ตอนที่ 1,308 ชัยชนะแรกของอดีตบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยม
ฮันลั่วเซวี่ยยึดถือนักบวชสาวเซียงเหยียนเป็นศัตรูของตนเองไปโดยปริยาย
ในฐานะที่เป็นสตรีเช่นเดียวกัน เด็กสาวย่อมมีความรู้สึกอ่อนไหว
โดยเฉพาะ เมื่อนางเห็นนักบวชเซียงเหยียนมีท่าทีสนิทสนมกับเจี๋ยนเซียวเหยาเป็นพิเศษ
และเจตนาของฮันลั่วเซวี่ยก็ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
ฮันลั่วเซวี่ยรู้ดีว่าตนเองไม่ได้เป็นบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมในพื้นที่เขตสามอีกแล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้แก่นักบวชเซียงเหยียนอีกต่อไป
บัดนี้ นางมีคุณสมบัติดีพอที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ครอบครองบุคคลที่นางรัก
ฮันลั่วเซวี่ยไม่สนใจของรางวัลแม้แต่น้อย
สิ่งเดียวที่ฮันลั่วเซวี่ยสนใจก็คือครั้งนี้ นางจะแพ้ให้แก่นักบวชสาวเซียงเหยียนต่อหน้าเจี๋ยนเซียวเหยาไม่ได้
หลังจากนั้น สาวสวยทั้งสองนางก็ยืนเข้าแถวรอเข้ารับการทดสอบพลังจากหอคอยผู้พิชิต
ผลคะแนนของนักบวชเซียงเหยียนที่ออกมาทำให้ผู้คนส่งเสียงอุทานดังอื้ออึง
นางวัดได้สามสิบสามคะแนน
เป็นอันดับสองรองจากเจียงรั่วไป๋เท่านั้น
ผลงานในรอบที่ผ่าน ๆ มาของนักบวชสาวเซียงเหยียน นางถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่พอใช้ได้เท่านั้น แต่บัดนี้ นางกลับเป็นม้ามืดที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจได้อย่างแท้จริง
ทว่าเมื่อฮันลั่วเซวี่ยเข้ารับการวัดพลัง เสียงอุทานจากผู้คนกลับดังขึ้นมากกว่าเดิม
เพราะว่านางวัดได้สี่สิบห้าคะแนน
ฮันลั่วเซวี่ยมีคะแนนสูงมากกว่าเจียงรั่วไป๋ถึงสิบเอ็ดแต้ม
“นี่มันอะไรกัน? ทำไมคะแนนถึงสูงเช่นนั้น?”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“นี่คือความแข็งแกร่งของนักเวทใช่หรือไม่?”
เสียงอุทานดังขึ้นในห้องโถงใหญ่อย่างไม่อาจควบคุมได้
แม้แต่ใต้เท้าหมิงรั่วผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ก็ยังมีสีหน้าตกตะลึงแล้ว
“หึหึ ประเสริฐ ทำได้ดี”
พานตั่วชิงระเบิดเสียงหัวเราะเรียกความสนใจจากทุกคน “สมแล้วที่เป็นนางสนมของข้าในอนาคต มีความเก่งกาจเช่นนี้ ไม่เสียทีที่ข้าให้ความสนใจเจ้า”
ฮันลั่วเซวี่ยหันกลับมามองหน้าพานตั่วชิงด้วยแววตาเหยียดหยามและขยะแขยง
เด็กสาวหมุนตัวและเดินกลับมา
นางกระโดดกลับไปนั่งบนเก้าอี้ติดกับหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและดีอกดีใจ
“พี่ใบ้เจ้าคะ หากวันนี้ข้าได้รับของรางวัลจากงานเลี้ยง ข้าจะมอบให้ท่านทั้งหมดเลยดีหรือไม่?”
เด็กสาวไม่ต่างจากเด็กอนุบาลที่กระตือรือร้นอยากได้รับคำชมเชยจากคุณครู นางเงยหน้าขึ้นสบตามองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ชอบของพวกนั้นอยู่แล้ว”
ฮันลั่วเซวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง
นี่คงเป็นอานุภาพจากเสน่ห์แห่งความหล่อเหลาของเขาอีกแล้วสินะ?
เมื่อเห็นเช่นนี้ ในดวงตาของพานตั่วชิงก็ปรากฏความเคียดแค้นขึ้นมาอย่างชัดเจน
แต่ไม่มีใครสนใจเขาอีกแล้ว
ฮันลั่วเซวี่ยพลันหันกลับไปหลิ่วตาให้แก่นักบวชสาวเซียงเหยียนอย่างเย้ยหยันเล็กน้อย
นักบวชสาวเซียงเหยียนยังคงมีสีหน้าเฉยชา
ตอนแรกที่นางเห็นผลการวัดพลังของตนเอง นักบวชสาวก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อย
แต่นักบวชสาวเซียงเหยียนก็สามารถซ่อนเร้นสีหน้านั้นได้อย่างรวดเร็ว
เพราะเมื่อลองคิดดูดี ๆ แล้ว นางไม่สมควรผิดหวังกับผลคะแนนนี้
ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก นางเป็นนักบวชจากวิหารสาขาที่ 98
แต่ในความเป็นจริงเล่า?
วิหารสาขาที่ 98 เป็นเพียงวิหารเล็ก ๆ หนึ่งในหลายร้อยสาขาของเผ่าเทพพงไพรเท่านั้น
เมื่อเทียบกับบรรดานักบวชจากวิหารสาขาหลักแล้ว นักบวชสาวเซียงเหยียนก็ไม่ต่างจากชนชั้นพลเมืองธรรมดา และการที่นางได้เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ในครั้งนี้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันแล้ว
เพราะฉะนั้น นักบวชสาวเซียงเหยียนจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
นางไม่ได้มีครอบครัวสูงศักดิ์ ไม่ได้มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด นักบวชสาวรู้ว่าตนเองไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ในเวลาเพียงชั่ววูบ
นักบวชสาวเซียงเหยียนค่อย ๆ พัฒนาตนเองขึ้นมาอย่างแช่มช้า
และการที่นางวัดพลังได้สามสิบสามคะแนน เป็นรองแต่เพียงกุหลาบเทวะเจียงรั่วไป๋ผู้โด่งดังนั้น
เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว
ค่อย ๆ เฉิดฉายให้ผู้คนได้มองเห็น
ดึงดูดความสนใจจากผู้คนทีละเล็กทีละน้อย
ก่อนที่จะระเบิดประกายเจิดจรัสในรอบสุดท้าย
แต่สิ่งที่นักบวชสาวเซียงเหยียนคิดไม่ถึงก็คือฮันลั่วเซวี่ยกลับทำคะแนนเป็นที่หนึ่งได้หน้าตาเฉย
ดังนั้น นักบวชสาวจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ
ในห้องโถงใหญ่ขณะนี้ เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจในคะแนนของฮันลั่วเซวี่ยหยุดลงแล้ว
เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงบัดนี้ ก็เหลือผู้คนที่ยังไม่ได้เข้ารับการวัดพลังอีกไม่มาก
หลินเป่ยเฉินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
เขากำลังนึกถึงคำพูดของชายฉกรรจ์ผู้โกรธแค้น…
“หอคอยผู้พิชิตมีปัญหา”
ความตายของซวีเหิงเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ หรือเป็นเพราะความผิดพลาดจากหอคอยผู้พิชิตกันแน่?
ซวีเหิงมีจิตใจยึดมั่นในอุดมการณ์ถึงขนาดนั้น เขาจะยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อหมวกเหล็กกับคัมภีร์ฉบับหนึ่งเท่านั้นหรือ?
ในมุมมองของหลินเป่ยเฉิน ซวีเหิงย่อมไม่ใช่บุคคลประเภทนั้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
อัตราการตายในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่นั้นสูงมาก
และงานเลี้ยงเบิกฟ้าก็สมควรเป็นกิจกรรมที่มอบของขวัญรวมไปถึงความรื่นเริงให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน แต่กลายเป็นว่ามีหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันตัวเต็งกลับต้องเสียชีวิตลงอย่างไม่คาดฝัน
นี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
ระหว่างที่ความคิดของหลินเป่ยเฉินดำเนินมาถึงตรงนี้ เสียงโซ่ดังโกร่งกร่างก็ลอยมากระทบหูของเขา
ตามมาด้วยเสียงดุด่าหยาบคาย…
“เจ้าคนบาปหน้าโง่ เจ้าทำงานให้กับเผ่าเทพแห่งเหมืองแร่เรา หากเจ้าได้รับของรางวัลในค่ำคืนนี้ เจ้าก็จะต้องมอบให้แก่ท่านเทพเหมืองแร่ทั้งหมด แล้วเจ้ายังจะมัวทำอะไรอยู่? รีบเข้าไปวัดพลังได้แล้ว ไม่งั้นข้าจะหักขาเจ้าทิ้งซะ”
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปมอง
ปรากฏว่านั่นเป็นเสียงของชายฉกรรจ์ที่ถือโซ่อยู่ในมือ และเขาก็กำลังฉุดลากนักรบกอริลล่าผู้สวมใส่หน้ากากหินแตกร้าวให้ออกเดิน
เห็นได้ชัดว่าสายโซ่ในมือเป็นอุปกรณ์ทรมานชนิดหนึ่ง สายโซ่เปล่งประกายสีเงินแวววาว ส่งมวลพลังจำนวนมากไหลรินเข้าสู่ร่างกายของนักรบกอริลล่า
แม้ว่านักรบกอริลล่าผู้นั้นจะสวมใส่หน้ากากศิลาปิดบังใบหน้า แต่ทุกคนก็สามารถรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นอย่างชัดเจน
นักรบกอริลล่าพลันยกแขนขัดขืน
สายโซ่ที่พันธนาการข้อมือของเขาอยู่สั่นไหว
ส่งผลให้ชายฉกรรจ์ที่ถือสายโซ่เกือบจะล้มลงจากแรงสั่นสะเทือน
“กล้าต่อต้านข้าหรือ?”
ชายฉกรรจ์ระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น “อยากตายนักใช่ไหม? เจ้ายังอยากช่วยชีวิตน้องชายของเจ้าอยู่หรือไม่?”
การขัดขืนของนักรบกอริลล่าหยุดลงทันที
เขานิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ สุดท้ายก็ยอมแพ้และเดินตรงไปที่วัตถุรูปทรงกระบอกขนาดใหญ่ เพื่อเข้ารับการวัดพลังด้วยความเชื่อฟัง
ลำแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมากระชากนักรบกอริลล่าเข้าไปด้านในหอคอยผู้พิชิต
“นี่คือจุ่ยถูู”
นักบวชสาวเซียงเหยียนรับหน้าที่อธิบายต่อ
นางโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉิน “บุรุษผู้สวมใส่หน้ากากหินแตกร้าวผู้นี้เป็นคนงานจากเหมืองใต้ดิน เขามีสถานะเป็นคนบาปทาสรับใช้ประจำเผ่าเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ จุ่ยถููถูกบังคับให้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้เพราะมีสองแขนที่แข็งแกร่งมากเกินไป คู่ต่อสู้ทุกคนที่ต้องพบเจอกับเขาในรอบที่ผ่าน ๆ มาต้องตายอย่างน่าอนาถนัก…”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเองก็เคยเห็นเขาต่อสู้มาแล้ว… แต่ผู้ที่ถือสายโซ่ล่ามเขาคือใครหรือขอรับ? ดูจากระดับพลังของเขาแล้ว น่าจะเป็นเพียงนักรบเทวะขั้น 3 เท่านั้น ไม่มีทางเป็นเจ้านายของจุ่ยถููได้เด็ดขาด”
นักบวชสาวเซียงเหยียนอธิบายว่า “เขาเป็นคนรับใช้ใต้อาณัติของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่มีนามว่าเซวี่ยอี้ และเซวี่ยอี้ผู้นี้ก็เป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่งในเหมืองใต้ดิน ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เซวี่ยอี้มีหน้าที่คอยดูแลจุ่ยถููโดยเฉพาะ ส่วนสายโซ่ที่อยู่ในมือนั้นเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ประทานมาเพื่อป้องกันไม่ให้จุ่ยถููหลบหนี”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด
นักบวชสาวกล่าวเสริมว่า “คนบาปเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสถานะต่ำต้อยที่สุดในดินแดนทวยเทพ พวกเขาไม่มีสิทธิ์พูด ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง ต้องมีชีวิตทำตามคำสั่งผู้เป็นเจ้านายเท่านั้น คนบาปทั้งหมดล้วนถูกกระทำเช่นนี้”
กล่าวจบ
หอคอยผู้พิชิตก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย
ลำแสงสีแดงสาดส่องสว่าง
ร่างของจุ่ยถููถูกส่งกลับออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้ ผลคะแนนการวัดความแข็งแกร่งของเขาก็ปรากฏขึ้น