รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 1023 ชีวิตอันรันทด ยังมีภาคต่ออยู่!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

บทที่ 1023 ชีวิตอันรันทด ยังมีภาคต่ออยู่!

อสูรทั้งเก้าตนลากรถม้าพุ่งทะยานไปบนจักรวาลดวงดารา ก่อนจะร่อนลงยังอาณาจักรแห่งหนึ่ง

“คุณชาย พวกข้าขอไปตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสุสานโบราณก่อน”

ลั่วสุ่ยกล่าว

“เข้าใจแล้ว”

หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า “ข้าจะรอข้อมูลจากพวกเจ้าอยู่ที่นี่”

หลังจากนั้น ลั่วสุ่ย ต้นหลิว และเจ้าก้อนหินก็ออกไปจากที่แห่งนี้

“ตรวจสอบสุสานโบราณ คุณชายหมายความว่าอย่างไร?”

เจ้าก้อนหินเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “คุณชายอยากไปสำรวจสุสานหรือ? แต่สุสานใดกันที่มีค่าพอให้คุณชายเยี่ยมชม?”

“ข้าไม่รู้”

ลั่วสุ่ยส่ายหัว นางเองก็ไม่รู้ว่าคุณชายต้องการไปสำรวจสุสานเช่นใด

“ข้า…ว่าข้าอาจจะรู้”

ในตอนนั้นเองต้นหลิวก็กล่าวขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินเรื่องบางอย่างจากสุนัขดำกับนักพรตอู๋เหลียง เกี่ยวกับเรื่องสุสานโบราณแห่งหนึ่ง”

มันเล่าว่าสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงเคยพบสุสานโบราณแปลกประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวแห่งหนึ่ง กระทั่งผู้เบิกทางยังไม่อาจเข้าไปด้านในสุสานได้

“สุสานโบราณแห่งนั้นเกี่ยวพันกับความลับบางประการ สงสัยว่าจะเป็นสุสานโลกความเป็นจริง เมื่อผู้เบิกทางพบสุสานโบราณแห่งนี้ก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นในใจ สงสัยว่าทุกอย่างเป็นภาพมายา ไม่มีอยู่จริง”

ต้นหลิวเอ่ย “ข้ารู้สึกว่านี่เป็นสุสานที่คุณชายกำลังตามหา เบื้องหลังของสุสานแห่งนี้เกรงว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับศัตรูที่แท้จริงของคุณชาย และคุณชายต้องการลงมือกับศัตรูเหล่านั้น”

“อิงจากที่กล่าวมาแล้ว น่าจะเป็นสุสานแห่งนั้น!”

ดวงตาของลั่วสุ่ยเปล่งประกาย “เช่นนั้นพวกเราไปหาสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงกันเถิด”

“ไปกัน”

เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็มาถึงลานเล็กในเมืองชิงซานแล้ว

“พี่ต้นหลิว พี่ลั่วสุ่ย พวกท่านกลับมาแล้วหรือ?”

นักพรตอู๋เหลียงมองพวกลั่วสุ่ยแล้วเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เห็นหัวพี่ก้อนหินของเจ้าหรือ?”

เจ้าก้อนหินตบหัวนักพรตอู๋เหลียง เจ้าอ้วนน่าตายนี่ ถึงกับเมินมัน กล่าวทักทายเพียงแค่ลั่วสุ่ยกับต้นหลิวเท่านั้น

สุนัขดำที่กำลังสนทนากับลูกวัวในลานด้านข้างได้ยินเสียง ก็รีบตรงเข้ามาทันได้เห็นฉากที่เจ้าก้อนหินตบหัวนักพรตอู๋เหลียง

“สมควรแล้ว กล้าดีอย่างไรถึงเมินพี่ก้อนหิน! ไม่ตีเจ้าแล้วจะตีผู้ใด!”

มันแสยะยิ้มอย่างมีความสุข

“ข้า…”

นักพรตอู๋เหลียงร้องไห้ออกมาอย่างไร้น้ำตา ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าก้อนหินจะใส่ใจมารยาทมากถึงเพียงนี้

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่สามารถตำหนิได้เพียงเขา ใครใช้ให้เจ้ากินหินอยู่ด้านหลังร่างลั่วสุ่ยกับต้นหลิวเล่า ทำให้เขามองไม่เห็นเจ้าก้อนหินในคราแรก

“เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า”

ต้นหลิวเอ่ย “พวกข้ากลับมาก็เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสุสานโบราณที่พวกเจ้าเคยพบ”

มันบอกเหตุผลว่าเป็นเพราะคุณชายสนใจสุสานแห่งนั้นมาก

“สุสานโบราณแห่งนั้นมีปัญหามากจริง ๆ!”

สุนัขดำกล่าวอย่างจริงจัง “มีสองคนที่ไม่รู้รายละเอียด หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ทิ้งสุสานเอาไว้ ไม่สิ ไม่ถูกต้อง เขาไม่ใช่ผู้ทิ้ง แต่ดูเหมือนเป็นเพียงผู้ดูแลตรวจสอบสถานการณ์สุสานเป็นระยะ”

จนถึงตอนนี้มันยังคงจำได้อย่างชัดเจน

ยามนั้นมันและนักพรตอู๋เหลียงได้อ่านนิยายปล้นสุสานของคุณชาย พลันเกิดความรู้สึกอยากทดลองขึ้นมา ถึงตั้งกลุ่มคู่หูตามหาสุสาน

แล้วพวกเขาก็ได้พบสุสานโบราณแห่งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น สุสานโบราณไม่ใช่สุสานตาย แต่เป็นสุสานมีชีวิต เคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่หยุด จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มตรึงสุสานเอาไว้ แล้วเข้าไปด้านในสุสานโบราณ

เมื่อเดินเข้าไปเรื่อย ๆ ก็ไปถึงสถานที่อันประหนึ่งความจริงและภาพมายามาบรรจบกัน

ที่แห่งนั้นมีสองฉากไม่เหมือนกันดำรงอยู่ แต่ไม่ได้มีการผสานเข้าด้วยกันแต่อย่างใด นับว่าแปลกประหลาดมาก

ยามนั้นเองที่พวกเขาพบกับชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ต่างดูเยาว์วัยยิ่ง และสองคนนี้ก็เป็นคนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่สุนัขดำเอ่ยถึง

ทั้งสองเรียกสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงว่าเป็นสิ่งมีชีวิตมายา ของที่เกิดขึ้นจากภาพมายา ไม่มีตัวตนอยู่จริง ทั้งยังบอกว่าผู้เบิกทางเคยพบสุสานแห่งนี้ด้วย

“ทั้งสองน่าจะมาจากฝั่งศัตรูของคุณชาย…”

ดวงตาของต้นหลิวทอประกายลุ่มลึก “ถึงแม้จะไม่ใช่ แต่ก็ต้องมีความเกี่ยวข้อง”

ส่วนเรื่องสิ่งมีชีวิตมายา ภาพมายาอันใดนั้น มันไม่เชื่อแม้แต้น้อย ทุกสิ่งจะเป็นภาพมายาได้อย่างไร นี่จะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่

“พวกเจ้าสามารถหาสุสานโบราณแห่งนั้นได้หรือไม่?”

“นี่ต้องถามผู้เชี่ยวชาญแล้ว!”

นักพรตอู๋เหลียงนำ ‘อัตประวัติโจรปล้นสุสาน’ ออกมา “ผู้เชี่ยวชาญ ถึงตาของเจ้าแล้ว”

“เจ้าอ้วน คิดจะทำสิ่งใดอีก? ไม่ใช่คิดจะหลอกให้ข้าลงมืออีกแล้วใช่หรือไม่!”

เสียงของนักพรตอัษฎสมบูรณ์ดังมาจากด้านใน เห็นได้ชัดว่าเกิดความสงสัยในตัวนักพรตอู๋เหลียงตั้งแต่ยังไม่ปรากฏตัว

ลั่วสุ่ยเห็นฉากดังกล่าวก็อดมองไปทางนักพรตอู๋เหลียงด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “เจ้าหลอกเขาบ่อยหรือ ดูเสียสิ ไม่มีความเชื่อถือในตัวเจ้าแม้แต่น้อย”

“เอ๋ นี่เป็นเสียงของแม่นางลั่วสุ่ยนี่นา”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์ได้ยินเสียงของลั่วสุ่ยก็ปรากฏตัวออกมา

บนใบหน้าของมันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางลั่วสุ่ยกำลังตามหาข้าหรือ?”

“เจ้านักพรตไร้คุณธรรม ข้าเรียกหาเจ้าไม่ยอมออกมา แต่เพียงได้ยินเสียงพี่ลั่วสุ่ยเจ้ากลับปรากฏตัวในพริบตา!”

นักพรตอู๋เหลียงกล่าวอย่างชิงชัง

“ไร้สาระ เจ้าจะเทียบกับแม่นางลั่วสุ่ยได้อย่างไร?”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์ปรายตามองนักพรตอู๋เหลียง หลังจากนั้นก็เมินเฉยนักพรตอู๋เหลียง

“เรื่องเป็นเช่นนี้ มันเกี่ยวข้องกับสุสานโบราณที่พวกท่านเคยพบ ท่านสามารถตามหามันอีกครั้งได้หรือไม่?”

ลั่วสุ่ยกล่าว

“สุสานโบราณแห่งนั้น…ไม่อาจหาพบโดยง่าย”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์ขมวดคิ้ว “สุสานโบราณแห่งนั้นพิเศษอย่างมาก คราแรกที่พวกเขาพบสุสานโบราณแห่งนั้นได้นับว่าเป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิงจริง ๆ สุสานโบราณแห่งนั้นเคลื่อนมาหยุดยังอาณาจักรแห่งนี้พอดีเพื่อดูซับสสารขุมปราณพลังชีวิตฟ้าดิน พวกเขาจึงได้ไปพบเข้า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางที่พวกเขาจะพบสุสานโบราณแห่งนั้นได้”

เขาส่ายหัวแล้วกล่าวต่อ “ตัวข้าเองก็ไม่อาจทำได้”

“หาไม่พบหรือ?”

“ยากมาก!”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์กล่าว “หากคิดเป็นฝ่ายเริ่มหาสุสานโบราณแห่งนี้ ก็นับเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะระบุตำแหน่งแน่นอนได้”

“ไม่มีวิธีหรือ? คุณชายต้องการตามหาสุสานโบราณแห่งนั้น…” ลั่วสุ่ยกล่าว

“อันใดนะ! เป็นคุณชายที่ต้องการตามหาหรือ!”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์เบิกตากว้าง กล่าวออกมาอย่างเร่งรีบว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดอันใดอีกแล้ว ข้าจะตามหากลุ่มสุสานโบราณแห่งนั้นให้เจอเอง!”

หลังจากนั้นมันก็หันไปพูดกับนักพรตอู๋เหลียง “เจ้าไปห้องหนังสือของคุณชาย แล้วหาหนังสือภาคต่อมา ทั้งสองภาครวมเป็นหนึ่ง นั่นจึงจะเป็นข้าที่สมบูรณ์ หากใช้พลังทั้งหมดย่อมสามารถตามหาสุสานโบราณแห่งนั้นพบ!”

“มีภาคต่ออยู่จริงด้วย!”

ดวงตาสุนัขดำเปล่งประกาย “ในภาคต่อมีราชันทมิฬหรือไม่?”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์กริ่งเกรงต่อราชันทมิฬ ด้วยเหตุผลนี้นักพรตอัษฎสมบูรณ์จึงแขยงสุนัขดำยิ่ง กล่าวว่าไม่มีสุนัขสีดำตัวไหนที่ดีสักตัว

ยามนั้นมันคาดเดาว่าน่าจะยังมีภาคต่อ ส่วนราชันทมิฬเป็นตัวละครในภาคต่อ

“เจ้ามันนักพรตไร้ศีลธรรม ยามนั้นข้าถามเจ้าแล้ว แต่เจ้าบอกว่าไม่มีภาคต่อ!”

นักพรตอู๋เหลียงเอ่ยอย่างชิงชัง

เขาเองก็เหมือนกับสุนัขดำ สงสัยว่าจะมีภาคต่ออยู่ แต่เขากับสุนัขดำตามหาแล้วกลับไม่พบภาคต่อ

“ข้าแค่ไม่อยากให้ราชันทมิฬออกมา…”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์กล่าว

มันปฏิเสธการมีอยู่ของภาคต่อ เนื่องจากไม่ต้องการให้ราชันทมิฬออกมา และก็ไม่ต้องการให้นักพรตอู๋เหลียงและสุนัขดำอ่านเนื้อหาภาคต่อ

เป็นเพราะในภาคต่อ มันน่าเวทนาเกินไป ถูกราชันทมิฬปั่นหัวหมุน และต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาราชันทมิฬ

ทว่ายามนี้คุณชายต้องการตามหาสุสานโบราณ ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดอันใดอีกแล้ว เขาจะต้องหาสุสานโบราณแห่งนั้นให้จงได้

“เจ้าไปเถิด ภาคต่อมีชื่อแตกต่างออกไป ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกเจ้าจึงหาไม่พบ”

“อันใดนะ? ชีวิตอันรันทด? ไม่แปลกใจเลยที่พวกข้าหาไม่พบ ชื่อไม่มีความเกี่ยวข้องกับการปล้นสุสานแม้แต่น้อย!”

นักพรตอู๋เหลียงร้องออกมาทันที

“ข้าเข้าใจแล้ว ภาคต่อนามว่า ‘ชีวิตอันรันทด’ ก็เพราะเจ้าเผชิญความทุกข์เข็ญด้านในนั้น!”

สุนัขสีดำเอ่ยด้วยรอยยิ้มแสยะ “เจ้าไม่ต้องการให้พวกข้าเห็นชีวิตอันรันทดของตนเอง ดังนั้นจึงปฏิเสธการมีอยู่ของภาคต่อ! ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าไม่อาจทนมองสุนัขสีดำได้ ดูท่าแล้ว ในภาคต่อเจ้าต้องถูกราชันทมิฬกระทำอย่างน่าเวทนาเป็นแน่!”

“เอาล่ะ นับว่าเจ้าเฉลียวฉลาด!”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์มองสุนัขดำแล้วเอ่ยขึ้น “รีบไปหาภาคต่อเถิด เรื่องของคุณชายไม่อาจรอช้าได้!”

“ตกลง!”

นักพรตอู๋เหลียงรีบตรงไปห้องหนังสือ ค้นดูหนังสือภายในชั้น

มีภาคต่ออยู่จริง เขาหยิบหนังสือ ‘ชีวิตอันรันทด’ ออกมา

นักพรตอัษฎสมบูรณ์ด้านในนั้นน่าสังเวชมากจริง ๆ ภายในภาคต่อได้พบเข้ากับราชันทมิฬที่สนใจในการปล้นสุสานเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้รวมตัวกันเพื่อปล้นสุสาน

พวกเขาทั้งสองร่วมมือกันนับว่าไร้เทียมทานอย่างแท้จริง ปล้นสุสานขนาดใหญ่สุสานแล้วสุสานเล่า

ส่วนชีวิตอันรันทดของนักพรตอัษฎสมบูรณ์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ราชันทมิฬมักจะกัดและแย่งชิงสิ่งของของเขา กล่าวได้ว่าทุกข์ลำเข็ญอย่างยิ่ง ทุกวันล้วนอาบเลือด ต้องระแวดระวังไม่ให้โดนราชันทมิฬกัด

สุดท้าย ร่างเงานักพรตอัษฎสมบูรณ์ในภาคต่อก็ผสานเข้ากับร่างเงาในหนังสือเล่มแรก

“โฮ่ง!”

เสียงสุนัขเห่าดังขึ้น ราชันทมิฬเองก็ปรากฏตัวขึ้น ตรงเข้าไปกัดแขนของนักพรตอัษฎสมบูรณ์

นักพรตอัษฎสมบูรณ์ไม่อาจสลัดสุนัขทมิฬออกได้ ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ตะโกนสบถเสียงดังว่า “เจ้าสุนัขสมควรตาย รีบปล่อยข้าเสีย!”

“นักพรตไร้ศีลธรรม เจ้าพูดจาอันใด?!”

ราชันทมิฬอารมณ์ร้อน ตบหัวนักพรตอัษฎสมบูรณ์จนกระแทกลงไปบนพื้น อุ้งเท้าเหยียบลงหน้านักพรตอัษฎสมบูรณ์

“ข้าให้โอกาสเจ้าเรียบเรียงคำพูดคำจาใหม่อีกครั้ง คิดให้ดีกว่าควรจะพูดกับข้าเช่นไร!”

ราชันทมิฬกล่าว

“พี่สุนัข ข้าผิดไปแล้ว!”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์รีบยอมแพ้ “พี่สุนัขฉลาดเฉลียว หล่อเหล่าที่สุดแล้ว!”

“ก็แค่นี้”

ราชันทมิฬถอนอุ้งเท้าออกมาอย่างพึงพอใจ

สุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงที่อยู่ด้านข้างมองดูอย่างอดหัวเราะเยาะไม่ได้

สิ่งหนึ่งย่อมมีอีกสิ่งพิชิตได้จริง ๆ ราชันทมิฬสามารถจัดการนักพรตอัษฎสมบูรณ์ได้อย่างถึงที่สุด

ไม่แปลกใจเลยที่นักพรตอัษฎสมบูรณ์ไม่ต้องการให้ราชันทมิฬออกมา เขาจะอยากได้อย่างไรกัน!

“พี่สุนัข พวกเรามาทำงานดีกว่า”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์กล่าวกับราชันทมิฬ “คุณชายต้องการตามหาสุสานโบราณแห่งหนึ่ง พวกเรามาร่วมมือกันตามหาสุสานโบราณแห่งนั้นแล้วระบุที่ตั้งออกมา!”

เมื่อได้ยินว่าคุณชายต้องการตามหาสุสาน สีหน้าของราชันทมิฬก็จริงจังขึ้นมาทันที

“ได้!”

มันไม่เอ่ยอันใดมากอีก ร่วมมือกับนักพรตอัษฎสมบูรณ์เริ่มตามหาสุสานโบราณ

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท