ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 480 ปีใหม่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 480 ปีใหม่

ในคืนส่งท้ายปีเก่า ทุกคนในจวนลั่วกินเลี้ยงฉลองพร้อมหน้าพร้อมตา

เมืองหลวงทานเกี๊ยวยามจื่อ[1] เพราะสื่อความหมายถึงการเปลี่ยนจากปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ ทันทีที่ถึงเวลา เสียงประทัดด้านนอกก็ดังขึ้นไม่หยุด สาวใช้เดินเข้ามาวางเกี๊ยวนึ่งต่อหน้านายทุกท่าน

แม่ทัพใหญ่ลั่วชูจอกสุราขึ้น กวาดตามองจากบุตรสาวคนรอง ไปยังบุตรสาวคนที่สามและสี่ รวมถึงลั่วเฉิน เขาอดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว ปีที่แล้วกินเลี้ยงฉลองพร้อมหน้าพร้อมตาเวลานี้ก็มีบุตรสาวสี่คนและบุตรชายหนึ่งคนอยู่เป็นเพื่อนเขา

ส่วนวันตรุษจีนวันที่สองที่ต้องรอให้เหล่าลูกเขยมาเยี่ยมทักทายนั้นคงไม่มีอยู่จริง

เมื่อดื่มสุราคำหนึ่ง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็พูดว่า “กินเกี๊ยวกันเถอะ”

ทุกคนหยิบตะเกียบเงินที่วางข้างมือขึ้นมาและคีบเกี๊ยวชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วค่อยๆ กัดลงไปอย่างระมัดระวัง

ตามประสบการณ์แล้ว เก้าในสิบครั้งจะกินโดนของแข็งอย่างเหรียญทองและถั่วทอง หากไม่ระวังอาจจะทำให้ฟันร่วงได้

เป็นไปตามคาด ลั่วเฉินขมวดคิ้วคายถั่วทองเม็ดเล็กๆ ออกมา จากนั้นลั่วอิงและคนอื่นๆ ก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและคายของแข็งที่กินเข้าไปออกมา

มีเพียงลั่วเซิงที่กลืนน้ำตาลกรวดก้อนหนึ่งลงไปด้วยสีหน้าดังเดิม สายตาเป็นห่วงมากมายมองมาที่นาง

“พี่สาม พี่กินลงไปแล้วหรือ” ลั่วเย่ว์ตะลึง

ราวกับว่าจะเข้าใจผิดแล้ว

ลั่วเซิงอธิบายว่า “ข้ากินโดนน้ำตาล”

ทุกคนแสดงสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

ค่อยยังชั่วที่ไม่ได้กินอะไรเลอะเทอะลงไป

แม่ทัพใหญ่ลั่วหัวเราะขึ้นมา “กินน้ำตาลเป็นสัญญาณดี บ่งบอกว่าปีหน้าจะหวานชื่น ทุกคนกินต่อเถอะ”

ทุกคนกินเกี๊ยวต่อไป กินไปชิ้นหนึ่งก็คายเหรียญทองออกมาชิ้นหนึ่ง กินอีกชิ้นหนึ่งก็คายถั่วทองออกมาชิ้นหนึ่ง

ลั่วเฉินทนต่อไปไม่ไหวถามขึ้นว่า “ท่านพ่อ คงไม่ได้มีแค่เกี๊ยวไส้ทองหรอกนะขอรับ”

สมปรารถนาทุกสิ่ง แข็งแรงและมีอายุยืน นี่คือสิ่งที่เขาอวยพรให้บุตรสาวและบุตรชาย

โดยเฉพาะในปีที่แผ่นดินกำลังจะวุ่นวายนี้

ลั่วเย่ว์แอบมองลั่วเซิงตลอด อดพูดไม่ได้ว่า “แต่ว่าเหมือนกับว่าพี่สามกินไม่โดนเหรียญทองเลย…”

นางเห็นแล้วว่าพี่สามกินเกี๊ยวติดต่อกันสามสี่ชิ้นได้อย่างสบาย

ลั่วเซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้ากินโดนเกี๊ยวน้ำตาลหนึ่งชิ้น เกี๊ยวขนมเข่งหนึ่งชิ้น เกี๊ยวพุทราหนึ่งชิ้น จากนั้นก็เป็นไส้เต้าหู้ผักกาดขาวปกติ”

ทุกคนมองไปที่แม่ทัพใหญ่ลั่วพร้อมกันด้วยสายตาเจือแววโอดครวญ

แม่ทัพใหญ่ลั่วอธิบายด้วยความสงบว่า “เซิงเอ๋อร์อารมณ์ร้อน หากไม่ระวังกินเหรียญทองลงไปจะแย่เอา เอาเถอะ ที่เหลือข้างล่างนั่นคือไส้เต้าหู้ผักกาดขาวแล้ว รีบกินตอนร้อนๆ เถอะ”

ปีที่ผ่านมามีเกี๊ยวไส้แปลกๆ แค่หนึ่งชิ้นในถ้วยพอเป็นพิธี ปีนี้เหตุการณ์บ้านเมืองน่ากังวลใจเป็นพิเศษ ลูกๆ เหล่านี้ช่างพูดมากเหลือเกิน

แม่ทัพใหญ่ลั่วคีบเกี๊ยวไส้เต้าหู้ผักกาดขาวขึ้นมาและกินลงไปแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

แม่ครัวของเซิงเอ๋อร์ฝีมือดีจริงๆ ไส้เต้าหู้ผักกาดขาวที่จืดชืดแบบนี้ยังทำได้อร่อยเช่นนี้ อร่อยกว่าไส้เนื้อแพะเสียอีก

ใช่แล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วชอบกินไส้เนื้อแพะที่สุด

เกี๊ยวเนื้อแพะที่แป้งบางและไส้หนา จิ้มกินกับจิ๊กโฉ่ว เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำ อย่าให้พูดเลยว่าอร่อยขนาดไหน

ทว่าธรรมเนียมที่สืบต่อกันมาของครอบครัวเขาต้องเป็นไส้เต้าหู้ผักกาดขาว เวลานี้ในทุกปีทำเอาแม่ทัพใหญ่ลั่วต้องกินด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน

ตั้งแต่ที่ได้กินเกี๊ยวเจฝีมืออาซิ่ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็รู้สึกว่าเขาสามารถกินได้สามถ้วย

หากแผ่นดินวุ่นวายจริงๆ นอกจากจะต้องปกป้องลูกๆ แล้ว ยังต้องปกป้องแม่ครัวของเซิงเอ๋อร์ให้ดี…แม่ทัพใหญ่ลั่วผุดความคิดนี้ขึ้น จากนั้นก็กระดกสุรา

ลั่วอิงและคนอื่นๆ ที่ได้กินเกี๊ยวเจรสชาติเบาๆ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่ได้กินทอง รู้สึกถึงความสุขในวันปีใหม่เสียที

ไม่ว่าอย่างไร ครอบครัวสามารถอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

เสียงประทัดข้างนอกยังคงดังไม่หยุด แม้ว่าจะมีเงามืดของสงคราม แต่ก็อยู่ห่างไกลจากขอบฟ้า และเมืองหลวงยังคงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศรื่นเริงของวันปีใหม่

ในครานี้ กลับมีกองกำลังที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเพิ่งหยุดพักและตั้งค่ายเสร็จ เฉลิมฉลองปีใหม่ในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ

หม้อขนาดใหญ่ถูกตั้งไว้ข้างกองไฟ ในหม้อมีไอผุดขึ้นและส่งกลิ่นหอม

เหล่ากองกำลังที่ได้กลิ่นหอมพากันกลืนน้ำลายไม่หยุด

ตั้งแต่ที่รวบรวมกำลังพลจนออกเดินทาง พวกเขาแทบจะผจญกับลมหนาวและหิมะเพื่อเร่งเดินทางทุกวัน วันๆ หนึ่งมีเพียงมื้อค่ำที่จะได้กินของร้อน และโอกาสที่จะได้ซดน้ำแกงเนื้อร้อนๆ เช่นวันนี้ยิ่งเป็นโอกาสหายากนัก

“กินข้าวได้แล้ว” เมื่อพ่อครัวตะโกนขึ้น ทหารนับไม่ถ้วนกรูกันเข้าไป

สือหั่วส่งข้าวให้เว่ยหาน “นายท่าน กินข้าวขอรับ”

เขาได้น้ำแกงแพะหมือนกับทหาร เพียงแต่มีเนื้อในถ้วยมากกว่าเล็กน้อย แป้งที่ผ่านการปิ้งแข็งมาก ดีที่ยังร้อน

หากจะให้พูดถึงสิ่งที่มีมากกว่าทหารก็คือกระเป๋าหนังใส่น้ำที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ในนั้นบรรจุสุรากลั่นไว้

“วางไว้เถอะ” เว่ยหานไม่ได้แตะตะเกียบ แต่หยิบกระเป๋าหนังใส่น้ำขึ้นมาเปิดจุกออกและดื่มสุราคำหนึ่ง

สุราเข้มข้นไหลผ่านลำคอ ร่างกายที่ถูกลมหนาวพัดมาตลอดทั้งวันราวกับรู้สึกถึงความอบอุ่น เขารู้สึกสบายขึ้นมาก

เว่ยหานลูบคลำกระเป๋าหนังใส่น้ำเบาๆ

สุราได้มาจากหอสุรา เมื่อห่างจากเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกล้ำค่า

ปีใหม่ปีที่แล้ว สิ่งที่เขาตั้งตารอคือการเปิดร้านของมีหอสุรา คิดไม่ถึงว่าปีนี้กลับต้องฉลองปีใหม่ระหว่างทาง

เวลานี้คุณหนูลั่วคงกำลังกินเกี๊ยว

เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ทางเหนือ ปีใหม่กินเกี๊ยวไส้ผักดอง ไม่รู้ว่าคุณหนูลั่วกินไส้อะไร

ไม่ว่าจะเป็นไส้อะไร ต้องอร่อยมากแน่ๆ

เว่ยหานคิดเช่นนี้ มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้ม

“นายท่าน หากไม่กินอีกจะเย็นแล้วนะขอรับ” สือหั่วเตือน

เว่ยหานดึงสติกลับมาได้ ถือน้ำแกงเนื้อไว้แล้วดื่มน้ำแกงคำเล็กๆ ทีละคำ

กระเพาะอาหารที่ถูกมีหอสุราเลี้ยงจนมีรสนิยมสูงช่วงนี้แสดงความไม่พอใจต่อเขาตลอดเวลา

เว่ยหานกลับค้นพบอย่างประหลาดใจว่า เทียบกับการไม่ได้กินอาหารของหอสุราแล้ว สำหรับเขาแล้วสิ่งที่น่าเสียดายยิ่งกว่าคือไม่ได้เจอคุณหนูลั่วก่อนออกเดินทาง

เขายังไม่ได้บอกนางด้วยตนเองเลยว่าเขาจะรีบกลับมาและบอกนางว่าหากเขากลับไปฤดูหนาว เขาอยากกินหม้อไฟผักดองกับเนื้อหมู หากเป็นฤดูใบไม้ผลิ เขาอยากกินน้ำแกงเนื้อเป็ดหน่อไม้สด หากเป็นฤดูร้อน เขาอยากกินเนื้อพะโล้ที่หั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ และบาง ฤดูใบไม้ร่วงอยากกินปูดอง กินกับสุรากลั่นกำลังดี

เว่ยหานคิดพลางหยิบแผ่นแป้งขึ้นมา

แป้งเย็นจนแข็งเหมือนกับหิน เขาค่อยๆ ฉีกแป้งออกทีละน้อย แช่ลงในน้ำแกงและกิน

ทหารมากมายล้อมกองไฟ กินน้ำแกงเนื้อแช่แป้งและคิดถึงครอบครัวเหมือนกับเว่ยหาน

วันเวลาผ่านไป เจ้าหน้าที่ที่สืบสวนผู้ร้ายที่ลอบสังหารเหล่าซื่อจื่อเริ่มหมดกำลังใจ จักรพรรดิหย่งอันทรงยังคงไม่ทราบผล พระอารมณ์ย่อมไม่ดี

เทศกาลโคมไฟมาถึง จักรพรรดิหย่งอันทรงพาเซียวกุ้ยเฟยชื่นชมโคมไฟบนหอเซวียนเต๋อ

คำนึงถึงเซียวกุ้ยเฟยตั้งครรภ์ จักรพรรดิหย่งอันจึงให้นางสนมที่พระองค์โปรดปรานในช่วงนี้มาร่วมงาน หนึ่งในนั้นมีอันผินด้วย ส่วนราชวงศ์และขุนนางที่ได้รับเกียรติให้ขึ้นหอเซวียนเต๋อในปีที่แล้ว ปีนี้มีเพียงองค์หญิงฉางเล่อเท่านั้นที่ได้รับเกียรติ

เป็นเวลาดึกแล้ว และแสงไฟหน้าหอเซวียนเต๋อก็สว่างไสวแล้ว จักรพรรดิหย่งอันและเซียวกุ้ยเฟยขึ้นไปบนหอสูง จับมือกันเพื่อชมโคมไฟนับพันดวง

องค์หญิงฉางเล่อยืนอยู่บริเวณมุมหนึ่ง เหลือบมองทั้งสองที่ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยแววตาเยือกเย็น

[1] ยามจื่อ หมายถึงช่วงเวลา 23:00-01:00

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท