ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 481 เกิดเรื่อง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 481 เกิดเรื่อง

องค์หญิงฉางเล่อมิอาจสงบอารมณ์ภายในใจได้

นี่คือเทศกาลโคมไฟครั้งแรกหลังจากกลับเมืองหลวง นางยังจำได้ว่าเทศกาลโคมไฟในอดีตผู้ที่ขึ้นหอเสวียนเต๋อชมโคมไฟและยืนข้างกายเสด็จพ่อคือนาง ผู้ที่เสด็จพ่อให้ความสนใจมากที่สุดก็คือนาง

ทว่าตอนนี้ นางยืนอยู่ที่นี่ เสด็จพ่อกลับไม่มองนางแม้แต่หางตา เอาแต่โอบเซียวกุ้ยเฟยที่ท้องป่องพูดคุยและหัวเราะด้วยกัน

องค์หญิงฉางเล่อสับสนวุ่นวาย ใบหน้ากลับยังคงความสงบ

แสงไฟเต้นระบำในดวงตาของนางในยามค่ำคืน ทว่ากลับเผยให้เห็นถึงความมืดมนในดวงตาคู่นั้น

ทันใดนั้น หอเซวียนเต๋อก็เต็มไปด้วยความชื่นมื่นปรีดา

ดอกไม้ไฟอันเจิดจรัสเบ่งบานบนท้องฟ้า ส่องสว่างท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนให้เงยหน้าชื่นชม

จักรพรรดิหย่งอันพยักพระพักตร์อย่างพึงพอใจ ตรัสถามเซียวกุ้ยเฟยว่า “สนมรักคิดว่าดอกไม้ไฟเทศกาลโคมไฟปีนี้เปรียบเทียบกับปีที่แล้วเป็นอย่างไร”

เซียวกุ้ยเฟยเงยหน้ามองดอกไม้ไฟที่กลายเป็นแสงเล็กๆ และกระจัดกระจายในตอนกลางคืน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สวยกว่าปีที่แล้วเพคะ”

ขณะที่พูด เสียงก็ดังขึ้นอีกครา ดอกโบตั๋นมากมายบานสะพรั่งบนท้องฟ้า

จากนั้นลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและเบ่งบานเป็นรูปทรงต่างๆ คลื่นแห่งความสุขที่เกิดขึ้นภายนอกทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น

บนหอเซวียนเต๋อ ทุกคนที่ชมโคมไฟและดูดอกไม้ไฟต่างสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเหล่าผินเฟยที่ได้เกียรติมาร่วมชมโคมไฟด้วย ตั้งแต่ที่เข้าวังมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกจากพระราชวังอันกว้างใหญ่และสูดอากาศใหม่

เสียงหัวเราะที่ตื่นเต้นดีใจของเหล่าผินเฟย ทำให้พระอารมณ์ที่เก็บกดมานานของจักรพรรดิหย่งอันคลายลงเล็กน้อย

จู่ๆ เซียวกุ้ยเฟยก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล

เหมือนกับว่ามีบางอย่างกำลังเลื้อยบนเสื้อคลุม ทำให้นางรู้สึกขนลุกแปลกๆ

แต่หอเซวียนเต๋อกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ

เกิดอะไรขึ้น

เมื่อเซียวกุ้ยเฟยผุดความคิดนี้ขึ้นก็ก้มหน้าดูด้วยสัญชาติญาณ

ทั้งข้างในและข้างนอกสว่างไสวเหมือนกลางวัน ทันทีที่ก้มลงดูนั้นก็เห็นเสื้อคลุมที่ยาวลากพื้นมีงูที่มีลวดลายตัวหนึ่งกำลังพยายามเลื้อยขึ้นมาพลางแลบลิ้น

เซียวกุ้ยเฟยผงะ จากนั้นก็กรีดร้อง “กรี๊ดดด…”

เสียงกรีดร้องทำให้งูที่กำลังพยายามเลื้อยขึ้นมาตกใจ มันอ้าปากและพุ่งขึ้นไปอย่างดุร้าย

เซียวกุ้ยเฟยตกใจจนเดินถอยหลังไม่หยุด นางล้มลงบนพื้นอย่างทุลักทุเลก่อนที่ทุกคนจะตั้งสติได้

“กรี๊ดดด…” เสียงกรีดร้องดังขึ้นทีละคน

พวกอันผินสามสี่คนตกใจจนกอดกันเป็นก้อน ตัวสั่นไม่หยุด

จักรพรรดิหย่งอันพระพักตร์ซีดขาว เดินไปประคองเซียวกุ้ยเฟยพลางตะโกนว่า “ทหาร!”

องครักษ์ที่อยู่ไม่ไกลพุ่งขึ้นมา หนึ่งในนั้นเห็นงูที่มีลวดลายเลื้อยบนตัวเซียวกุ้ยเฟยได้อย่างเฉียบไว เขารีบตะโกนขึ้นว่า “ฝ่าบาทโปรดถอยหลังพ่ะย่ะค่ะ!”

จักรพรรดิได้ยินก็ทรงถอยหลังไปตามสัญชาติญาณ

องครักษ์คนนั้นลงมือรวดเร็วปานสายฟ้า เขาคว้างูขึ้นมา

จักรพรรดิหย่งอันเพิ่งเห็นว่าผู้กระทำผิดที่ทำให้เซียวกุ้ยเฟยล้มลงนั้นคืองูตัวหนึ่ง สีพระพักตร์เปลี่ยนไปในทันที

ผินเฟยสามสี่ท่านเห็นงูที่กำลังแลบลิ้นในมือขององครักษ์ก็ตกใจกลัว น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด

เซียวกุ้ยเฟยที่ล้มนอนบนพื้นรู้สึกปวดท้องจึงตะโกนเรียกอย่างยากลำบาก “ฝ่า… ฝ่าบาท…”

จักรพรรดิหย่งอันเพิ่งตั้งสติได้ รีบก้มลงไปประคองเซียวกุ้ยเฟย “สนมรักเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ภายใต้โคมไฟ สีหน้าเซียวกุ้ยเฟยซีดราวกับหิมะ นางเจ็บปวดจนร้องไห้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันปวดท้องมากเพคะ…”

จักรพรรดิหย่งอันสีพระพักตร์พลันเปลี่ยน ตรัสเสียงขรึมว่า “พยุงเซียวกุ้ยเฟยกลับวังเดี๋ยวนี้ เรียกหมอหลวงมา!”

ไม่นานขันทีสองสามนายก็เข้ามา กึ่งลากกึ่งยกเซียวกุ้ยเฟยขึ้นมา

จักรพรรดิหย่งอันสั่งสุรเสียงเย็นชาว่า “ปิดพื้นที่และตรวจสอบหอเซวียนเต๋อ นำตัวผู้ที่เข้าหอเซวียนเต๋อเข้าวังให้หมด!”

“เสด็จพ่อ…” องค์หญิงฉางเล่อราวกับเพิ่งตั้งสติได้จากความกลัวได้ เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าขาวซีด

จักรพรรดิหย่งอันไม่มีเวลาสนใจ รีบตรัสว่า “ฉางเล่อ เจ้ากลับจวนก่อนเถิด”

เมื่อพูดเสร็จ องค์หญิงฉางเล่อยังไม่ทันตอบ จักรพรรดิหย่งอันก็เดินตามเซียวกุ้ยเฟยไปแล้ว

ดอกไม้ไฟที่ดึงดูดสายตาภายนอกหอเซวียนเต๋อยังคงเบ่งบาน ผู้คนยังไม่รู้ว่าในหอเกิดเรื่องน่าตกตะลึงเพียงใด ยิ่งไม่รู้ว่าหลังจากคืนนี้จะเกิดพายุอีกกี่ลูก

ในหอเซวียนเต๋อโคมไฟยังคงส่องสว่าง บรรยากาศกลับหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็ง

องค์หญิงฉางเล่อเดินลงจากหอเซวียนเต๋อทีละก้าว ไปยังจวนองค์หญิง

บรรยากาศในพระตำหนักหนักอึ้ง ทำให้หายใจไม่ออก

จักรพรรดิหย่งอันทรงเฝ้าอยู่ข้างนอก ฟังเสียงร้องที่ดังขึ้นจากในห้องไม่หยุด สีพระพักตร์ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

เซียวกุ้ยเฟยเพิ่งตั้งครรภ์เจ็ดเดือน เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าจะไม่ได้การ…

จักรพรรดิหย่งอันทรงไม่กล้าคิดต่อไป ในยามนี้ไม่มีอารมณ์สืบหาความจริง เขาเดินไปมารอผลเซียวกุ้ยเฟย

นอกจากนางกำนัลที่เดินเข้าๆ ออกๆ แล้ว ทุกคนก็ก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

หากเซียวกุ้ยเฟยเป็นอะไรไป จักรพรรดิทรงพิโรธ คนต่ำต้อยเช่นพวกเขาก็คงต้องถูกสังหารเพื่อสังเวยด้วย

พระโพธิสัตว์คุ้มครอง กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงต้องไม่เป็นอะไร!

อาจจะเป็นเพราะพระโพธิสัตว์ได้ยินคำอธิฐานของผู้คนมากมาย ประตูห้องที่ปิดแน่นในที่สุดก็เปิดในกลางดึก หมอตำแยนางหนึ่งเดินออกมา

“เป็นอย่างไรบ้าง” จักรพรรดิหย่งอันตรัสถามอย่างร้อนรน

หมอตำแยรีบตอบว่า “ทูลฝ่าบาท กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงให้กำเนิดองค์หญิงน้อยเพคะ”

ชั่วขณะที่ได้ยินคำว่า ‘องค์หญิง’ ความผิดหวังพลันปรากฏอย่างมิอาจควบคุมได้ จักรพรรดิหย่งอันหยุดลงครู่หนึ่งก่อนจะดึงสติกลับมาได้ “กุ้ยเฟยและองค์หญิงน้อยเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอตำแยก้มหน้า พูดเสียงสั่นว่า “หมอหลวงกำลังห้ามเลือดให้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ส่วนองค์หญิงน้อย…”

องค์หญิงน้อยเป็นอย่างไร หมอตำแยพูดไม่ออก

ลูกเจ็ดเดือนที่กำเนิดก่อนเวลา จะดีได้แค่ไหนกัน คลอดออกมาแล้วยังมีลมหายใจถือว่าโชคดีมากแล้ว

“เป็นอย่างไรกันแน่”

ภายใต้การเค้นถามด้วยสุรเสียงดุดันของจักรพรรดิหย่งอัน หมอตำแยตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ณ ตอนนี้องค์หญิงน้อยปกติดีทุกอย่าง หมอหลวงกำลังตรวจดูองค์หญิงน้อยต่อไปเพคะ…”

จักรพรรดิหย่งอันจ้องประตูห้องนิ่ง ตกอยู่ในความเงียบ

เมื่อถึงอายุเช่นเขา ประสบเรื่องราวมากมาย เพียงแต่ว่าเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับทายาทเขายังคงมิอาจควบคุมอารมณ์ได้

ทว่าเมื่อสงบอารมณ์ลงแล้ว สำหรับเด็กน้อยที่เขารอคอยมานานคนนี้จะเป็นอย่างไร เขารู้แก่ใจดี

มีชีวิตอยู่รอดมาได้คือพรอันประเสริฐแล้ว

จักรพรรดิหย่งอันเดินไปมาสองสามก้าว รู้ว่าหากเข้าไปเวลานี้ข้างในจะยิ่งวุ่นวาย เขาจึงเดินเอามือไพล่หลังไปยังท้องพระโรง สั่งโจวซานด้วยพระพักตร์พิโรธว่า “นำตัวคนที่เข้าใกล้กุ้ยเฟยที่หอเซวียนเต๋อวันนี้มาให้หมด!”

อากาศหนาวแบบนี้ กลับมีงูเลื้อยขึ้นมาบนเสื้อคลุมของเซียวกุ้ยเฟย หากบอกว่าเป็นอุบัติเหตุน่ะสิประหลาด!

จักรพรรดิหย่งอันแค่คิดถึงวันที่เดิมควรจะเป็นวันพักผ่อนสบายๆ กลับเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็แทบอดไม่ได้ที่จะมีพระบัญชาให้ทำลายทุกอย่าง

ไม่นานผินเฟยจำนวนหนึ่งก็ถูกนำตัวมาตรงหน้าพระพักตร์จักรพรรดิหย่งอัน

แม้ทั้งในและนอกหอเซวียนเต๋อจะมีองครักษ์คอยปกป้อง แต่ผู้ที่สามารถใกล้ชิดเซียวกุ้ยเฟยได้มีเพียงผินเฟยสามสี่คนและองค์หญิงฉางเล่อเท่านั้น

ที่จักรพรรดิหย่งอันตั้งเป้าไปที่ผู้ที่สามารถเข้าใกล้เซียวกุ้ยเฟย เหตุผลนั้นง่ายมาก ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้แม้จะปล่อยงูออกมาแล้วจะรับรองได้ว่าตรงเป้าหมายได้อย่างไร

สายพระเนตรที่เย็นยะเยือกกวาดผ่านสาวงามดั่งดอกไม้ทีละคน จักรพรรดิหย่งอันมองไปที่องครักษ์ที่จับงูไว้

“งูตัวนี้มีพิษหรือไม่”

องครักษ์รีบตอบว่า “ทูลฝ่าบาท นี่คืองูหางกระดิ่ง[1] ไม่มีพิษพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่มีพิษ

จักรพรรดิหย่งอันทรงขมวดพระขนง ยิ่งมั่นใจการคาดเดาก่อนหน้านี้ เป้าหมายคือเซียวกุ้ยเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย!

งูไร้พิษตัวหนึ่ง ประโยชน์ของมันคือการทำให้ผู้คนหวาดกลัว และผลที่ตามมาหลังจากเซียวกุ้ยเฟยหวาดกลัวนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง

[1] งูหางกระดิ่งไดมอนแบ็ก เป็นงูหางกระดิ่งในเขตเอเชีย เป็นงูมีพิษ แม้พิษจะค่อนข้างอ่อนแต่อาจะทำให้ผู้ถูกกัดมีอาการเจ็บปวด คลื่นไส้ อยากอาเจียนและบวมแดงได้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท