี่หมื่นตำลึงที่ไคหยางอ๋องชำระไว้ล่วงหน้านี้ สักวันต้องใช้หมด คิดไปแล้วก็เป็นเงินของเถ้าแก่

โค่วเอ๋อร์และผู้ดูแลหญิงชินแล้ว แม้จะยากที่จะบอกได้ว่าเป็นของจูอู่ แต่กลับอดบ่นไม่ได้ “ใช่แล้ว ให้บุรุษน่ะ”

ผู้ดูแลหญิง “…”

จนเมื่อโค่วเอ๋อร์เดินถือกล่องเงินออกไป ผู้ดูแลหญิงยังรู้สึกเสียใจแทนไคหยางอ๋อง

ฝั่งจูอู่ เขากำลังถามลั่วเซิงว่าต้องการให้เขาทำอะไร

ลั่วเซิงมองจูอู่ พูดทีละพยางค์ว่า “ข้าอยากไหว้วานเจ้าไปนำสิ่งของอย่างหนึ่งที่จวนเจิ้นหนานอ๋อง”

เดิมจูอู่สับสนวุ่นวายใจเพราะลั่วเซิงมาหาพร้อมป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยอย่างกะทันหัน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ตกใจ โพล่งพูดว่า “จวนเจิ้นหนานอ๋องหรือ”

ลุงซิ่งสงบกว่ามาก “หากไปเอาของจากจวนเจิ้นหนานอ๋อง เหตุใดต้องไปทางใต้”

ลั่วเซิงไม่อุบไว้ นางถือจอกชาแล้วพูดว่า “ที่ข้าหมายถึงไม่ใช่จวนเจิ้นหนานอ๋องในเมืองหลวง แต่คือจวนเจิ้นหนานอ๋องในเมืองหนานหยาง แน่นอนว่า ตอนนี้เรียกว่าจวนร้างน่าจะเหมาะสมกว่า”

ดวงตาลุงซิ่งมิอาจคาดเดาได้ เขาสบตาจูอู่

ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนที่เห็นป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยอีกครึ่งหนึ่ง

จูอู่ข่มความตะลึงไว้ถามว่า “ท่านต้องการให้ข้าไปเอาอะไรที่จวนเก่าเจิ้นหนานอ๋องหรือ”

“สวนดอกไม้หลังเรือนจวนเจิ้นหนานอ๋องมีหินประดับ ของสิ่งนั้นอยู่ระหว่างหินประดับ…”

เมื่อฟังลั่วเซิงบอกตำแหน่งที่ซ่อนของสิ่งนั้นแล้ว จูอู่และลุงซิ่งก็รู้สึกตื่นเต้นในใจ

เหตุใดคุณหนูลั่วจึงรู้ว่าหินประดับในจวนเก่าเจิ้นหนานอ๋องซ่อนของบางอย่างไว้นะ

ลุงซิ่งน่ะไม่เท่าไร แต่จูอู่เติบโตในจวนอ๋อง ถือว่าเป็นสมุนภักดีในจวนอ๋อง แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าในหินประดับนั่นมีของซ่อนอยู่

“หรือว่าแม่ทัพใหญ่ลั่ว…”

สำหรับการคาดเดาที่ดูลังเลของจูอู่ ลั่วเซิงเพียงแค่ยิ้มๆ และแบมือออกเผยให้เห็นป้ายอาญาสิทธิ์ครึ่งหนึ่งที่ถือไว้ “ดังเช่นที่ข้าได้ป้ายอาญาสิทธิ์นี้มาอย่างไร คำถามที่ว่าเหตุใดข้าจึงรู้ว่าหินประดับในจวนเก่าเจิ้นหนานอ๋องซ่อนบางอย่างไว้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะบอกทั้งสองเอง”

จูอู่ทำท่าจะพูดอะไร แต่ถูกลุงซิ่งห้ามเอาไว้ “อู่หลัง คุณหนูลั่วถือป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ย ย่อมเป็นเจ้านายองครักษ์จูเชวี่ย จะซักไซ้ไม่เลิกไม่ได้”

จูอู่ทำได้เพียงพยักหน้า ไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก

ครานี้โค่วเอ๋อร์เดินถือกล่องเงินเข้ามา “คุณหนู นำเงินมาแล้วเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงกวาดตามองจูอู่อย่างสบายๆ “ให้ท่านจูดู”

โค่วเอ๋อร์วางกล่องเงินไว้บนโต๊ะและเปิดกล่องอย่างคล่องแคล่ว

ตั๋วเงินที่วางซ้อนกันจนสูงในกล่องเกือบจะล้มลงมา

จูอู่ตกตะลึง

ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลบัญชีของหอสุรา เขาเคยเห็นเงินจำนวนมากแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งตรวจสอบและนำเงินเข้าคลังไปหมด เมื่อครู่นี้ได้ยินว่าคุณหนูลั่วให้ไปถอนเงินจากหอสุรามา เขาคิดว่าอย่างมากที่สุดก็คงมีแค่พันแปดร้อยกว่าตำลึง

ด้วยประสบการณ์การเป็นผู้ดูแลบัญชี ตั๋วเงินในกล่องนี้อย่างน้อยก็มีสองหมื่นตำลึง!

