ตอนที่ 1,302 ชื่อจริงของเจ้าอ้วน
“พะ… พะ… พะ… พ่อง!”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ก่อนจะตบไหล่เจ้าอ้วนและกระซิบว่า “น้องชาย หากครั้งหน้าเจอกัน เจ้าเดินเข้ามาสะกิดข้าเลยก็ได้ ไม่ต้องเรียกเช่นนี้หรอก”
“กรร”
เจ้ากิ้งก่าทองคำรีบวิ่งเข้ามาเสนอหน้า
มันยืนสองขาและส่งมอบเนื้อหางย่างของมันออกมาด้วยความภูมิใจ
เนื้อหางย่างเหลืองกรอบส่งกลิ่นหอมฉุย
“เจ้าคงไม่ได้แอบฉี่ใส่ลงไปใช่ไหม?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยความระมัดระวัง
เนื่องจากกิ้งก่ายักษ์ตัวนี้เคยถูกเขาจับรีดเลือดและตัดหางมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดรับประกันว่ามันจะไม่คิดแก้แค้น
เจ้ากิ้งก่าส่ายหน้าปฏิเสธแข็งขัน
หลินเป่ยเฉินจึงลองกัดกินชิมดูคำหนึ่ง แล้วเขาก็ต้องเบิกตาโต “อร่อยแฮะ”
ไม่ใช่แค่อร่อยเท่านั้น
แต่มันยังบรรจุด้วยพลังงานแปลกประหลาดที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าบรรดาเนื้ออสูรจากหุบผาอเวจีนั้น มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายได้เป็นอย่างดี
“นี่มัน… หางของเจ้าเองหรือ? ถ้าอย่างนั้น…”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่เจ้ากิ้งก่าทะเลทรายด้วยความตกตะลึง
มันถึงกับย่างหางตัวเองเพื่อนำมาเป็นของขวัญให้เขา?
ให้ตายสิ อะไรจะลงทุนขนาดนี้
ทันใดนั้น ในสมองของหลินเป่ยเฉินก็ขบคิดอะไรได้บางอย่าง
อสูรกิ้งก่าทะเลทรายทองคำสามารถงอกหางกลับคืนมาใหม่ได้เสมอ
เมื่อตัดหางทิ้งไปแล้ว
ใช้เวลาไม่นานหางใหม่ก็จะงอกกลับมา
นี่คือแหล่งอาหารชั้นดี
หากเขามีเจ้ากิ้งก่าตัวนี้อยู่ข้างกายก็ไม่ต้องกลัวอดตายอีกแล้ว
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินรับประทานเนื้อย่างชิ้นนั้นหมด เขาก็ยกมือเช็ดปากแล้วถามออกมา
หรือว่าเจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำจะนำเจ้าอ้วนมาที่นี่เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ?
“มะ… มา… ระ… ร่วมงานเลี้ยง… ขะ… ขอรับ…”
“เจ้าได้รับเทียบเชิญด้วยหรือ?”
“ดะ… ได้รับขอรับ…”
“ฮะ? งั้นหมายความว่าเจ้าผ่านการแข่งขันรอบที่สามได้แล้วสิ?”
“ขอรับ”
“โอ๊ะ เยี่ยมเลย ยินดีด้วยนะ หวังว่าพวกเราสองคนคงไม่ต้องมาเจอกันเองในรอบต่อไป”
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่เข้าใจภาษาสัตว์อสูร แต่เขาก็เข้าใจภาษาเทวะเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงสื่อสารกับเจ้าอ้วนได้อย่างไม่มีปัญหา
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นี้ ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเดินเข้ามาในคฤหาสน์น้อย
บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงของการพูดคุยและเสียงหัวเราะเฮฮา
“ท่านได้ยินหรือไม่? คุณชายลู่จากตระกูลเผ่าเทพอัคคีกับคุณชายผู้สูงศักดิ์จากตระกูลเผ่าเทพไม้เขียวยังคงแข่งขันกันไม่เลิก พวกเขาพยายามหาคำตอบว่าใครกันแน่คือเทพเจ้ายอดนักรักในเมืองเยี่ยเฉิง…”
“น่าตลกเสียจริง”
“แต่ที่น่าสงสารก็คือแม่นางอิงเอ๋อกับแม่นางเหรินจู่นี่แหละ พวกนางต้องส่งเสียงร้องทั้งวันทั้งคืนจนเสียงแหบไปหมดแล้ว”
“แล้วพวกเขาจะแข่งขันกันอย่างไร?”
“ประมาณว่าในระยะเวลาชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย พวกเขาจะต้องใช้วิธีการใดก็ได้ทำให้หญิงสาวคู่ขาส่งเสียงครางออกมาด้วยความอ่อนระทวยให้ได้โดยเร็วที่สุด”
หลินเป่ยเฉินได้ยินคำพูดเหล่านี้ระหว่างที่เทพเจ้ากลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป
คุณชายลู่จากตระกูลเผ่าเทพอัคคี?
คงไม่ใช่ลู่ปิงเหวินหรอกกระมัง?
หมอนั่นไปทำงานให้เขาอยู่ไม่ใช่หรือ? จะเอาเวลาที่ไหนมาแข่งขันไร้สาระเช่นนี้?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วคิดหนัก
แต่เขาไม่ได้เป็นคุณครูใหญ่ที่ต้องคอยจุ้นจ้านเรื่องราวของเด็กนักเรียนสักหน่อย
หลังจากนั้น คนรับใช้ในคฤหาสน์น้อยก็ออกมานำทางพวกเขาไปยังคฤหาสน์ใหญ่ทางด้านหลัง
“ทำความเคารพคุณชายเต้าขอรับ…”
นักรบเทวะในชุดเกราะสีดำผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามาประสานมือทำความเคารพ
“คุณชายเต้า?”
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเจ้าอ้วนและถามว่า “นี่เขาเรียกเจ้าใช่หรือไม่?”
“ชะ… ชะ.. ใช่ขอรับ…”
“ไหนเจ้าลองเขียนชื่อของเจ้าให้ข้าดูหน่อยสิ”
“ดะ… ดะ… ได้ขอรับ”
เจ้าอ้วนเขียนชื่อบนพื้นหิน
‘เต้าเจี๋ยนเซียว’
เมื่อหลินเป่ยเฉินมองข้อความนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป สงสัยหลังจากนี้ เขาคงต้องลองสืบชาติกำเนิดของเจ้าอ้วนดูใหม่แล้วสิ
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาว่า “คิดไม่ถึงเลยนะว่าบุรุษหนุ่มหน้าตาโง่งมอย่างเจ้า จะมีนามที่ไพเราะคล้ายกับนามเจี๋ยนเซียวเหยาของข้าขนาดนี้ สมควรหาคู่ครองดี ๆ สักคนให้เจ้าจริง ๆ บังเอิญว่าข้ามีพี่หญิงอยู่ท่านหนึ่งนามว่าเหยียนอิง… เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักภายหลังแล้วกัน”
“ขะ… ขะ… ขอรับ…”
เจ้าอ้วนยกมือเกาหลังศีรษะแกรก ๆ
เขาไม่รู้เลยว่าพี่ใหญ่พูดเรื่องนี้เพื่ออะไร
ทันใดนั้น ทุกคนที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ใหญ่พลันเห็นเรือเหาะลำหนึ่งกำลังลอยตรงมาทางยอดเขาเซินเหลียน
ในฐานะที่เป็นเขตแดนสำคัญของเมืองเยี่ยเฉิง ภูเขาเซินเหลียนจึงเปรียบดังสถานที่ต้องห้าม ไม่ใช่ผู้ใดจะสามารถเดินทางมาได้ตามใจนึก ดังนั้น เมื่อเรือเหาะลอยลำทะลุผ่านม่านพลังทั้งหกชั้นเข้ามาได้สำเร็จ มันก็ร่อนลงจอดที่หน้าคฤหาสน์ใหญ่อย่างนุ่มนวล
นี่หมายความว่าแขกที่อยู่บนเรือเหาะต้องเป็นบุคคลสำคัญอย่างแน่นอน
ทิวทัศน์บนยอดเขามีความสวยงามยิ่ง
ต้นไม้เขียวขจี ใบหญ้าสดใหม่ คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนในอากาศ
เพียงสูดหายใจก็จะรู้สึกร่างกายสดชื่นและมีความสุข ที่นี่ไม่ต่างไปจากเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่านักรบทุกคนล้วนปรารถนา
แต่ในความเป็นจริงนั้น ที่นี่กลับไม่ต่างไปจากสถานเริงรมย์สำหรับบรรดาเทพเจ้า
เมื่อเทพเจ้าเป็นผู้ครอบครองอำนาจ พวกเขาจึงตักตวงความสุขให้แก่ตนเองทุกหนทางเท่าที่ทำได้
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่พวกของหลินเป่ยเฉินมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้านั้น ก่อสร้างขึ้นมาจากหินขาวขนาดใหญ่ มันมีขนาดใหญ่โตมโหฬารกินพื้นที่ยาวไกล เรียกได้ว่าแทบจะยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ทางด้านหลังของยอดเขาเซินเหลียนก็ว่าได้
ทันใดนั้น เทพธิดาสองนางผู้มีหน้าตางดงามสวมใส่กระโปรงยาวสีขาวระดับเข่า ด้านบนสวมใส่ชุดเกราะขนาดพอดีตัวก็เดินออกมาต้อนรับพวกหลินเป่ยเฉินด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
“คุณชายเจี๋ยน ข้าน้อยเฟิงหลิงเป็นคนรับใช้ของท่านประจำคืนนี้”
“คุณชายเต้า ข้าน้อยหลิวซูเป็นคนรับใช้ของท่านประจำคืนนี้”
สาวรับใช้ทั้งสองนางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ปรากฏว่าแขกทุกคนที่ได้รับเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงเบิกฟ้าในค่ำคืนนี้จะมีคนรับใช้คอยติดตามข้างกายหนึ่งคน
“ขะ… ขะ… ข้า…”
เจ้าอ้วนพูดตะกุกตะกัก ทันทีที่เห็นโฉมหน้าสาวรับใช้ทั้งสองนั้น แก้มของเขาก็แดงระเรื่อ ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
“ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ”
หลินเป่ยเฉินตบไหล่เจ้าอ้วนพยายามปลอบใจ “คนเราเกิดมามีหนึ่งหัวสองขา ยามดื่มสุราย่อมเมามาย ยามถูกกระบี่ทิ่มแทงย่อมตกตาย แล้วชีวิตนี้เจ้าจะกลัวสาวงามไปไย?”
หลังจากนั้น เขาก็หันขวับมาจ้องมองสาวรับใช้ทั้งสองคนและส่งยิ้มหวาน กล่าวว่า “กราบเรียนพี่สาวทั้งสอง คุณชายเต้ากับข้ามาด้วยกัน เขาเป็นน้องชายร่วมสาบานของข้าเอง ปกติเขาเป็นคนมีบุคลิกเขินอายเล็กน้อย พวกท่านรับใช้ข้าเพียงผู้เดียวก็พอ”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
สาวรับใช้ทั้งสองคนพลันย่อกายลงทำความเคารพหลินเป่ยเฉิน
เจ้าอ้วนจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
โชคดีที่คืนนี้เขาติดตามพี่ใหญ่เข้าร่วมงานเลี้ยง มิฉะนั้น เจ้าอ้วนก็ไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี
ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น
ไม่มีการตรวจสอบเทียบเชิญ
ด้วยว่าแขกที่ได้รับเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ประจำค่ำคืนนี้มีจำนวนอยู่ไม่มาก บรรดาบ่าวรับใช้ในคฤหาสน์จึงมีข้อมูลของแขกทุกคนอยู่ในมือ อย่างเช่นเฟิงหลิงและหลิวซู พวกนางมีข้อมูลของเจี๋ยนเซียวเหยากับเต้าเจี๋ยนเซียวอยู่ในมือชนิดครบถ้วนทุกรายละเอียด ไล่ตั้งแต่เรื่องสิ่งที่ชอบ สิ่งที่เกลียด ไปจนถึงเรื่องขั้นพลังและพื้นหลังครอบครัว… ซึ่งพวกนางก็สามารถจำขึ้นใจได้ทั้งหมด
แม้แต่เจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำที่เดินตามหลังหลินเป่ยเฉินกับเจ้าอ้วนมาก็ยังไม่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง
หลินเป่ยเฉิน เต้าเจี๋ยนเซียวและเจ้ากิ้งก่ายักษ์ถูกนำตัวเข้าสู่ด้านในคฤหาสน์ใหญ่มายังห้องโถงใหญ่ที่แปลกประหลาดห้องหนึ่ง
มันเป็นห้องที่ไม่มีหลังคา
สามารถเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้เพียงเงยหน้ามองเท่านั้น
รูปปั้นสีขาวถูกจัดวางอยู่ตามเสาหินที่คอยรับน้ำหนักโครงสร้างห้องโถงใหญ่ เมื่อสังเกตดูให้ดีก็จะพบว่าพวกมันเป็นรูปปั้นของเทพพงไพรกับบรรดาเผ่าเทพสงครามทั้งเจ็ด รูปปั้นแต่ละตัวมีความสวยงามและความสมจริง ราวกับว่าพวกมันจะสามารถก้าวออกมาจากเสาหินและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ ได้ทุกเมื่อก็ไม่ปาน
ระหว่างรูปปั้นและเสาหินเหล่านี้จัดตั้งโต๊ะและเก้าอี้อยู่จำนวนหนึ่ง
นี่คือที่นั่งสำหรับแขกผู้เข้าร่วมงานเลี้ยง
พวกของหลินเป่ยเฉินไม่ได้มารวดเร็วมากเกินไป เพราะหลายโต๊ะในห้องโถงใหญ่ต่างถูกจับจองเรียบร้อยแล้ว
ถึงกระนั้น แขกผู้เข้าร่วมงานก็ไม่ได้นั่งประจำที่ของตนเอง แต่พวกเขากลับออกเดินสำรวจรอบห้องโถงใหญ่ บางคนหยุดยืนพูดคุยอย่างรู้จักกันดี ส่วนคนที่ไม่รู้จักกันก็ถือโอกาสนี้แนะนำตนเอง…
บรรยากาศไม่ต่างไปจากงานเลี้ยงบนโลกมนุษย์ใบเก่าของหลินเป่ยเฉิน
“ดูเหมือนจะรวมแต่พวกดาวดังมาจริง ๆ ด้วยแฮะ”
หลินเป่ยเฉินเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง หยิบจอกสุราที่ทำจากหยกขาวขึ้นมา แล้วถามว่า “ขอถามท่านพี่เฟิงหลิง ไม่ทราบว่างานเลี้ยงคืนนี้ผู้ใดเป็นคนจัดหรือขอรับ?”
เฟิงหลิงโค้งตัวประสานมือคำนับและกล่าวตอบ “กราบเรียนนายท่าน นี่คืองานเลี้ยงที่สืบทอดกันมากว่าห้าพันปี เดิมที่ผู้จัดงานคือเทพราตรี แต่ด้วยความที่เป็นงานเลี้ยงซึ่งได้รับความนิยมมาก ภายหลังมันจึงกลายเป็นประเพณีประจำเมืองเยี่ยเฉิง ใต้เท้าใหญ่ทั้งห้าจากสภาเทพเจ้ารวมถึงเผ่าเทพสงครามทั้งเจ็ดจะผลัดกันทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพทุก ๆ หกสิบปีเจ้าค่ะ…”
หืม?
สาวรับใช้นางนี้ได้รับการฝึกสอนมาเป็นอย่างดีเลยนี่นา
หลินเป่ยเฉินรีบถามต่อด้วยความอยากรู้ทันทีว่า “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้มีแขกที่ถูกเชิญมามากมายเพียงใด?”