ลุงซิ่งตาโต ทว่าความคิดของเขาเรียบง่ายกว่ามาก เงินเยอะมาก!

“ทั้งหมดห้าหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบสองตำลึง ตั๋วเงินแต่ละใบมีมูลค่าไม่มาก ท่านจูเก็บไว้ดีๆ เล่า” โค่วเอ๋อร์กำชับ

จูอู่พยักหน้า ลอบจิกฝ่ามือ

ก็แค่เงินเกือบหกหมื่นตำลึง อย่าทำตัวเหมือนไม่เคยเห็น!

“โค่วเอ๋อร์ เจ้าไปรอข้างนอกก่อนเถอะ” ลั่วเซิงสั่ง

โค่วเอ๋อร์กวาดตาผ่านลุงซิ่งที่มีอายุและจูอู่ที่มีเคราระเกะระกะแล้วหันหลังเดินออกไป

“เจ้า…” ลุงซิ่งปริปาก “เถ้าแก่ ท่านให้จูอู่นำเงินมากมายเช่นนี้ไปด้วยหรือ”

ลั่วเซิงยิ้ม “ไม่มากหรอก หากไม่พอวันหลังให้โค่วเอ๋อร์ส่งเงินจากจวนลั่วมาอีกหนึ่งกล่อง”

“พอแล้ว พอแล้วล่ะ” ลุงซิ่งพยักหน้าหงึกๆ

จุอู่อดกระแอมไม่ได้

ลุงซิ่งตื่นเต้นดีใจเช่นนี้ทำไม เงินมากก็ไม่ชอบ ก่อนหน้านี้ยังบ่นว่าเงินที่เขาส่งกลับไปให้ไม่พอกินข้าวอยู่เลย

ลุงซิ่งถลึงตามองอย่างไม่สบอารมณ์

เจ้าหมอนี่พยายามสร้างกลุ่มนักฆ่าแทบตาย ยังสู้คุณหนูลั่วที่แค่ดีดนิ้วไม่ได้เลย มีหน้ามากระแอมอีก

เมื่อทั้งสองสงบอารมณ์ลงแล้ว ลั่วเซิงก็สั่งว่า “จูอู่ หลังจากเจ้าได้ของสิ่งนั้นแล้วให้รีบกลับเมืองหลวงทันทีและส่งมันมาให้ข้า จำไว้ว่าห้ามใช้แรงเปิดมัน มิเช่นนั้นของข้างในจะพัง”

จูอู่ขานตอบแล้วมองลุงซิ่ง “ลุงซิ่งบาดเจ็บ เคลื่อนไหวลำบาก…”

ลั่วเซิงพูดแทรกว่า “เรื่องนี้เจ้ามิต้องเป็นห่วง ข้าจะจัดแจงคนดูแลลุงซิ่งให้ดีเอง เมื่อเจ้ากลับมา ลุงซิ่งคงหายเป็นปกติแล้ว”

จูอู่โค้งคำนับลั่วเซิง “จูอู่ขอบคุณขอรับ”

ลั่วเซิงยิ้มๆ อย่างไม่สนใจนัก “มิต้องเกรงใจ ข้าเป็นเจ้านายคนใหม่ขององครักษ์จูเชวี่ย มีหน้าที่ดูแลคนของตนเองที่บาดเจ็บ และองครักษ์จูเชวี่ยที่อยู่เหอหยางแดนไกล ต่อไปค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเหล่าทหารจะมีข้าเป็นคนรับผิดชอบเอง”

จูอู่กระตุกมุมปากเบาๆ

คุณหนูลั่วปรับตัวเข้ากับตำแหน่งใหม่ได้เร็วมากจริงๆ…

“เอาล่ะ พูดไปหมดแล้ว ข้าต้องกลับจวนแล้ว”

ลุงซิ่งทำท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกลั่วเซิงห้ามไว้ “ลุงซิ่งยังบาดเจ็บ อย่าขยับเลย”

ลุงซิ่งกล่าวขอบคุณ รีบพูดว่า “เช่นนั้นให้จูอู่ไปส่งท่านแทนข้า”

จูอู่ส่งลั่วเซิงออกจากประตูอย่างสุภาพแล้วกลับมาหาลุงซิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย “ลุงซิ่ง คุณหนูลั่วกลายเป็นเจ้านายคนใหม่ขององครักษ์จูเชวี่ยของเราแล้วจริงๆ หรือ”

“ไม่เช่นนั้นเล่า” ลุงซิ่งย้อนถาม

จูอู่ขมวดคิ้ว “แต่ว่าพฤติกรรมของคุณหนูลั่วคาดเดาค่อนข้างยาก…”

คุณหนูคนนี้ชอบเลี้ยงบุรุษนะ องครักษ์จูเชวี่ยมีสามร้อยกว่านาย เด็กหนุ่มอย่างน้อยก็มีหนึ่งร้อยกว่านาย

เมื่อลองคิดดูแล้วเด็กหนุ่มหนึ่งร้อยกว่านายน้อยต้องเชื่อฟังคำสั่งของคุณหนูลั่ว ส่วนคุณหนูลั่วสามารถทำตามอำเภอใจได้… จูอู่ก็ขนลุก

ไม่อยากจะคิดเลย!

ลุงซิ่งมองจูอู่อย่างลึกซึ้ง ถอนหายใจพูดว่า “อู่หลัง เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้รับช่วงต่อจากข้าที่สุด บัดนี้เห็นทีข้าคงคิดผิดไป”

“ลุงซิ่ง…”

ลุงซิ่งโบกมือ สายตาที่มองจูอู่เฉียบแหลมยิ่งนัก “อู่หลัง เจ้าคิดว่าผู้บัญชาการองครักษ์จูเชวี่ยที่ผ่านเกณฑ์มีคุณสมบัติใดที่สำคัญที่สุด”

จูอู่กำลังจะปริปาก

คุณสมบัติของผู้บัญชาการองครักษ์จูเชวี่ยนั้นมีมากมาย

ลุงซิ่งไม่รอคำตอบของจูอู่ พูดขึ้นทีละคำว่า “คือการรักษากฎที่สืบต่อกันมา”

จูอู่ไม่เต็มใจ “แต่หากป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยตกอยู่ในมือของคนร้ายเล่า”

ลุงซิ่งมองจูอู่อย่างลึกซึ้ง “เจ้าคิดว่าป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยเป็นอย่างที่เจ้าเห็นหรือ ป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยอีกครึ่งหนึ่งถูกปลอมแปลง ผู้ที่รู้ว่านั่นคือป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยมีเพียงเจิ้นหนานอ๋องแต่ละสมัยและผู้บัญชาการองครักษ์จูเชวี่ย ป้ายอาญาสิทธิ์ที่ผ่านการปลอมแปลงตกอยู่ในมือของคนร้าย และยังถูกคนร้ายรู้ว่านั่นคือป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยจะมีโอกาสเท่าไรกัน จงรู้ไว้ว่าแม้แต่พระชายาเจิ้นหนานอ๋องก็ไม่รู้ว่ามีองครักษ์ชูเชวี่ยอยู่”

เมื่อเห็นจูอู่ยังคงขมวดคิ้ว ลุงซิ่งก็ถอนหายใจ “อู่หลัง เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ไม่สามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำโดยไม่มีข้อผิดพลาดได้ การอาศัยผู้บัญชาการองครักษ์จูเชวี่ยมาตัดสินว่าควรรับใช้นายคนใหม่หรือไม่ง่ายต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบมากกว่า ในทางกลับกันกฎตายอย่างการฟังป้ายอาญาสิทธิ์ไม่ฟังคน เมื่อรักษากฎแล้วอย่างน้อยก็ไม่ละอายแก่ใจตนเอง หากตามนายผิดก็คงพูดได้เพียงว่าหมดยุคขององครักษ์จูเชวี่ยแล้ว”

จูอู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้แล้ว”

ลุงซิ่งยิ้มอย่างชื่นใจ “อีกอย่าง เงินก็รับมาแล้ว”

จูอู่ “…”

ลุงซิ่งไม่ได้สนใจหลานชายที่แสดงสีหน้าพิกล เขายังคงคิดถึงเรื่องลั่วเซิง

คุณหนูลั่วสั่งจูอู่ไปทำภารกิจและส่งคนมาดูแลเขาที่นี่ ลองคิดดูดีๆ แล้วถือได้ว่าเป็นการใช้เขาเป็นเครื่องมือให้จูอู่เชื่อฟัง

อันที่จริงนายใหม่ท่านนี้คิดแผนการไว้อย่างรอบครอบแล้ว

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท